ดั่งรักบันดาล - บทที่ 418 คำขอบคุณราคาถูก
เธอนั่งอยู่ข้างเตียง หร่วนซือซือตัวแข็งทื่อ นิ่งราวกับหิน ลืมแม้กระทั่งหายใจ
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอวี้อี่มั่วช่วยชีวิตเธอไว้ เธอออกไปตั้งนานแล้ว แม้แต่ครึ่งนาทีก็ไม่อยู่ต่อ
สามนาทีผ่านไป หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า เธอหันหน้าไปหาเขา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ดึกมากแล้ว ฉันควรต้องกลับแล้ว”
เธออยู่เป็นเพื่อนเขาตั้งหลายนาที ก็เกินความอดทนของเธอมากพอแล้ว
แต่เขากลับยื่นแขนอีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจับมือของเธอไว้แน่น รีบพูดขึ้นว่า : “หร่วนซือซือ การขอบคุณของเธอทำไมราคาถูกขนาดนี้ มีค่าแค่สามนาทีเหรอ?”
หร่วนซือซือขมวดคิ้วแน่น เธอพูดอะไรไม่ออก
ทันใดนั้นเอง เขาก็ออกแรงดึงมือของเธอ แรงดึงทำให้เธอเสียหลักกึ่งนอนทับลงบนตัวของเขา ทั้งคู่ห่างกันเพียงนิดเดียว เพียงแค่เธอเงยหน้าขึ้น ก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขาที่พ่นลงบนหัวของเธอ รู้สึกชาๆและจั๊กจี้
เธอเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาสีดำทมิฬของเขา หัวใจก็เริ่มเต้นรัวขึ้น ร่างกายก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
ระยะที่ใกล้กันแบบนี้ เป็นระยะของความคลุมเครือ เพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้นมา ก็จะจูบโดนหน้าผากของเธอทันที……
ทันใดนั้น จู่ๆเธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างบดบังสายตาของเธออยู่ ตอนนั้นเอง ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสกับริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา
วินาทีนั้น หร่วนซือซือแข็งทื่อไปทั้งตัว ราวกับถูกสะกดไว้ เธอไม่กระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียว
อวี้อี่มั่วก้มหน้าลง มองดูผู้หญิงที่กำลังอึ้งในอ้อมแขนของเขา เขายิ้มกว้างขึ้นที่มุมปาก
ในระหว่างที่เธอยังไม่ได้สติ เขาก้มหน้าลง แล้วประทับจูบลงไปอีกครั้ง แต่ไม่เหมือนกับเมื่อสักครู่ ครั้งนี้เป็นจูบที่ละมุนและนุ่มนวล น่าหลงใหล……
ห้วงเวลานี้ ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ ปราศจากความลังเลและความกังวล เขามีโอกาสแค่เพียงตอนนี้ที่จะจูบเธอ และมีเธอ……
ขณะที่เขาบีบไหล่ของเธอแรงขึ้น หร่วนซือซือถึงเพิ่งได้สติขึ้นมา เธอรีบผลักอกของเขาออกห่าง
“คุณ……ปล่อยฉันนะ”
หร่วนซือซือสับสนไปหมด จนลืมไปเลยว่าแขนของอวี้อี่มั่วบาดเจ็บ เธอผลักออกไปเต็มแรง และก็บังเอิญผลักโดนแขนข้างที่บาดเจ็บอยู่ อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น เสียงครางดังขึ้นเบาๆจากปากของเขา
หร่วนซือซือสะดุ้ง เธอเองเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงหยุดชะงักไป ไม่กล้าที่จะขยับต่อ เธอรู้สึกจุกขึ้นมาในใจ อดไม่ได้ที่จะถามว่า : “โดนแขนคุณเหรอ? เจ็บมากหรือเปล่า?”
อวี้อี่มั่วที่ขมวดคิ้วอยู่ เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นสูง ยิ้มขึ้นกรุ้มกริ่ม : “เป็นห่วงเหรอ?”
หร่วนซือซือเมื่อได้สติ ก็รีบเก็บสีหน้าอารมณ์ของตัวเอง รีบปฏิเสธออกไปว่า : “ใครเป็นห่วงคุณ!”
“เหรอ?” อวี้อี่มั่วหรี่ตาลง ราวกับว่าอ่านใจเธอได้ทะลุปรุโปร่ง เขาพูดขึ้นมาอย่างมีเลศนัยว่า : “ในเมื่อไม่ได้เป็นห่วง แล้วหน้าแดงทำไมล่ะ?”
เธอเองก็คงจะไม่รู้ตัว ว่าใบหน้าและใบหูของเธอแดงก่ำ สีชมพูอ่อน ดูแล้วน่ารักมาก
เมื่อได้ยินแล้ว หร่วนซือซือก็ขมวดคิ้ว เธอรีบปฏิเสธออกไปทันที : “เป็นไปไม่ได้!”
เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะหน้าแดงต่อหน้าอวี้อี่มั่ว! หากเป็นเธอเมื่อห้าปีที่แล้วก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ว่าตอนนี้เธอเลยวัยที่จะเขินหน้าแดงไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะหน้าแดงกับเขา
เมื่อได้ยินเธอปฏิเสธ อวี้อี่มั่วไม่ได้โกรธแต่กลับขำ : “เดี๋ยวจะบอกให้ ว่ามันแดงตรงไหน”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือมาเชยคางของเธอขึ้น หอมลงไปที่แก้มและใบหูของเธอ
“ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้……”
วินาทีนั้น หร่วนซือซือรู้สึกภายในร่างกายร้อนไปหมด เหมือนไฟกำลังเผาไหม้สติความนึกคิดของเธอ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความคลุมเครือทันที ทั้งคู่เหมือนเปลวไฟที่มาเจอกัน เข้าหากัน และช่วยกันเผาไหม้
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น เธอที่คิดจะผลักเขาออก แต่คำพูดพี่เธอจะพูดออกมากลับกลืนลงคอไปหมด เธอพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
แสงจันทร์นอกหน้าต่างสาดเข้ามาผ่านหน้าต่างในบ้านกระทบลงบนร่างของทั้งสอง ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเสน่หา
หร่วนซือซือราวกับกำลังฝัน ฝันว่าเธอที่กำลังวิ่งไม่หยุด วิ่งจนเหงื่อท่วมร่างกาย เปียกชุ่มไปหมด เธอจึงค่อยๆลดฝีเท้าลง สุดท้าย ร่างกายก็หมดแรง เธอทิ้งตัวนอนลงบนผืนหญ้าที่เขียวชอุ่ม และหายใจหอบ……
เมื่อตื่นขึ้น บรรยากาศข้างนอกยังมืดสนิท วินาทีที่เธอหันมาเจอผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆ ความง่วงก็หายไปในพริบตา
นึกไม่ถึงเลยว่า เธอและอวี้อี่มั่วจะ……
ความสำนึกผิดและความรำคาญท่วมท้นในใจ เวลาเดียวกันในหัวของเธอก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ฉากนั้น ภาพเหตุการณ์นั้นของเธอและอวี้อี่มั่ว
วินาทีนั้น เธอทั้งอายและรำคาญใจ เธอตบหน้าตัวเองอย่างแรง
ถ้าหากเธอเมาเหล้าแล้วทำเรื่องแบบนี้ก็ยังพอว่า แต่เมื่อคืนทั้งเธอและอวี้อี่มั่วมีสติดีครบถ้วน ทำไมเธอถึงไม่ห้ามใจตัวเองล่ะ?
หร่วนซือซือกัดริมฝีปากตัวเองแน่น หันไปมองหน้าเขาที่กำลังนอนหลับอยู่ เธอตัดสินใจค่อยๆลงจากเตียงอย่างเงียบที่สุด
เสื้อผ้าของเธอและอวี้อี่มั่วทิ้งกระจายไปตามพื้น ยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าคนอื่นเห็นเข้า ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น เธออายจนแทบจะมุดแผ่นดินหนี เธอค่อยๆเก็บเสื้อผ้าของตัวเองขึ้น เขย่งเท้าเปล่าเดิน เธอรีบสวมชุด แล้วเปิดประตูออกจากห้องไปเงียบๆ
ออกจากห้องของเขาไปแล้ว จึงเพิ่งมีโอกาสดูนาฬิกา ตีสี่ครึ่ง ใกล้จะเช้าแล้ว
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้า รีบตรงไปยังห้องของตัวเอง แต่ทุกๆย่างก้าว เธอรู้สึกปวดขามากราวกับมันกำลังจะฉีกขาด
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นกลับห้องของตัวเอง เมื่อถึงหน้าประตู เธอแตะคีย์การ์ดแล้วเข้าไปในห้อง
เธอกลับไปนอนต่อจนถึงแปดโมงครึ่ง จนเซินเซินและซาซามาเปิดประตู เธอถึงเพิ่งจะตื่น
เมื่อตื่นแล้ว เธอรู้สึกเจ็บระบมไปทั่วร่างกาย ราวกับว่ามันจะแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ ทุกๆก้าวที่เธอเดิน ขาของเธอทั้งปวดและสั่นไปหมด
หลังอาหารเช้า ซ่งเย้อันรู้สึกถึงความผิดปกติ ถึงรีบถามขึ้นว่า : “ซือซือ ขาของเธอเป็นอะไรไป?”
หร่วนซือซือสีหน้าผิดปกติขึ้นมาทันที จึงรีบพูดขึ้นว่า : “น่าจะเป็นเพราะล้มเมื่อวานนี้ อีกสองสามวันคงจะหาย”
ซ่งเย้อันเมื่อได้ยินแล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เห็นเขาที่หันไปมองสองเด็ก หร่วนซือซือจึงแอบถอนหายใจเบาๆ
เวลานั้นเอง มือถือที่อยู่ในมือของเธอก็สั่นขึ้น ส่งสัญญาณเตือนว่าได้รับข้อความ
เธอก้มลงมองโทรศัพท์ แต่เมื่อเห็นชื่อ”อวี้อี่มั่ว”แล้ว เธอก็ตัวแข็งทื่อทันที
เธอสุดลมหายใจเข้า หมุนตัวไปข้างๆ แล้วกดเข้าไปดูข้อความ
“หนีไปแล้วเหรอ? กลัวฉันจะกินเธอรึไง?”
หร่วนซือซือรู้สึกแน่นไปทั้งอก
โทรศัพท์ของเธอสั่นขึ้นอีกครั้ง ข้อความที่สองของอวี้อี่มั่วถูกส่งมา
“หาเวลามาหาฉันหน่อย มีเรื่องจะพูดด้วย”