ดั่งรักบันดาล - บทที่ 442 ตกหลุมพราง
เดิมทีเธอสวมใส่ชุดออกกำลังกายมาชุดเดียวเท่านั้น หากถอดออกมาตอนนี้ล่ะก็ บนร่างก็แทบจะไม่เหลืออะไรอยู่เลย
แต่ยังดี ที่นี่เป็นป่ารกทึบ แถมยังมืดมากอีกด้วย เดิมทีก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว
หร่วนซือซือกุลีกุจอนำ “เชือกที่ทำขึ้นเอง” ไปผูกติดเอาไว้กับต้นไม้ที่อยู่ทางด้านข้าง หลังจากนั้นจึงตะโกนลงไปในหลุมเสียงดังว่า “อวี้อี่มั่ว ดึงเชือกเอาไว้แล้วปีนขึ้นมาค่ะ!”
คนที่อยู่ภายในหลุมได้ยินดังนั้น มีปฏิกิริยานิดหน่อย ก่อนจะดึงเชือกแล้วปีนขึ้นมา เป็นเพราะว่าร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บ การปีนขึ้นมาก็เลยต้องออกแรงมากขึ้นเสียหน่อย แต่หร่วนซือซือที่ตอนนี้ยืนอยู่ทางด้านข้าง กำลังลากเชือกขึ้นมา หัวใจดวงน้อยรู้สึกตีบตันจนถึงลำคอ
ต้องไม่เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวเป็นอันขาด!
เธอยืนอยู่ที่ตรงนั้น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปหมดเนื่องจากสายลมเย็นที่พัดผ่าน แต่ทว่าภายในใจกับกระวนกระวายดังไฟ
เมื่อจับเชือกที่กวัดแกว่งไปมาอย่างแน่นหนาแล้ว มือข้างหนึ่งของเธอดึงเชือก ก่อนจะออกแรงอย่างสุดกำลัง หดเกร็งจนหยุดการหายใจเข้าออกไปช่วงหนึ่ง
ในที่สุด อวี้อี่มั่วก็ปีกขึ้นมาแล้ว หัวใจของหร่วนซือซือรู้สึกปีติเป็นอย่างมาก ก่อนจะเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ แล้วเข้าไปพยุงด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดก็ขึ้นมาได้แล้ว!”
อวี้อี่มั่วช้อนสายตาขึ้น ในความเลือนรางนั้น เขามองเห็นร่างกายขาวโพลนของหญิงสาว
ถึงแม้ว่าจะเลือนรางไปเสียหน่อย แต่ทว่าเขาก็มองออก เธอไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า!
ทันใดนั้นเอง เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะยื่นมือไปแกะ “เชือก” ของเธอออกทันที “รีบใส่กลับเข้าไป”
พูดไป เขาก็เบนสายตา ก่อนที่จะสบมองไปทางอื่น
สภาพแวดล้อมที่มืดแบบนี้ คนปกติอาจจะมองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ทว่าเมื่อก่อนอวี้อี่มั่วเคยได้รับการฝึกฝนแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ว่านัยน์ตาทั้งสองข้างจะอยู่ในที่มืดสนิท แต่สิ่งของหลายๆอย่างเขากลับสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน
หร่วนซือซือพลันชะงักนิ่งไป นึกไม่ถึงเลยว่าตนเองใช้เรี่ยวแรงมากขนาดนั้นในการดึงเขาขึ้นมา เขาไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยขอบคุณออกมาสักคำ แต่ทว่ากลับมีปฏิกิริยาต่อเธอแบบนี้อีก!
ในช่วงเวลานั้นเอง หัวใจของหร่วนซือซือเย็นเฉียบ เหลือบตามองบนใส่เขาในความมืด ก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้ากลับเข้าดั่งเดิม
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว เธอสบมองชายหนุ่มที่เดินไปทางด้านหน้า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อออกแรงแล้ว กลับกระทบกระเทือนเข้าที่บาดแผลบนขา ก่อนที่จะส่งเสียงแหลมร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เธอผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะส่งเสียงในลำคอ
ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆชายหนุ่มที่เดินไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ด้านหน้ากลับชะงักฝีเท้าลง ก่อนที่จะหันกลับมา ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมาสักคำ ก่อนที่จะยื่นมือไปคว้าแขนของเธอเอาไว้
หร่วนซือซือขมวดคิ้ว คิดอยากจะดึงออกมาโดยอัตโนมัติ แต่ทว่าเมื่อหวนนึกขึ้นได้ว่าบนร่างของเขามีบาดแผลอยู่ จึงหยุดการกระทำลง
ณ ตอนนี้ บนร่างของทั้งสองคนต่างก็มีบาดแผล เมื่อครู่นี้ก็ทุ่มเรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการปีนขึ้นมาจากหลุม ถ้าหากตอนนี้ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันล่ะก็ หากเกิดเรื่องอะไรไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้ง เขาทั้งสองคนไม่ว่าใครก็คงจะออกจากเขาลูกนี้ไม่ได้แน่
ในตอนนี้ พวกเขาทั้งสองคนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะถูก
เส้นทางหลังจากนั้น พวกเขาเหมือนมีสัญญาบางอย่างที่รู้กัน เมื่อจับทางได้แล้ว ก็ออกตัวเดินไปพร้อมกัน กักเก็บเรี่ยวแรงสุดท้ายเอาไว้
หลังจากที่ช่วยพยุงซึ่งกันและกันจนเดินมาสักระยะหนึ่งแล้ว หร่วนซือซือจึงค้นพบว่าทัศนียภาพรอบข้างดูคุ้นหูคุ้นตามากขึ้น ถึงกระทั้งที่เธอสามารถมองเห็นสัญลักษณ์ที่เธอทำเอาไว้เมื่อตอนกลางวันได้
ขอเพียงแค่เดินกลับตามทางเดิมที่เธอทำสัญลักษณ์ทิ้งเอาไว้แล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถเดินลงไปจนถึงปากเขาได้!
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เธอจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ในช่วงค่ำคืนน่าเบื่อหน่ายนี้ เมื่อเดินผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วเส้นทางมันไกลมากกว่าที่เจอจินตนาการเอาไว้อยู่มาก อีกทั้งยังเป็นเพราะฝนตกจึงลื่นมาก พวกเขาจึงค่อยๆก้าวทีละก้าว เดินไปอย่างช้ามากๆ
หลังจากนั้นไม่นานนัก หัวใจที่มีความหวังของหร่วนซือซือเริ่มมลายหายไปเสียแล้ว
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันไปสบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย ในความมืดมิดนั้น เธอมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เธอขยับริมฝีปากไปมา ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “อวี้อี่มั่ว คุณมาช่วยฉันทำไมหรือคะ?”
วันนี้ในตอนที่เธออยู่บนเขาคนเดียวนั้น ในตอนที่แทบจะไม่หลงเหลือความหวังอะไรไว้อยู่แล้ว เธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาช่วยเธอ
แทบจะนึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆฝ่ายหญิงจะถามคำถามนี้กับเขา เมื่อนิ่งไปสองวินาที เขาจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มีการร่วมหุ้นในการถ่ายทำในครั้งนี้มากขนาดนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ของพวกนั้นคงจะต้องเสียเปล่า”
หร่วนซือซือได้ยินดังนั้นก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย คำพูดทั้งหมดจุดแน่นอยู่ที่บริเวณลำคอจนไม่สามารถเอ่ยอะไรขึ้นออกมาได้
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาขนาดนี้แล้ว ที่เขามาช่วยเธอ ก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง
ทันใดนั้นเอง หัวใจของเธอก็เย็นเฉียบมากขึ้นกว่าเดิม
หรือเป็นเพราะว่าเธอคิดมากเกินไปกันนะ?
แต่ทว่าในทุกๆครั้งที่เธอกำลังเผชิญหน้ากับอันตราย ในตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ เขาก็มักจะมาทันและช่วยเหลือเธออยู่ตลอดนี่น่า
ถ้าหากครั้งสองครั้งก็ถือว่าเป็นความบังเอิญ แต่ทว่านี่ก็หลายครั้งแล้ว ก็คงจะไม่ใช่ความบังเอิญอะไรแล้ว
หร่วนซือซือขบเม้มริมฝีปากไปมา “อวี้อี่มั่ว คุณโกหกฉัน”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว อวี้อี่มั่วจึงเหยียดยิ้ม ก่อนจะนิ่งไปสองสามวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกร้อนว่า “ถ้าอย่างนั้นถ้าพูดว่าฉันมีเจตนาบางอย่างกับเธอล่ะ? ฉันช่วยเหลือเธอไปเยอะขนาดนั้นแล้ว ถ้าจะให้ว่าตามหลักการแล้วเธอก็ควรที่จะต้องตอบแทนฉันแล้วไม่ใช่หรือไง?”
เขาเอ่ยขึ้น นั่นยิ่งทำให้เธอพูดไม่ออก
หร่วนซือซือมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเม้มปากปิดสนิทแล้วไม่พูดอะไรกับเขามากไปกว่านี้แล้ว
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากที่ไกลๆ อีกทั้งยังมีแสงไฟวับๆแวมๆด้วย
หัวใจของหร่วนซือซือบีบรัดทันที ก่อนที่จะหันไปสบมองชายหนุ่มข้างกายโดยอัตโนมัติ นัยน์ตาฉายประกายยินดีออกมาให้เห็นทันที “หรือว่าจะมีคนมาตามหาพวกเรากันคะ?”
ในขณะที่เธอกำลังพูดอยู่นั้น เสียงคนจากทางนั้นก็ดังเข้ามาใกล้มากขึ้น เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธอกับอวี้อี่มั่วที่ขาดๆหายๆ
มีคนมาช่วยพวกเราแล้วจริงๆด้วย!
ตากฝนอยู่บนเขาไต้ซานมาก็หลายชั่วโมงแล้ว ในตอนนี้ พวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือแล้ว!
จากเขาลงมา เมื่อถึงโรมแรมไต้ซานแล้ว เธอกับอวี้อี่มั่วก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องพักของโรงแรมทันที หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็มีแพทย์เข้ามาหา ก่อนจะทำการรักษาบาดแผลและฆ่าเชื้อบนร่างให้กับพวกเขา
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ก็ใกล้จะครบชั่วโมงหนึ่งแล้ว
หร่วนซือซือเอยกายลงบนโซฟา ตอนนี้ก็หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่แพทย์ได้ทำการพันแผลสุดท้ายให้กับอวี้อี่มั่วเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจะกำชับเรื่องที่เขาต้องระมัดระวังเล็กๆน้อย แต่ดันเห็นชายหนุ่มโบกมือไปมาเบาๆเสียก่อน
เมื่อคุณหมอเห็นดังนั้นแล้ว ก่อนจะสบมองไปยังหญิงสาวที่หลับสนิทไปแล้วอยู่ทางด้านข้าง ก็ทราบขึ้นมาได้ในทันที ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก แล้วถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบเฉียบ
ณ ตอนนี้ ภายในห้องเหลือเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น
อวี้อี่มั่วเข้าไปใกล้กับโซฟา ก่อนที่มือของเขาจะทาบทับลงไปที่ด้านข้างของโซฟา แล้วใช้นัยน์ตาทั้งสองข้างสบมองหญิงสาวที่กำลังหลับสนิท ก่อนที่จะยกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหวนนึกขึ้นได้ถึงคำถามที่เธอถามเขาเอาไว้ตอนอยู่บนภูเขา หัวใจของเขากลับมีความรู้สึกประหลาดบางอย่างก่อกำเนิดขึ้นมาในทันที
ในตอนแรก ในตอนที่เธอกำลังเผชิญหน้ากับอันตราย เขาก็รีบพุ่งไปดูแลเธอปกป้องเธอ หลังจากนั้น นี้ก็แทบจะกลายเป็นความเคยชินรูปแบบหนึ่งไปในทันที เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย คิดเพียงแต่ว่าจะต้องปกป้องเธอก็เท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะอุ้มหญิงสาวขึ้นมาจากโซฟา ก่อนจะนำไปวางไว้บนเตียงกว้าง ห่มผ้าให้เธอเรียบร้อย ก่อนจะก้มหน้าลงสบมองหญิงสาวที่กำลังหลับไหลอย่างสงบ
ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆก็มีคนเคาะประตูขึ้น ก่อนจะตามต่อมาด้วย เขาได้ยินเสียงตู้เยี่ยดังขึ้นมาจากด้านนอก
นี่เป็นห้องชุด พวกเขาอยู่ในห้องนอน ตู้เยี่ยเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกอยู่ตลอดเวลา
เขาเรียบปรับเปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวไปถึงหน้าประตู แล้วเปิดประตูออก “มีอะไร?”
“ท่านประธานอวี้ครับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตกำลังร้อนเป็นไฟ ตอนนี้กำลังมีความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ใส่ร้ายป้ายสีอวี้กรุ๊ปของพวกเขาอยู่ครับ”
พูดไป เขาก็ยื่นโทรศัพท์มือถือเข้ามาหา
อวี้อี่มั่วรับไปก่อนจะเลื่อนอ่าน หลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้นกว่าเดิม
คิดไม่ถึงเลย ในช่วงเวาลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ อวี้กู้เป่ยกลับกล้าที่จะป่าวประกาศเรื่องที่ตัวเองโดนปลดออกจากตำแหน่งรองประธานบริษัทของอวี้กรุ๊ปลงบนอินเทอร์เน็ตแบบนี้
กลายเป็นหินก้อนเดียวที่ทำให้พื้นน้ำสั่นสะเทือนไปหมด
การ “ประกาศ” ที่มีขึ้นมากระทันหันของเขาแบบนี้ สามารถทำให้ชาวเน็ตบนโซเชียวสามารถคาดเดาทิศทางของเรื่องได้อย่างชัดเจน แทบจะในช่วงเวลานั้นเอง ทุกคนก็นำเดิมทีที่เป็นเรื่องภายในบริษัทขยับสถานะขึ้นไปเป็นสงครามของวงศ์คระกูล หัวข้อนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงและพูดถึงเป็นอย่างมาก
การกระทำของอวี้กู้เป่ยในครั้งนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ากำลังผลักให้อวี้กรุ๊ปไปสู่จุดเสี่ยงอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อวี้กรุ๊ปจะได้รับความเสียงหายมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่อาจจะประเมินค่าได้!
ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ มันคงคิดที่จะวางแผนให้เขาตายแล้วมันรอดสินะ!