ดั่งรักบันดาล - บทที่ 334 เห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัว
คิดไปสักพัก ในหัวของอวี้อี่มั่วสับสนวุ่นวายไปหมด เขายกมือขึ้นมาขยับเนคไท อารมณ์เสียไม่เป็นท่า
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรขอแค่เกี่ยวข้องกับหร่วนซือซือ เขาก็จะหงุดหงิดโมโหไปหมด
เวลานั้นเอง มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู
บนหน้าจอมือถือขึ้นชื่อ”หว่านเอ๋อ” เขาลังเลไปชั่วขณะ แล้วก็กดรับสาย
“ฮัลโหล”
“พี่มั่ว อย่าลืมนัดของเรา คืนนี้ต้องมาทานข้าวที่บ้านของน้องนะคะ”
มืออีกข้างขึ้นนวดหว่างคิ้ว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “อืม พี่รู้แล้ว”
“งั้นเดี๋ยวถึงเวลาน้องจะไปหาพี่ที่บริษัทนะคะ เราสองคนจะได้ออกไปพร้อมกัน?”
อวี้อี่มั่วรีบปฏิเสธอย่างไม่ลังเล : “พี่มีเรื่องที่ต้องจัดการทางนี้ เธอรอพี่อยู่บ้านก็พอ ไม่ต้องไปไหน”
เย่หว่านเอ๋อเมื่อได้ยินแล้วก็แอบผิดหวังนิดๆ : “ก็ได้ค่ะ งั้นน้องรออยู่ที่บ้านนะคะ”
เมื่อวางสายลง ความกังวลใจของอวี้อี่มั่วก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
วันนี้เย่หว่านเอ๋อนัดเขาให้ไปทานข้าวที่บ้านตระกูลเย่ พูดให้น่าฟังหน่อยก็คงจะเป็นงานเลี้ยงตระกูลเย่ จะพูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คงจะหนีไม่พ้นงานเลี้ยงแอบแฝงที่เต็มไปด้วยเลศนัย ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเจตนาของเย่เฟิงเผิง เจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ที่การกินเหล้าสังสรรค์
แต่เป็นเพราะสถานภาพของของเขากับเย่หว่านเอ๋อ จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
พึ่งจะหกโมงเย็น อวี้อี่มั่วก็ออกจากบริษัท ตรงไปที่งานเลี้ยงตระกูลเย่ทันที
เย่เจ๋ออวี่ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง คนที่มาต้อนรับเขามีแต่เย่เฟิงเผิง คุณนายเย่ แล้วก็เย่หว่านเอ๋อ ทั้งบ้านดูสามัคคีกันมาก ตั้งแต่กล่าวทักทายและคุยกันจนไปถึงโต๊ะอาหาร เป็นเหมือนครอบครัวปกติทั่วไป
มื้อค่ำจบลง ทุกคนต่างไปนั่งคุยกันที่โซฟา
“ฉันจะให้เด็กเตรียมผลไม้มาสักหน่อย พวกคุณคุยกันตามสบาย”
คุณนายเย่ยิ้ม พร้อมกับลุกขึ้นออกไป
เวลานี้ เหลือเพียงอวี้อี่มั่ว เย่เฟิงเผิง และเย่หว่านเอ๋อสามคน
เย่เฟิงเผิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ พร้อมกับมองไปที่อวี้อี่มั่ว หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า : “อี่มั่ว พูดตามตรงแล้ว ครั้งนี้นายน่าชื่นชมจริงๆ”
“หืม?” อวี้อี่มั่วหันไปมองเขาอย่างใจเย็น : “คุณลุงหมายถึงอะไรเหรอครับ?”
เย่เฟิงเผิงหัวเราะขึ้นเบาๆ : “รอบก่อนบริษัทอวี้กรุ๊ปพึ่งเจอกับมรสุมลูกใหญ่ นายสามารถพาบริษัทอวี้กรุ๊ปผ่านพ้นมันมาได้ ฉันนับถือนายจริงๆ”
“คุณลุงชมเกินไปแล้ว ความจริงนี่ไม่ได้เป็นผลงานของผมคนเดียว อวี้กรุ๊ปรากฐานค่อนข้างมั่นคง ไม่ค่อยเอนเอียงสั่นไหวตามกระแสสิ่งเร้าหรือสิ่งเน่าเหม็นต่างๆ เรื่องนี้ผมรับหน้าคนเดียวไม่ได้หรอกครับ”
เมื่อเขาพูดขึ้นแบบนี้ เย่หว่านเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆก็หน้าเสียขึ้นมา
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ถือว่าเป็นการกระทำของเธอกับพี่ชายโดยตรง เรื่องบานปลายขนาดนี้ เธอก็คงเป็นสิ่งสกปรกที่อวี้อี่มั่วพูดออกจากปากเมื่อสักครู่สินะ……
เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ฝืนยิ้มออกมา กอดแขนของอวี้อี่มั่วไว้แน่น : “พี่มั่วคะ พี่ก็อย่าจริงจังขนาดนั้น ถ้าบริษัทอวี้กรุ๊ปไม่มีพี่ตอนนี้คงแย่แน่ๆเลยค่ะ!”
อวี้อี่มั่วได้ยินแล้ว เขาเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
เวลานั้นเอง เย่เฟิงเผิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็กระแอมออกมาเบาๆ เพื่อจะพูดเข้าเรื่อง : “ใช่แล้วอี่มั่ว ทางเย่กรุ๊ปมีโครงการใหม่ นายลองดูว่านายจะ……”
“คุณลุงครับ ทางอวี้กรุ๊ปของเราเพิ่งผ่านมรสุมมา เสียหายไปไม่น้อย อย่าว่าแต่ร่วมมือกับบริษัทอื่นเลย แค่จัดการภายในบริษัทเองยังขาดแล้วขาดอีกชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว เพราะฉะนั้นผมหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันในภายภาคหน้านะครับ”
อวี้อี่มั่วพูดออกมาด้วยความใจเย็น เย่เฟิงเผิงได้ยินแบบนี้แล้ว คำพูดที่กำลังจะพูดก็กลืนมันลงคอไป สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดูออกชัดเจนว่าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
ผ่านไปสักครู่ เขาก็กระแอมขึ้นอีกครั้ง เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบพร้อมกับหันไปทางอวี้อี่มั่ว แล้วพูดขึ้นว่า : “อี่มั่ว ครั้งที่แล้วที่ฉันคุยเรื่องงานกับนาย นายก็เป็นแบบนี้ ครั้งนี้นายก็ทำเหมือนเดิม ถ้าเกิดว่านายมีอะไรที่ไม่สบายใจ ก็พูดกับลุงตรงๆดีกว่า”
อวี้อี่มั่วยิ้มขึ้นที่มุมปาก แล้วตอบกลับไปว่า : “ไม่มีหรอกครับ เพียงแต่บริษัทไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ยังไงต้องขอให้คุณลุงเข้าใจด้วยนะครับ”
คำพูดของอวี้อี่มั่วฟังยังไงก็รู้สึกแปลกๆ เย่เฟิงเผิงขมวดคิ้วแน่น เหมือนปล่อยหมัดลงบนปุยฝ้ายที่นุ่มฟู รู้สึกโกรธจนหน้าขึ้นเลือด แต่ก็เถียงกลับไม่ได้ หาเรื่องไม่ได้
เย่หว่านเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นว่าบรรยากาศบทสนทนาของทั้งสองค่อนข้างตึงเครียด เธอสูดลมหายใจเข้า แล้วหันไปทางเย่เฟิงเผิง : “พ่อค่ะ บริษัทของพี่มั่วเพิ่งผ่านมรสุมมา ตอนนี้ให้มาคุยเรื่องนี้ก็คงจะไม่ค่อยสะดวกมั้งคะ……”
ถ้าเธอไม่พูดอะไรก็คงจะดีกว่านี้มั้ง เพราะพูดออกไปแล้ว สีหน้าของเย่เฟิงเผิงยิ่งแย่ไปกันใหญ่
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของอวี้อี่มั่วก็ดังขึ้น สีหน้าของเขาดูเข้มขรึมขึ้น รีบหันหน้าไปทางเย่เฟิงเผิง : “คุณลุงครับ ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่”
พูดจบก็ลุกขึ้น เดินออกไปรับสายโทรศัพท์ที่นอกระเบียง
เย่เฟิงเผิงที่นั่งอยู่บนโซฟา มองไปยังผู้ชายที่ยืนอยู่นอกระเบียง สบถอารมณ์ออกมาเบาๆ : “ไม่อยากร่วมธุรกิจด้วยก็บอกมาตรงๆ จะอ้างโน่นอ้างนี่มากมายทำไม”
พูดจบก็หันไปทางเย่หว่านเอ๋อ : “เธอก็อีกคน ยังไม่ทันจะแต่งออก ก็เห็นคนอื่นดีกว่าคนในบ้านของตัวเองแล้ว”
เย่หว่านเอ๋อเมื่อได้ยินแล้ว ก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าลำบากใจว่า : “พ่อคะ แล้วจะให้หนูพูดยังไงล่ะคะ?”
แววตาของเย่เฟิงเผิงก็เกิดประกายแวววับขึ้น สอนเธอด้วยน้ำเสียงเบาว่า : “ก็ต้องช่วยฉันพูดหว่านล้อมเขาสิ แกไม่รู้ ถ้าเราได้การสนับสนุนจากอวี้กรุ๊ปแล้ว ตระกูลเย่ก็จะลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง! บ้านฝ่ายหญิงแข็งแกร่งถึงจะไม่โดนคนอื่นรังแก เรื่องแบบนี้แกไม่รู้เลยเหรอ!”
พอพูดมาแบบนี้ เย่หว่านเอ๋อเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่ใช่น้อย เธอพยักหน้าเบาๆ : “งั้นหนูจะช่วยพ่อพูดกับเขาให้ค่ะ!”
เย่เฟิงเผิงจึงพูดขึ้นว่า : “แบบนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย!”
พูดจบ เขาก็วางสายลง เก็บมือถือแล้วเดินจากตัวระเบียงเข้ามาในบ้าน พร้อมกับมองมายังเธอ
เย่หว่านเอ๋อที่รู้แล้ว อวี้อี่มั่วเดินเข้ามา เธอยื่นมือออกมากอดแขนของเขาไว้ กำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นคุณนายเย่ก็เข้ามาพอดี วางจานผลไม้ลงบนโต๊ะ ชวนทุกคนทานผลไม้
บรรยากาศในตอนนี้ ถ้าเธอยังดันทุรังพูดเรื่องเมื่อกี้ต่อ จะโจ่งแจ้งเกินไปเหมือนคนไม่รู้เรื่องหรือเปล่า เธอสูดลมหายใจเข้า แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
ผ่านไปสักพัก อวี้อี่มั่วหันไปดูเวลา แล้วพูดขึ้นว่า : “คุณลุงคุณป้าครับ ดึกมากแล้ว งั้นผมขอตัวกลับก่อน”
ได้ยินอวี้อี่มั่วพูดแบบนี้ เย่เฟิงเผิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย หันไปมองเย่หว่านเอ๋อ : “ให้หว่านเอ๋อไปส่งที่หน้าประตูสิ ขับรถก็ระมัดระวังด้วย”
เย่หว่านเอ๋อพยักหน้าเบาๆ รีบลุกขึ้นจากมือของอวี้อี่มั่วไว้ : “พี่มั่ว เดี๋ยวน้องไปส่งค่ะ”
อวี้อี่มั่วไม่ได้ปฏิเสธ เขาบอกลาเย่เฟิงเผิงกับคุณนายเย่เสร็จ ก็จุงมือเย่หว่านเอ๋อแล้วเดินออกไป
เย่หว่านเอ๋อมาส่งถึงหน้ารถ จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมาว่า : “พี่มั่วคะ ที่คุณพ่อพูดเมื่อกี้……พี่อย่าไปใส่ใจเลยนะคะ”
อวี้อี่มั่วตอบกลับ : “ไม่หรอก วางใจเถอะ”
พูดจบเขาก็เปิดประตูเตรียมขึ้นรถ : “ไม่เป็นไรแล้ว เข้าบ้านเถอะ”
“เดี๋ยวค่ะ!” เย่หว่านเอ๋อจู่ๆก็รั้งมือของเขาไว้ แล้วรีบพูดขึ้นว่า : “พี่มั่ว พี่ช่วยพ่อของน้องหน่อยไม่ได้เลยเหรอคะ ช่วงนี้คุณพ่อลำบากมากจริงๆค่ะ”
เธอมองเขาด้วยดวงตาที่กลมโตและดำสนิท แววตาประกายแวววาว ดูแล้วน่าสงสาร น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความออดอ้อน ผู้ชายคนไหนที่ได้ฟังแล้วคงจะปฏิเสธไม่ลง
แต่อวี้อี่มั่วพี่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว เขาหันหน้าเข้าหาเธอ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “เขาให้เธอมาพูดเหรอ?”
เย่หว่านเอ๋อสุดลมหายใจเข้า เธอกัดริมฝีปากแน่น : “ไม่ใช่ค่ะ…พ่อไม่ได้ให้น้องมาพูด น้องพูดเองค่ะ……”
ยังไม่ทันพูดจบ อวี้อี่มั่วก็ดึงมือออกจากมือของเธอ พร้อมกับถอยห่างออกมา
เขามองหน้าเย่หว่านเอ๋อด้วยสีหน้าเข้มขรึม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “หว่านเอ๋อ อย่าทำเรื่องที่น่าผิดหวังแบบนี้อีก”
พูดจบเขาก็หมุนตัวขึ้นรถ ประตูรถโดยไม่ลังเล พร้อมกับแล่นรถออกไป