ดั่งรักบันดาล - บทที่ 441 เกิดอะไรขึ้นแล้วใครจะรับผิดชอบ?
“ฉันไป”
เธอเป็นผู้กำกับหลักในการรับผิดชอบการถ่ายทำในครั้งนี้ เมื่อครั้งก่อนก็ได้ผ่านการประชุมพูดคุยกันมาหลายครั้งแล้ว จึงรู้ดีเป็นอย่างมากว่าทางบริษัทฝั่งนั้นต้องการให้ผลสุดท้ายแล้วแสดงออกมาให้เห็นและเป็นไปในรูปแบบใด
ดังนั้น ในเมื่อครั้งนี้ได้เดินทางมาถึงไต้ซานแล้ว เธอจึงไม่สามารถกลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิดหวังได้
สถานที่แห่งนั้น เธอจะต้องไปดูให้ได้แน่ๆ
หลินจื่อเบิกตากว้าง ก่อนจะตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย “อะไรนะครับ?”
หร่วนซือซือยิ้มให้เขา “ทางนี้มีผู้กำกับกาวคอยดูแลอยู่ เรื่องการถ่ายทำฉันไม่กังวลหรอกค่ะ ฉันจะไปดูลาดราวให้ก่อน ไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ถ้าหากเหมาะสมแล้วล่ะก็ พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ตรงไปถ่ายทำที่ด้านนั้นโดยตรงเลย ถ้าหากไม่เหมาะสมขึ้นมา พวกคนงานของเราจะได้ไม่ต้องไปให้เสียเทียว”
เมื่อได้ยินเธอเอ่ยขึ้นมาดังนั้นแล้ว หลินจื่อส่ายศีรษะไปมาทันที “จะโอเคได้อย่างไรกันครับ? ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาล่ะครับ?”
หร่วนซือซือยิ้มกว้าง ก่อนที่จะเริ่มขยับตัวเก็บข้าวเก็บของ “จะมีอันตรายอะไรล่ะคะ? ฉันแค่ไปดูเท่านั้นเอง อีกประเดี๋ยวก็จะกลับมาแล้วล่ะค่ะ ถ้าหากว่าถึงตอนสี่โมงแล้ว ฉันจะลงจากเขามาทันทีเลยค่ะ”
เธอไม่ใช่เด็กสาวในเมืองที่อะไรๆก็จะต้องกลัวคนมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ไปปีนเขาอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องครั้งนี้นั้น สำหรับเธอแล้วก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก
หลินจื่อยังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย กำลังลังเลอยู่เลยว่าจะเรียกผู้กำกับกาวให้เข้ามาพูดคุยด้วยดีหรือไม่ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าหร่วนซือซือจู่ๆก็ยื่นมือมาจับเข้าที่แขนของเขา ก่อนจะเอ่ยคำสั่งขึ้นมาว่า “ตอนนี้อย่าพึ่งไปรบกวนทางผู้กำกับกาวก่อนเลยนะคะ อีกประเดี๋ยวคุณค่อยไปคุยกับเขาก็ได้ค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ ไม่ต้องกังวล”
พูดไป เธอก็ยกมือขึ้นมาตบเข้าที่ไหล่ของหลินจื่อเบาๆ ก่อนจะสะพายกระเป๋าสำหรับปีนเขาไว้บนหลัง แล้วสาวเท้ายาวก้าวไปทางนั้นทันที
หลินจื่อยังคงรู้สึกลังเลอยู่ไม่คลาย แต่ทว่าในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ขัดขวางเธอเอาไว้
หร่วนซือซือสาวเท้ายาวก้าวไปข้างหน้า ลงน้ำหนักหนักเบาสลับกันเดินไปทางเส้นทางบนเขา ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เธอก็ไม่ได้มาสถานที่เงียบสงบแบบนี้มานานมากแล้ว ตอนนี้มาปีนเขาคนเดียว แต่ทว่ากลับเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนเดิมเลยทีเดียว
ผ่านไปไม่นานนัก เธอชะโงกศีรษะกลับไป ตอนนี้มองไม่เห็นเต้นท์ของคณะถ่ายทำเรียบร้อยแล้ว
เส้นทางบนภูเขานั้นสูงชัน เมื่อเดินขึ้นไปก็รู้สึกเสียพลังงานไปเล็กน้อย เวลาผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบนาทีอย่างไม่รู้ตัวเลย ทัศนียภาพของสองข้างทางก็เริ่มจะโอเคแล้ว แต่ทว่าท้องฟ้ากลับมืดครึ้มขึ้นมาเล็กน้อย
หร่วนซือซือสูดอากาศเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย
ก่อนจะเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทัศนียภาพรอบด้านจึงค่อยๆไม่เหมือนเดิมขึ้นมาเล็กน้อย ภายในหัวใจของเธอรู้สึกปีติขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะบันทึกภาพและทำสัญลักษณ์เอาไว้ที่ข้างทางด้วย ความเร็วไม่ถือว่าเร็วมาก แต่ทว่ากลับไม่เสียแรงกำลังไปมากนัก
ในระหว่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น ระยะเวลาที่เธอจากกับกลุ่มคณะถ่ายทำมานั้นผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นเข้มขึ้น แสงจากพุ่มไม้ด้านในยิ่งมืดเข้าไปใหญ่ หร่วนซือซือค่อยๆเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่ทว่ายังคงไม่เห็นทัศนียภาพที่เห็นได้จากโดรนเมื่อครู่นี้เลย
เธอสูดอากาศเข้าลึกๆ ภายในใจรู้สึกไม่สงบบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย
หากให้ว่ากันตามหลักการแล้ว จากระยะเส้นทางนั้น ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็น่าจะถึงจุดหมายได้แล้วนี่ หรือจะเป็นเพราะว่าเธอเดินมาผิดทางแล้วกันนะ?
เธอเปิดเข็มทิศในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะหมุนตัวรอบหนึ่ง แล้วค้นพบว่าเส้นทางถึงแม้จะห่างไกล แต่ทว่าก็เดินทางมาถูกทางแล้ว หรือว่าเธอควรที่จะเดินหน้าต่อไปอีกเสียหน่อย ถึงจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพนั่นได้กันนะ?
ในระหว่างที่เธอกำลังลังเลอยู่ว่าจะเดินหน้าต่อหรือว่าจะถอยกลับอย่างไม่รู้ตัวเลยนั้น จู่ๆท้องฟ้ากลับส่งเสียงคำครามลั่นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ คลับคล้ายคลับคลายราวกับเสียงสัตว์ป่าที่กำลังร้องอย่างหิวโซก็ไม่ปาน ทำให้คนหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย
หร่วนซือซือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ณ เวลานี้ ถ้าหากเธอเลือกที่จะหยุดแล้วกลับไปล่ะก็ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วที่เธอเดินทางมากว่าชั่วโมงกว่าที่ผ่านมานั้นก็ถือว่าเสียเปล่าแล้ว แต่ทว่าตอนนี้สายตากับสบไปเห็นเมฆสีครึ้มที่กำลังตั้งเค้ามาแล้ว การจากไปจึงถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุด
หร่วนซือซือสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะหยิบผ้าเล็กๆสีแดงที่เหลือเพียงสองเส้นสุดท้ายออกมาจากกระเป๋า แล้วผูกเป็นสัญลัษณ์ไว้ที่ต้นไม้ในบริเวณนั้น หลังจากนั้นจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเอาไว้สองสามภาพ
ทำสัญลักษณ์เอาไว้แบบนี้แล้ว เมื่อรอให้ขึ้นเขามาในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากเธอยังมีเวลาเหลือ ก็จะค้นหามันต่ออีกสักครั้ง
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว เธอจึงหมุนตัว แล้วเดินลงเขาไป
ในช่วงเวลานั้นเอง ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกกระทบลงมาทันที ทีละเม็ดทีละเม็ด หัวใจของหร่วนซือซือรีบรัดเข้าหากันแน่น ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วมากยิ่งขึ้น
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ มันเริ่มถี่ขึ้น หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียง “ครืน!” จากเสียงฟ้าร้อง เมื่อสาดลงมาดัง “เปรี๊ยง!” แล้ว ฝนจึงตกมากขึ้นกว่าเดิม
เพียงไม่กี่ก้าว เสื้อผ้าของหร่วนซือซือเปียกชุ่มไปหมดแล้ว เม็ดฝนตกกระทบลงมาเข้าที่ใบหน้าของเธอ ทำให้ดวงตาของเธอพร่ามัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้องฟ้าทั้งมืดทั้งครึ้ม บวกกับกลุ่มต้นไม้ที่ขวางเอาไว้อยู่ ภายในป่าจึงมืดมากจนแทบมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน ทันใดนั้นเอง เท้าของหร่วนซือซือก็ลื่นขึ้น ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันที่จะได้ระวังตัว
“อ๊ะ!”
ฝนตกจึงทำให้เส้นทางลื่น บวกกับลักษณะบนภูเขาที่เป็นพื้นที่ราบเรียบลงมา ร่างทั้งร่างของเธอจึงขาดการทรงตัว ก่อนที่ร่างจะกลิ้งตกลงไปทันที!
ในช่วงเวลานั้นเอง สมองของหร่วนซือซือฉายภาพบางอย่างออกมาสองสามภาพ เซินเซินซาซา ศาสตราจารย์หร่วนคุณนายหลิว อีกทั้งยังมีใบหน้าของอวี้อี่มั่ว……
“ปึก!” ร่างของเธอชนเข้ากับของแข็งบางอย่างเข้าอย่างจัง ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง สมองของเธอชาไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะสลบไป
โรงแรมไต้ซาน
เมื่อกลุ่มของผู้กำกับกาวมาถึงที่บริเวณโถงใหญ่ ทุกคนโดนฝนเปียกชื้นกันไปหมด
ทางข้างมีพนักงานโรงแรมเดินเข้ามาหา ก่อนจะยื่นผ้าขนหนูแห้งให้กับพวกเขา ผู้กำกับกาวเช็ดหยาดน้ำฝนที่อยู่บนร่างไปมา ก่อนจะรีบเดินเข้าไปสอบถามยังจุดประชาสัมพันธ์ทันทีว่า “คุณหร่วนที่เป็นแขกคนพักอยู่ที่ห้อง 702 กลับมาหรือยังครับ?”
พนักงานค้นหาในบันทึกไปมา ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ยังไม่กลับมาครับผม”
เมื่อได้ยินฝ่ายประชาสัมพันธ์เอ่ยขึ้นดังนั้นแล้ว สีหน้าของผู้กำกับกาวแปรเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาหร่วนซือซือทันที
โทรไปแล้วสองสามสาย ทางฝั่งนั้นกลับมีเสียงคอลเซ็นเตอร์ผู้หญิงตอบกลับมาเท่านั้น บอกมาว่าไม่มีคนรับสาย
ทันใดนั้นเอง ผู้กำกับกาวก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
หลินจื่อเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ผู้กำกับหร่วนยังไม่กลับมาหรือครับ?”
“ยังเลย” ผู้กำกับกาวขมวดคิ้วแน่น ภายในใจก่อเกิดโทสะขึ้นมา “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้รอเธอกลับมาพร้อมกัน! ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ พวกเราจะรับผิดชอบไหวหรือ!”
พูดไป เขาก็ช้อนสายตาขึ้น ก่อนที่สายตาเย็นยะเยือกจะสบมองไปยังหลินจื่อ “ยังมีคุณอีกคน ทำไมในตอนแรกถึงปล่อยเธอไปคนเดียวได้อย่างไรกันนะ!”
ไม่ว่าจะว่าอย่างไร ไม่ว่าจะวิธีไหน ก็ไม่ควรที่จะให้เธอที่เป็นผู้หญิงคนเดียวเดินเข้าไปในป่าลึกสิ!
ตอนนี้ คนก็ยังไม่กลับมา ด้านนอกก็มีฝนตกหนักขนาดนั้น ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบได้
หลินจื่อที่ถูกต่อว่ากลับพูดอะไรไม่ออก ในตอนแรกเขาคิดว่าหร่วนซือซือคงจะไปไม่ไกล ไม่แน่ว่าอาจจะเดินไปข้างหน้านิดๆหน่อยๆก็กลับมาแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า เธอกลับไปไกลมากขนาดนั้น
พนักงานคนอื่นๆก็อยู่ทางด้านข้างด้วยกัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมากันสักคน
คนเหล่านี้เป็นพนักงานของผู้กำกับกาวทั้งหมด เป็นคนที่เขาเลือกมาเองกับมือ เป็นคนก่อตั้งกลุ่มคณะนี้ขึ้นมาเอง ย่อมต้องเกรงอกเกรงใจต่อผู้กำกับกาวอยู่แล้ว
ผู้กำกับกาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ภายในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจและกังวล เขาสบมองไปที่ฝนที่กระหน่ำตกลงมาอยู่ทางด้านนอก ภายในใจก็ยิ่งไม่สงบ
ในช่วงเวลานั้นเอง รถคันหรูสีดำคันหนึ่งมาจอดเทียบท่าอยู่ที่หน้าประตูของโรงแรม ไม่นานนักก็มีคนลงมาจากรถ ก่อนจะเปิดประตูออก แล้วยกมือขึ้นกางร่มคันใหญ่สีดำให้
ตามต่อมาด้วย อวี้อี่มั่วที่สวมสูทสีดำสนิทเนื้อดีสาวเท้าก้าวตามลงมา ใบหน้าเคร่งครึม เย็นชา
พวกเขาสาวเท้า ก่อนจะก้าวตรงมุ่งเข้าไปในตัวโรงแรมทันที
เมื่อผู้กำกับกาวเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าใครมา ภายในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่ออี้อี่มั่วหันสายตามาสบมองที่เขาครั้งหนึ่งแล้ว ก็สาวเท้าก้าวเข้ามาหากลุ่มพวกเขาในทันที
เป็นผู้กำกับกาวที่เดินเข้าไปเอ่ยทักทายด้วยตนเองก่อนว่า “ท่านประธานอวี้ คุณมาได้อย่างไรกันครับ?”
อวี้อี่มั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมมีงานที่ต้องมาทำแถวนี้ ได้ยินมาว่าพวกคุณออกมาข้างนอกกัน ก็เลยมาประชุมกับพวกคุณที่ครั้งที่แล้วไม่ได้ประชุมกัน”
เขาพูด พลางใช้สายตาสบมองไปยังกลุ่มคนครั้งหนึ่ง เมื่อไม่เห็นเงาที่คุ้นเคยนั้นแล้ว จึงอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “หร่วนซือซืออยู่ไหนครับ?”
เมื่อผู้กำกับกาวถูกเอ่ยถามขึ้นดังนั้นแล้ว ใบหน้าจึงซีดเผือกในทันที ก่อนจะอ้าปากค้างไว้ แต่ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก