ดั่งรักบันดาล - บทที่ 508 ฉันจะแทนที่แกเอง!
อวี้อี่มั่วได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่นตามสันชาตญาณ สายตาอันคมเฉียบและแม่นยำมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนวีลแชร์
อวี้กู้เป่ยยกมุมปากขึ้นมา จากนั้นก็ดึงผ้าคลุมที่คลุมสองขาอยู่ออกมาอย่างช้า ๆ เวลาต่อมาเขาก็เอาสองขาที่วางอยู่บนที่วางขาออกวางไว้ที่พื้น และยืนขึ้นอย่างมั่นคง
อวี้อี่มั่วยืนนิ่ง รู้สึกเพียงว่าร่างกายแข็งทื่อขึ้นมามาก
อวี้กู้เป่ยยืนอยู่เบื้องหน้าเขา บดบังแสงเทียนพอดิบพอดี อวี้อี่มั่วมองเห็นเพียงเงาร่างอันสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ สองขาของเขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว สาวเท้าเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงมายังเขา
ราวกับเคยชินแล้วกับการที่อวี้กู้เป่ยนั่งอยู่บนวีลแชร์ หลายปี หลายสิบปี ผ่านไป สองขาของขาไม่เคยมีวี่แวว
ว่าจะดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ทว่าบัดนี้ อวี้กู้เป่ยอยู่ ๆ ก็ยืนขึ้นมา แถมยังเดินอย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่าชายที่นั่งอยู่บนวีลแชร์นั้นไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น
เขาประหลาดใจไปโดยปริยาย ภายในใจก็มีความเย็นวูบแวบเข้ามา
สิ่งที่ประหลาดใจนั้นไม่ใช่เพียงสองขาที่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติเท่านั้น ที่ประหลาดใจกว่าก็คือเขาสามารถปกปิดความจริงนี้มาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ แถมยังไม่เผยพิรุธใด ๆ ออกมาอีก
ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที อวี้กู้เป่ยยังตำหนิติดเตียนเขา โทษเขาอย่างโมโหอยู่เลย ทว่าบัดนี้เขากลับยืนขึ้นมา ไม่มีความแตกต่างอันใดกับคนปกติเลย
คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถปกปิดได้ลึกถึงเพียงนี้ ลึกจนเขารวมถึงคนของเขาไม่เคยสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย คนผู้นี้มีความน่ากลัวถึงเพียงใด !
อวี้กู้เป่ยยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา จากนั้นก็มองเขาจากหัวจรดเท้า พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “พี่ใหญ่ ขอโทษที่ทำให้พี่ผิดหวังนะ สองขาของผมฟื้นฟูกลับคืนมาสมบูรณ์แล้ว”
อวี้อี่มั่วสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกเพียงว่ามีลมจุกอยู่ภายในทรวงอก ไม่สามารถออกมาได้
เมื่อเห็นว่าอวี้อี่มั่วไม่พูดจา อวี้กู้เป่ยจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมส่งรอยยิ้มของผู้ที่ชนะ “พี่ใหญ่ ในเมื่อเราเป็นพี่น้องกัน ผมคิดว่าก็ควรที่จะทำให้พี่ได้สัมผัสสิ่งที่ผมเคยผ่านมาเหมือนกัน”
ขณะที่พูดอยู่ เขาก็โบกมือ ลูกน้องที่ล้อมอยู่ข้าง ๆ จึงเดินหน้ามาทันที ในมือของแต่ละคนต่างก็ถือแท่งเหล็กที่หนาเท่ากำปั้นของเด็กทารก ปลายของแท่งเหล็กลากอยู่บนพื้น จากนั้นก็มีเสียง “ครืด ครืด” ดังเข้ามาอยู่ในหู ทำให้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
อวี้อี่มั่วสูดหายใจเข้าลึก เขายังไม่ทันได้ตอบสนอง ทันใดนั้นเองก็มีแรงหนึ่งโจมตีมาจากเบื้องหลังเขา แรงกระแทกเข้ามาปะทะที่แผ่นหลังของเขาทันที !
อวี้อี่มั่วรู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังของเขาถูกฟาดเข้าอย่างแรง เวลานั้น ตับไตไส้พุงของเขาก็ราวกับถูกแรงกระทบกระเทือนไปด้วย ทำให้เจ็บปวดขึ้นมาทันควัน
เวลาต่อมา ก็มีแท่งเหล็กฟาดเข้ามาอีกครั้ง กระแทกจนทำให้ร่างกายของเขาสั่นคลอน แรงฟาดอันรุนแรงทำให้เขาผละไปข้างหน้า และจากนั้นแท่งเหล็กก็กระทบเข้ามาราวกับสายฝน กระทบเข้าแผ่นหลังของเขาอย่างแรงอีกครั้ง
อวี้อี่มั่วกัดฟันแน่น กำหมัดแน่นดันพื้นเอาไว้ เส้นเลือดข้างขมับปูดขึ้นมา
อวี้กู้เป่ยยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปยังอวี้อี่มั่วที่ยังยืนหยัดถูกฟาดแล้วยังไม่ล้มลง ภายในแววตาจึงผุดเป็นความเหน็บแนมขึ้นมา
เขาไม่เอ่ยอันใด ลูกน้องของเขาเหล่านั้นราวกับสู้สุดชีวิต ฟาดไม่หยุด
ไม่นาน เสื้อเชิ้ตด้านหลังของอวี้อี่มั่วก็ถูกฟาดจนเกิดเป็นรู แผ่นหลังมีเลือดไหลซึมออกมา เลือดอันสดมองดูน่าหวาดกลัว
และในขณะนี้เอง อยู่ ๆ อวี้กู้เป่ยก็สาวเท้าเดินเข้ามา มุ่งตรงไปหาเขา จากนั้นก็หยิบแท่งเหล็กมาจากลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ ชูขึ้นมาสูง และฟาดเข้าขาของอวี้อี่มั่วอย่างแรง !
เสียง “ตับ!” ดังขึ้นมา เข่าของอวี้อี่มั่วสั่นคลอน แทบจะลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น หางตาของเขากวาดมองไปยังอวี้กู้เป่ยที่โบกแท่งเหล็กมาหาเขาอีกครั้ง จากนั้นก็ยกแขนขึ้นมากำบังไว้
เสียงดัง “เคล้ง!” สีหน้าของอวี้อี่มั่วดุดันขึ้นมาทันที ริมฝีปากอันเรียวบางเม้มเป็นเส้นตรง ไม่นาน หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ก็ไหลลงมาข้าง ๆ ขมับของเขา
ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าผู้ใดเข้ามาถีบเขาจากข้างหลังอย่างแรง อวี้อี่มั่วโซเซจากนั้นก็ล้มทรุดลงอยู่บนพื้น
“ไสหัวออกไป !”
อวี้กู้เป่ยน้ำเสียงเย็นชา เอ่ยตำหนิลูกน้องที่ล้อมอยู่ข้าง ๆ เขากุมแท่งเหล็กอยู่ จากนั้นก็ลงมือจัดการเอง
เขายกแขนขึ้นมา พร้อมทั้งฟาดลงไปยังขาของเขาอย่างแรง หนึ่งครั้ง สองครั้ง…
ไม่นาน สองขาของอวี้อี่มั่วก็ราวกับเป็นต้นไม้แห้งที่ถูกตัดขาด เขานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับไม่ไหน
ลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่รู้ว่าอวี้กู้เป่ยจะลงมือโหดร้ายเพียงนี้ พวกเขามองผู้ชายที่ปกติแล้วจะสุภาพนุ่มนวลอย่างตกตะลึง แววตาปรากฏเป็นความหวาดกลัว
ใครก็คาดเดาไม่ถึงว่า อวี้กู้เป่ยจะมีด้านนี้อยู่ ราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย คำราม คลุ้มคลั่ง เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าล้าง
บนศีรษะของอวี้กู้เป่ยก็มีเหงื่อผุดออกมาเช่นกัน เขาหายใจหอบ จากนั้นก็นำแท่งเหล็กค้ำไว้บนร่างกายของเขา สายตามองไปยังผู้ชายที่นอนอยู่บนพื้นอย่างคาดเดาไม่ได้ เขาแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “คิดไม่ถึงนะว่าพี่ก็จะมีวันนี้เหมือนกัน”
ปกติแล้วผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งที่สุดนั้นก็คือเขา ผู้ที่เป็นที่น่าสนใจก็คือเขา ผู้ที่น่าดึงดูดอยู่เหนือคนอื่นก็คือเขา ผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดก็คือเขา ! เป็นคนตระกูลอวี้เช่นเดียวกันแท้ ๆ เหตุใดตนจึงต้อยต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้นเสมอ ?
อวี้กู้เป่ยยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ทันใดนั้นเขาก็เดินมาอยู่เบื้องหน้าของอวี้อี่มั่ว คุกเข่าลง ตาสองคู่เผยความเย็นชาออกมาสบตากับเขา เขายื่นมือออกมาหนึ่งข้างแล้วกุมคอเสื้อของเขาเอาไว้ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “อวี้อี่มั่ว นับแต่นี้เป็นต้นไปตระกูลอวี้ก็จะไม่มีชื่อของแกแล้ว ! ส่วนฉันจะแทนที่แก นำพาตระกูลอวี้ไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น !”
มือของเขาเก็บลงช้า ๆ อวี้อี่มั่วรู้สึกถึงการจับกุมของสันคอ จึงขมวดคิ้วขึ้นทันที เขายื่นมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บออกมา คว้าข้อมือของอวี้กู้เป่ยเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นมาผ่านช่องฟัน “ฝันไปเถอะ”
อวี้กู้เป่ยสีหน้าซีดเซียว แววตาดำมืดลง เขารีบสะบัดมือของอวี้อี่มั่วออกทันที จากนั้นก็ผลักเขาออกอย่างแรง
ขณะที่เขายืนขึ้นมาอีกครั้ง แววตาที่มองอวี้อี่มั่วก็มีความโหดร้ายแวบขึ้นมา เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ฟาดมันเดี๋ยวนี้ !”
เมื่อลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำสั่งก็สาวเท้าขึ้นมาข้างหน้าทันที จากนั้นก็ทั้งชกทั้งเตะอวี้อี่มั่ว ข้าง ๆ มีคนหยิบแท่งเหล็กขึ้นมา โบกเข้าหาอวี้อี่มั่วอีกครา !
และในขณะนั้นเอง น้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมาจากข้าง ๆ “ท่านประธาน !”
ไม่รู้ว่าตู้เยี่ยออกจากการจับกุมจากลูกน้องเมื่อไหร่ ร่างกายของเขาเปียกปอน พุ่งเข้ามาจากด้านนอกมุ่งไปหาอวี้อี่มั่วทันที
อวี้อี่มั่วเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มที่วิ่งเข้ามาหาเขา แผ่นหลังแข็งทื่อ ทั้งตัวเกร็งไปหมด
หากตู้เยี่ยพุ่งเข้ามาตอนนี้ ก็เป็นการมอบชีวิตโดยตรง พวกเขาทั้งสองคนไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับคนจำนวนมากเพียงนี้ได้
ครั้นตู้เยี่ยกลับดันทุรังพุ่งเข้ามา พร้อมผลักลูกน้องเบื้องหน้าเขาออกไป จากนั้นก็โน้มตัวลงมาคุ้มกันอวี้อี่มั่วเอาไว้ เขายื่นมือหมายจะพยุงอวี้อี่มั่วขึ้นมา
ภายในหัวของอวี้อี่มั่วมีความกระส่ายกระสับผุดขึ้นมา ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นนักเลงผู้หนึงกำลังโบกแท่งเหล็กขึ้นมาด้านหลังตู้เยี่ย แล้วฟาดมายังเขาทันที
เขายังไม่ทันได้ปริปากกล่าวเตือน แท่งเหล็กก็กระทบเข้าแผ่นหลังของตู้เยี่ยเรียบร้อยแล้ว
ตู้เยี่ยร่างกายสั่นเทา หัวคิ้วรัดเข้าหากัน ขมวดคิ้วแน่น ทว่าเขากลับไม่ได้เคลื่อนตัวออกไปแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นหมาที่ซื่อสัตย์จริง ๆ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดสีของอวี้กู้เป่ยดังเข้ามา
จากนั้น นักเลงที่ล้อมอยู่รอบ ๆ ก็ล้อมวงกันเข้ามา กลายเป็นวงใหญ่ ล้อมอวี้อี่มั่วและตู้เยี่ยเอาไว้แน่นหนา
ตู้เยี่ยหันหน้า สายตาอันแน่วแน่มองไปยังอวี้อี่มั่ว จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ประธานครับ ต่อให้จะหนีออกไปไม่ได้ แต่ก็ต้องสู้กันดูสักตั้ง !”
อวี้อี่มั่วตื่นตัวขึ้นมา พละกำลังเพิ่มขึ้นมามากมาย เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ดี สู้ดูกันสักตั้ง !”
การที่ก้มหัวยอมแพ้ให้กับอวี้กู้เป่ย เขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
สายตาของทั้งสองคนประสานกัน ทำข้อตกลงกันอย่างใจตรงกัน จากนั้นก็เอาหลังชนกันโดยไม่ต้องเอ่ยอันใด สองมือกำหมัดแน่นอยู่หน้าอก เตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันตัว
ต่อให้พวกเขาจะคนน้อยต่อสู้กับคนเยอะกว่า อัตราการชนะมีไม่มากก็ตาม ทว่าเขาไม่มีวันที่จะยอมแพ้ให้กับอวี้กู้เป่ย ไม่มีทางชั่วนิรันดร์ !