ดั่งรักบันดาล - บทที่ 416 ฉันไม่ได้โทษนายจริงๆ
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่สำหรับสนามแข่งม้า
ผู้จัดการที่ดูแลสนามแข่งม้ารีบรุดมาถึงที่เกิดเหตุ หร่วนซือซือและอวี้อี่มั่วถูกส่งไปยังห้องพักอย่างรวดเร็วเพื่อดูอาการเบื้องต้น
เพราะเป็นสนามม้าคุณภาพ การเตรียมรับสถานการณ์แบบนี้จึงค่อนข้างเพียบพร้อม รวมถึงมีคุณหมอมือดีด้วย
คุณหมอตรวจอาการเบื้องต้นของหร่วนซือซือเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการทำความสะอาดบาดแผลบนตัวของเธอ พร้อมกับให้ยาทากับเธอแล้วค่อยออกไป
คุณหมอเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ซ่งเย้อัน เซินเซินและซาซาที่รออยู่หน้าประตู รอต่อไม่ไหวก็เลยรีบพุ่งเข้ามาในห้อง
“แม่ครับ/คะ!”
เด็กน้อยทั้งคู่น้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแดงก่ำ ทั้งคู่วิ่งมาเกาะที่ข้างๆเตียงของหร่วนซือซือ รีบถามด้วยความเป็นห่วง
“แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“ขอหนูดูหน่อยเจ็บตรงไหนคะ……”
หร่วนซือซือรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอยื่นมือไปลูบหัวของเด็กทั้งสองเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องห่วง แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เธอเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากจริงๆ เพราะตอนที่ตกจากหลังม้า อวี้อี่มั่วก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้ว
นอกจากแผลถลอกภายนอกแล้ว เธอก็ไม่ได้รับบาดเจ็บภายในหรือกระดูกเคลื่อนอะไรเลย
พูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังซ่งเย้อันที่ยังอยู่ข้างๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เธอยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ไม่ต้องห่วง……”
ซ่งเย้อันก็ยิ้มขึ้นเจื่อนๆ ก้มหน้ามองดูสองเด็ก แล้วพูดขึ้นว่า : “ไหนใครรับปากว่าถ้าเห็นแม่แล้วจะเป็นเด็กดี? ไปรออยู่ที่ห้องรับแขกนะครับ พ่อขอคุยกับแม่ก่อน”
เซินเซินและซาซาหันมาสบตากัน รู้สึกไม่อยากห่างจากแม่เลย แต่สุดท้ายก็ต้องยอม ทั้งสองพยักหน้าแล้วพากันจูงมือเดินออกไป
ประตูห้องปิดลง ทั้งห้องก็เหลือแค่สองคนแล้ว
แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร บรรยากาศในห้องดูอึมครึมกว่าเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง
ซ่งเย้อันไม่ได้พูดอะไร เขานั่งลงข้างเตียงเงียบๆ สักพัก เขาก็ยื่นมือออกมากุมมือของเธอไว้ด้วยความอ่อนโยน
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที……
ผ่านไปพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาไร้สีหน้าอ่อนโยนเหมือนอย่างปกติที่เคยเห็น แต่กลับเป็นสีหน้าที่รู้สึกผิดแทน
เขาสูดลมหายใจเข้า ดวงตาแดงก่ำ เสียงที่ค่อนข้างแหบและสั่นเครือ
“ซือซือ ขอโทษนะ เพราะฉันเองที่ไม่ได้ปกป้องเธอดีๆ”
และสิ่งสำคัญกว่านั้น คนที่ช่วยเธอให้พ้นจากอันตราย ไม่ใช่เขา แต่กลับเป็นอวี้อี่มั่ว!
เมื่อเห็นเค้าที่เป็นแบบนี้ ความเชื่อของหร่วนซือซือก็ยิ่งแน่นแฟ้นเข้าไปใหญ่ เธอสุดลมหายใจเข้า และรีบพูดขึ้นว่า : “ไม่ได้โทษนายเสียหน่อย……”
ม้าขาวอยู่ๆก็พยศ นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่ได้คาดฝัน และเธอเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปโทษเขาเลย
เธอกัดฟันแน่น รีบพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า : “เย้อัน ฉันไม่ได้โทษนายจริงๆ……”
แต่ยิ่งเธอพูดแบบนี้ ซ่งอันเย้ก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ สุดท้ายอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆคงที่ เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วพูดเสียงเบาว่า : “เธอพักผ่อนนะ ต้องการอะไรก็เรียกฉันได้”
หร่วนซือซือพยักหน้าตอบ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา มองซ่งเย้อันที่ออกจากห้องไปแล้ว เธอจึงค่อยๆนอนลงบนเตียง
เธอนอนมองเพดาน หร่วนซือซือรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดวันนี้เหมือนฝันไม่มีผิด ความฝันที่มาแบบกะทันหัน……
เธอหลับตาลง ทันใดนั้นก็มีภาพบางอย่างแวบเข้ามาในดวงตาเธอ เป็นภาพวินาทีที่เธอกำลังตกจากหลังม้า
ห้วงเวลานั้น หัวใจของเธอราวกับจะทะลุออกมา แต่วินาทีต่อมา เธอก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
เสียงของหัวใจของเธอ “ตึกตัก” “ตึกตัก” เต้นอยู่ในอกเธออย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้…เขาเป็นยังไงบ้างนะ?
เขาที่ปกป้องเธอในอ้อมกอด แล้วตกลงจากหลังม้า เขาต้องบาดเจ็บหนักกว่าเธอแน่ๆ!
วินาทีนั้น ในใจของหร่วนซือซือก็เป็นกังวลใจขึ้นมา
คิดไปคิดมา เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้น แต่ไม่กล้าที่จะโทรออก สุดท้าย เธอจึงค้นหาเบอร์ของตู้เยี่ย กัดฟันแน่น แล้วโทรออก
เพียงครู่เดียว ก็โทรติด ตู้เยี่ยรับสายด้วยน้ำเสียงสุขุมเป็นทางการ : “ฮัลโหล?”
หร่วนซือซือสุดลมหายใจเข้า เธอรวบรวมความกล้า แล้วถามออกไปว่า : “อวี้อี่มั่ว……ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
ปลายสายนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงตอบกลับมาว่า : “ท่านประธานอาการไม่ค่อยดีครับ”
หร่วนซือซืออุทานขึ้นมาอย่างลืมตัว : “อะไรนะ! เขาเป็นอะไรไป!”
ตู้เยี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตู มองไปยังอวี้อี่มั่วที่กำลังได้รับการรักษา เขานิ่งไปสักพักแล้วพูดขึ้นว่า : “เกรงว่าจะไม่สะดวกที่จะเปิดเผยครับ”
หร่วนซือซือที่กำลังร้อนใจ จึงพูดออกไปว่า : “ตู้เยี่ย ตอนแรกฉันกะจะจับคู่นายกับอันอัน นึกไม่ถึงเลยว่า……”
เธอพูดยังไม่ทันจบ แต่ตู้เยี่ยที่ตื่นเต้นขึ้นมา ก็หลุดปากพูดออกไป : “ท่านประธานกระดูกหักครับ”
“อะไรนะ!” หร่วนซือซือผงะ เธอลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว : “อาการหนักไหม?”
ตู้เยี่ยหันไปมองที่เตียง และคุณหมอสองท่านที่ยืนล้อมรอบอยู่ : “หนักอยู่ครับ”
หร่วนซือซือเมื่อได้ยินแล้ว ก็รู้สึกเริ่มนั่งไม่ติด
นึกไม่ถึงเลยว่า อวี้อี่มั่วเพื่อที่จะช่วยเธอแล้ว ไม่เพียงแค่เจ็บสาหัส แต่นี่ถึงขั้นกระดูกหักเลยเหรอ!
เธอนั่งต่อไม่ไหวแล้ว ถึงตัวเธอยังไม่ขยับ แต่ใจของเธอไปไกลแล้ว
“คุณหร่วน ยังมีธุระอื่นหรือเปล่าครับ?”
หร่วนซือซือเมื่อได้ยินแล้ว เธอสุดลมหายใจเข้า รีบออกคำสั่งกับตู้เยี่ยว่า : “ฉันแค่ถามสถานการณ์เฉยๆ เรื่องที่ฉันโทรหานาย ห้ามบอกอวี้อี่มั่วเด็ดขาดนะ”
พูดจบ เธอก็วางสายไป เก็บมือถือ แล้วนอนลง ภายในใจกังวลไม่หยุด
เมื่อกี้ตอนที่ยังไม่รู้สถานการณ์ เธอก็แค่เป็นห่วงเขาจริงๆ แต่เมื่อรู้ว่าอวี้อี่มั่วบาดเจ็บแล้ว เธอก็ยิ่งร้อนใจไปใหญ่
เวลาเดียวกัน อวี้อี่มั่วที่อยู่ในห้องพัก
เมื่อคุณหมอทั้งสองคนจัดการ เรียบร้อยแล้ว ก็อธิบายเกี่ยวกับข้อระวังต่างๆ เสร็จแล้วก็ออกไป เวลานี้ก็เหลือเขาอยู่คนเดียวในห้องแล้ว
เขาลืมตาขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นิ่งอยู่สักพัก แล้วก็หันไปมองทางตู้เยี่ย พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เมื่อกี้ใครโทรมา”
ตู้เยี่ยสะดุ้งโหยง เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “หร่วนซือซือครับ”
อวี้อี่มั่วถามมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเขารู้อยู่แล้ว ตู้เยี่ยจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังต่อ
เมื่อได้ยินแล้ว เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง ยิ้มขึ้นที่มุมปาก แล้วถามต่อว่า : “เธอพูดอะไร?”
“ถามถึงอาการของคุณ” ตู้เยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อว่า : “แล้วก็ไม่ให้ผมบอกคุณด้วยว่าเธอโทรมา”
เวลานั้นเอง อวี้อี่มั่วก็ยิ้มกว้างขึ้น
“ผู้หญิงโง่”
เขาขยับปาก เหมือนพูดอยู่คนเดียว
หลังจากนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก็หันไปถามตู้เยี่ยต่อว่า : “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”
“คุณเย่ เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยครับ……”
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว : “เธอเป็นอะไร?”
ตู้เยี่ยรายงานตามความเป็นจริง : “ได้ยินมาว่าเธอเห็นคุณตกจากหลังม้า ตกใจจนเป็นลมไป ถูกส่งตัวไปที่ห้องพักแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้สติหรือยังครับ”
เขาฟังแล้วสีหน้าก็เครียดขรึมขึ้น เขาเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เงียบอยู่สักพัก
เวลาผ่านไปสักพัก เขาสุดลมหายใจเข้า สั่งด้วยน้ำเสียงเรียบว่า : “เดี๋ยวนายไปดูว่าเธอตื่นหรือยัง เธออยากได้อะไร นายก็ไปจัดการมาให้เรียบร้อย”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเหินห่างระหว่างเขาและเย่หว่านเอ๋อยิ่งอยู่ก็ยิ่งไกลออกไป แต่เขาเองก็ไม่อยากเห็นเธอน้อยใจ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงพยายามชดเชยให้เธอ
ตู้เยี่ยรับคำสั่ง หมุนตัวพร้อมเดินออกไป
เวลานั้นเอง ห้องทั้งห้องก็เหลืออวี้อี่มั่วคนเดียวอีกครั้ง
เขาหยิบมือถือขึ้นมา กดเบอร์ของหร่วนซือซืออย่างไม่รู้ตัว ลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่กล้ากดโทรออกสักที
สุดท้ายแล้ว เขาก็วางมือถือลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เขาเป็นคนไม่เด็ดขาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?