ดั่งรักบันดาล - บทที่ 357 กันเอาไว้ดีกว่าแก้
คุณฉงมีสีหน้าซีดเผือก และก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้ เธอลุกยืนขึ้น ก่อนจะโค้งคำนับให้กับอวี้อี่มั่วไปมา แล้วเอ่ยขอโทษขอโพยว่า “ขอประธานโทษค่ะท่านประธานอวี้ นักแสดงของฉันไม่ค่อยประสีประสาอะไรเท่าไหร่ ประเดี๋ยวกลับไปแล้วดิฉันจะหว่านล้อมเขาเองค่ะ……”
พูดจบ เธอก็สบมองไปยังสีหน้าเคร่งขึมของอวี้อี่มั่วไปมา ก่อนที่จะไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมามากไปกว่านั้น แล้วสาวเท้ายาวก้าวออกไปจากห้องทำงานในทันที
เมื่อประตูปิดลง ในช่วงเวลานั้นเอง ภายในห้องรับรองแขกก็เหลืออวี้อี่มั่วอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
เขานั่งอยู่บนโซฟา ในสมองกลับคิดเรื่องคำพูดพวกนั้นของเจียงฮ้วนเฉินไปมา หัวใจก็รู้สึกหม่นหมองขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อก่อนที่ซูหลิงมีใจให้เขาทราบอย่างชัดเจน ในตอนแรกซูหลิงยังคงเป็นนัดแสดงดาวรุ่งวัยสิบแปดอยู่เลยตอนที่เขาได้รู้จักกับเธอ เพียงแต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาดื่มเหล้าแทนเธอที่บาร์ หลังจากนั้นก็เลยคุ้นเคยกัน ทั้งสองคนช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปมา เขาให้แหล่งทรัพย์กับเธอ เธอก็ทำภารกิจเป็นเกราะคุ้มกันให้กับเขา ทั้งสองคนถือว่าเป็นสหายกัน ถือว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ทว่ากลับไม่ได้เป็นคนของใจ
เกี่ยวกับความในใจที่ซูหลิงมีให้นั้น เขาก็ปฏิเสธอย่างชัดเจนมาโดยตลอด แต่ทว่าหร่วนซือซือ……
เมื่อนึกถึงชื่อนี้ สมองของอวี้อี่มั่วก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากว่าเป็นแบบที่เจียงฮ้วนเฉินพูดแบบนั้นขึ้นมาจริงๆล่ะก็ หร่วนซือซือมีใจให้กับเขาแน่ๆ แต่ทว่าทำไมเธอถึงจู่ๆก็หายไปในเวลาแบบนี้กันนะ?
ยิ่งคิดความสงสัยก็ยิ่งก่อกำเนิดติดขึ้นในใจของเขา ราวกับว่าเป็นปัญหาที่ยุ่งเยิง ที่ทำให้เขาเต็มไปด้วยความไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง
ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หัวใจของเขาก็เริ่มขัดแย้งกันมากขึ้นแล้ว
พึ่งจะผ่านเวลาเลิกงานไปเมื่อครู่ หลังจากที่อวี้อี่มั่วฟังตู้เยี่ยรายงานขั้นตอนการดำเนินงานเรียบร้อยแล้ว ก็ยิ่งก่อเกิดความหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น ในท้ายที่สุด เขานวดเข้าที่ขมับไปมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นๆขึ้นว่า “เลื่อนแผนงานวันนี้ทั้งหมดเถอะ”
ตู้เยี่ยลอบตกใจ แต่ก็ไม่ได้ไถ่ถามอะไร ก่อนจะเริ่มดำเนินตามคำสั่งทันที
“เอาล่ะ คุณไปทำธุระก่อนเถอะไป คืนนี้ผมกลับเอง”
ตู้เยี่ยตอบรับคำ ก่อนจะสาวเท้าออกไปจากห้องทำงาน
หลังจากที่ตู้เยี่ยจากไปแล้ว อวี้อี่มั่วพลิกนิ้วมือสบมองเอกสาร ไม่รู้ว่าทำไม ตัวหนังสือพวกนั้นคลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าแปรเปลี่ยนไปเป็นตัวหนังสือยึกยือก็ไม่ปาน แม้แต่ตัวอักษรเดียวเขาก็อ่านไม่ออก
ทันใดนั้นเอง ประตูก็ถูกคนเปิดออก ก่อนจะมีคนเดินเข้ามา
เขานึกว่าเป็นตู้เยี่ย ก็เลยไม่ได้เงยหน้าขึ้น
อันใดนั้นเอง มีกลิ่นหอมลอยเข้ามา ก่อนจะตามมาด้วยร่างอรชรของหญิงสาวที่เดินตรงมาหาเขา หลังจากนั้นจึงคล้องแขนขึ้นที่รอบคอเขาทันที
“พี่มั่วคะ พี่ดูอะไรอยู่หรือคะ? ดูเสียจริงจังเชียว!”
พูดไป เย่หว่านเอ๋อก็ยื่นหน้าเข้าไปยิ้มขำใส่เขา
เมื่อเห็นหญิงสายอยู่ในสายตาแล้ว อวี้อี่มั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นมานำมือของเธอออกจากบริเวณรอบลำคอ แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกขึ้นว่า “หว่านเอ๋อ ระวังหน่อย”
“อยู่ในห้องทำงานไม่ถูกใครเห็นเข้าหรอกค่ะ! อีกอย่างพวกเราก็หมั้นกันเรียบร้อยแล้วนะคะ!”
เย่หว่านเอ๋อทำปากยื่นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เดิมทีคิดอยากที่จะยกมือขึ้นไปคล้องคอของเขาอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งครึมของชายหนุ่มแล้ว จึงกักเก็บมือที่คล้องคอเขาอยู่ทันที
เธอตั้งศีรษะขึ้น ก่อนจะจ้องสบมองอวี้อี่มั่วแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “”พี่มั่วคะ พี่เป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายใจงั้นหรือคะ?
“ไม่มีอะไร แค่เรื่องเยอะนิดหน่อยเท่านั้น”
อวี้อี่มั่วนำมือรวบรวมเอกสารเอาไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับเธอมากขึ้นว่า “อยากกินอะไรครับ? พี่จะพาเธอไปเอง”
“ไม่ได้ไปที่จิ่งฟางจายนานแล้วนะคะ รู้สึกคิดถึงค่าวรู๋เกอของพวกเขาขึ้นมานิดหน่อยเสียแล้วสิ!”
“ได้ พี่จะพาเธอไปเอง”
ทั้งสองคนสาวเท้าออกมาจากห้องทำงาน แล้วเดินเข้าไปในตัวลิฟต์
“จริงสิ พี่มั่วคะ” เย่หว่านเอ๋อหันมาสบมอง “ฉันได้ยินมาว่าซือซือลาออกแล้วงั้นหรือคะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วเบาๆ “เธอรู้ได้ยังไง?”
“เมื่อวานที่ฉันออกจากโรงพยาบาลมา เดิมทีก็คิดจะคุยกับเธอเสียหน่อย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะติดต่อเธอไม่ได้ เมื่อครู่นี้ไปที่แผนกบริหารมาแล้วรอบหนึ่ง ถึงจะทราบว่าเธอลาออกแล้วน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้อี่มั่วก็ไม่ได้พูดอะไร
เย่หว่านเอ๋อคล้องแขนชายหนุ่มแน่นขึ้น ก่อนจะแสร้งทำเป็นเสียดาย “บอกตามตรงนะคะ ฉันชอบเธอมากเลย นึกไม่ถึงเลยว่า บทเธอจะลาออกก็ลาออกเลย แม้กระทั่งทักทายยังไม่ทักทายกันเลย……”
พูดไปพลาง เธอก็ลอบสังเกตสีหน้าของอวี้อี่มั่วไปพลาง เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเป็นปกติ ภายในใจของเธอจึงดีใจขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อตอนที่ได้ทราบข่าวจากฮั่นชวนว่าหร่วนซือซือลาออกแล้วนั้น เธอแทบจะยินดีอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เมื่อมาได้ยินคำตอบยืนยันจากปากของอวี้อี่มั่วเองแล้ว เธอก็ยิ่งปกปิดความปีติในใจเอาไว้แทบจะไม่มิด
เดิมทีเธอยังคิดหาวิธีที่จะเขี่ยหร่วนซือซือเอาไว้อยู่เลย ตอนนี้เธอเดินออกไปเองแล้ว กลับกลายเป็นว่าปัญหายุ่งยากที่สุดภายในหัวใจของเธอถูกคลี่คลายลงแล้ว!
หลังจากนี้ต่อไป อวี้อี่มั่วก็จะเป็นของเธอคนเดียว!
“ติ๊ง——”เมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง ทั้งสองคนเดินควงแขนกันออกมา เมื่อถึงหน้าประตูใหญ่ของบริษัทได้อยู่ครู่หนึ่ง จู๋ๆเย่หว่านเอ๋อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันศีรษะไปทางอวี้อี่มั่วแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่มั่วคะ พี่รอสักประเดี๋ยวนะคะ ฉันไปคุยกับบอดี้การ์ดประเดี๋ยวเดี๋ยว ให้เขาขึ้นไปเอาของมาให้ฉันก่อน”
อวี้อี่มั่วพยักหน้าเบาๆ “อืม”
หญิงสาวปลดแขนออกด้วยท่าทางดีอกดีใจ ก่อนจะรีบเดินไปที่ทางด้านข้างของรถคันนั้น เมื่อสบมองผ่านกระจกหน้าต่าง อวี้อี่มั่วก็มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ
ฮั่วชวนสบมองผ่านหน้าต่างรถมองมาที่เขาอยู่พอดี ทั้งสองคนสบสายตามองกันด้วยความบังเอิญ ก่อนที่อวี้อี่มั่วจะเห็นนัยน์ตาเป็นประกายเย็นยะเยือกทิ่มแทงของเขาเข้าอย่างจัง
แต่ทว่าในวินาทีต่อมา เขาก็หันศีรษะกลับไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกดหน้าต่างรถลง แล้วพูดคุยอะไรบ้างอย่างกับเย่หว่านเอ๋อด้วยสีหน้าอ่อนโยน
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว ความรู้สึกของเขาบอกกับเขาว่าชายคนนั้นไม่ธรรมดา เขาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะหยิบโทรศัทพ์มือถือขึ้นมา แล้วส่งข้อความให้กับหลัวยู่ “สืบให้หน่อยสิ เกี่ยวกับข้อมูลของบอกี้การ์ดข้างตัวเย่หว่านเอ๋อ ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
ถ้าหากว่าเจ้าบอดี้การ์คคนนั้นมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วคนที่มีอันตรายไม่ใช่มีเพียงแค่เขา ยังมีเย่หว่านเอ๋ออีก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องกันเอาไว้ดีกว่าแก้
ในตอนที่ไม่ทันที่จะได้รู้สึกตัวนั้น หร่วนซือซือก็จากเจียวโจวมาถึงที่ประเทศอเมริกาได้เป็นเวลาเกือบจะเดือนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
ต้องขอบคุณซ่งเย้อัน เธอพักอาศัยอยู่ที่ห้องทันสมัยเล็กๆของเพื่อนของเขา ที่ชั้นสาม เป็นห้องที่กว้างขวางและสะดวกสบายห้องเล็กๆ ตัวห้องไม่ใหญ่ แต่ทว่ากลับสบายมาก
ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เธอค่อยๆเริ่มคุ้นชินกับชีวิตทางด้านนี้ ไปซื้อข้าวซื้อของคนเดียวบ่อยๆ หลังจากนั้นก็กลับมาอ่านหนังสือเบเกอรี่ที่บ้าน
ชีวิตดูคล้ายราวกับว่าเข้าสู่ช่วงวัยเกษียณอยู่พักหนึ่ง
แต่ทว่าชีวิตแบบนี้ กลับกันกลับเต็มอิ่มเป็นอย่างมาก ในทุกๆวันเธอจะหยิบยกช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งมาสั่งสมและเรียนรู้ ในช่วงเวลาที่ไม่รู้ตัวนั้นเอง กลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งสิ่งที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเธอมากที่สุด นั่นก็คือการแพ้ท้องนั่นเอง
ผ่านไปสองสามวัน ในทุกๆเช้าไม่ว่าหร่วนซือซือจะทานอะไรก็อ้วกออกมาหมด เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้หน้าเธอผมลงมากกว่าเดิม
“ติ๊งตอง——”
เมื่อได้ยินเสียงออกประตูดังนั้น หร่วนซือซือจึงรีบล้างปาก ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ แล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เธอเปิดประตูออก เมื่อสบมองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกแล้วนั้น จู่ๆก็พลันชะงักนิ่ง
ซ่งเย้อันโบกไม้โบกมือทักทายเธอ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ยังไม่เปิดประตูอีก?”
หร่วนซือซือหลุดออกจากภวังค์ ทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ก่อนจะรีบเดินออกไป แล้วเปิดประตูกว้าง “คุณมาได้อย่างไรคะเนี่ย?”
“นี่ก็เดือนหนึ่งแล้วนะครับ ผมก็ต้องมาเยี่ยมคุณหน่อยสิ!”
ซ่งเย้อันสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างดีใจ ในมือถือถุงหลากสีใบหนึ่งอยู่
ทั้งสองคนทักทายกับอีกสองสามประโยค ก่อนที่จะเข้ามาถายในห้อง ซ่งเย้อันนำถุงวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะยิ้มเบาๆแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่คือของที่อันอันกำชับให้ผมต้องเอามาให้กับคุณให้ได้ครับ บอกว่าเป็นเสื้อผ้าเด็กเล็กที่ตอนไปเดินช้อปปิ้งเห็นว่าสวยดีเลยซื้อมา เพราะว่าไม่รู้ว่าน้องจะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ก็เลยซื้อมาให้สองชุดอย่างเป็นพิเศษ……”
“งั้นหรือคะ?” หร่วนซือซือนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนจะเปิดถุงออก แล้วก็เป็นชุดเด็กเล็กน่ารักจริงๆ สีชมพูตัวหนึ่งสีฟ้าตัวหนึ่ง เล็กกระจิดริดและเป็นงานที่สวยละเอียด
ซ่งเย้อันชะโงกหน้าเข้ามา ก่อนจะสบมองชุดทารกครั้งหนึ่ง แล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ “สวยมากครับ แต่เกรงว่าจะซื้อมาเกินตัวหนึ่งนะเนี่ย……”
“ไม่หรอกค่ะ” หร่วนซือซือสบมองเสื้อผ้าตัวเล็กในสายตา ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “สองตัวพอดีเลยล่ะค่ะ”
ในตอนแรกเธอก็นึกว่าภายในท้องของเธอมีชีวิตเล็กๆอยู่แค่คนเดียว ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้ว เธอถึงจะได้รับรู้ว่า เธอไม่เพียงแต่จะถูกหวยเพียงแค่งวดเดียว แต่ยังถูกหวยถึงสองงวดเข้าด้วยกัน!
พระเจ้าคอยดูแลเธออยู่จริงๆ จู่ๆถึงส่งเทวดาตัวน้อยๆถึงสองคนให้กับเธอ?