ดั่งรักบันดาล - บทที่ 510 โทรศัพท์หายไป
นรกบนดิน
คำนี้ระเบิดอยู่ภายในหัวสมองของอวี้อี่มั่ว ร่างกายของเขาหดตัวเกร็ง ใบหูมีเสียงหวีดร้อง สายตาจับจ้องมองไปยังนักเลงสี่ทิศที่กำลังมุ่งตรงมาหาเขา ทว่าร่างกายกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามสมองสั่งเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงขยับเขยื้อนเล็กน้อย ราวกับเป็นหนอนตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
เวลานั้น เขารู้สึกได้ถึงความอับอายและความสิ้นหวังที่ไม่เคยมีมาก่อน
เวลาต่อมา หมัดและเท้าของคนกลุ่มนั้น รวมถึงแท่งเหล็กอันเย็นเฉียบ แม้แต่มีดสั้นเองก็ถูกโจมตีเข้ามา ทว่าไม่รู้เนื่องด้วยเหตุใด ความเจ็บปวดบนร่างกายของเขาจึงราวกับมีมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ทุกครั้งที่ถูกโจมตี สำหรับเขาแล้วล้วนเป็นความเจ็บปวดที่ยากที่จะรับไหว
เมื่อก่อนเขาเคยได้รับการฝึกฝนมา เคยได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ถูกมีดแทงก็ไม่น้อยเช่นกัน บนร่างกายของเขามีรอยแผลเป็นอยู่นับไม่ถ้วน เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็กลายเป็นคนหนังหนาขึ้น สำหรับระดับการทนต่อความเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้นไม่หยุดเช่นเดียวกัน ทว่าบัดนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ร่างกายของเขาราวกับถูกยาพิษ เจ็บปวดรวดร้าวอย่างรุนแรงจนยากที่จะรับไหว
หรือว่าเป็นผลสืบเนื่องจากของเหลวที่ลั่วจิ่วเหยี่ยใช้ให้คนฉีดเข้าร่างกายเขา ?
เขายังไม่ทันได้ครุ่นคิดอย่างละเอียด ความเจ็บปวดบนร่างกายก็เพิ่มมากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด เบื้องหน้าของเขามืดมัววิงเวียนศีรษะ แทบจะเป็นลมล้มลงไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ร่างกายของเขาก็เปียกปอนไปด้วยน้ำ ทั้งร่างกายเย็นเฉียบ ภายใต้ความเลือนราง เขาได้ยินเสียงสนทนาระหว่างที่ลั่วจิ่วเหยี่ยและอวี้กู้เป่ย
“ฉันคิดว่า กำจัดมันซะ !”
น้ำเสียงของอวี้กู้เป่ยดังขึ้นมา “จิ่วเหยี่ย รีบร้อนทำไมกัน ? กำจัดเลยงั้นก็เอาเปรียบเขาเกินไปน่ะสิ ?”
“แล้วนายว่าเอายังไงล่ะ ? ถ้าปล่อยมันไว้ มีแต่ความพินาศที่จะตามมา !”
“ให้เขาได้ประสบความเจ็บปวดมากมายที่พวกเราเคยผ่านมา ขาของฉัน นิ้วก้อยของนาย นี่มันใช้แค่ชีวิตเดียวก็แลกมาได้ที่ไหนกัน ?”
อวี้กู้เป่ยแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ฉันคิดว่านะ โยนมันให้เป็นอาหารหมาป่าหลังชิงซานนู้น ตอนนี้สองขาของมันหักแล้ว ไม่มีทางรอดมาได้หรอก แต่สติของมันยังตื่นตัวอยู่ ให้มันได้รับรู้ความสิ้นหวังสุดท้ายของมัน นี่ถึงจะสนุกนะ”
คำแนะนำของชายหนุ่มเย็นชาและโหดเหี้ยมถึงขั้นสุด ทำให้ร่างกายของอวี้อี่มั่วเย็นยะเยือก ราวกับเลือดที่อยู่ในร่างกายได้กลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้วอย่างไรอย่างนั้น
จิตใจของเขาโหดเหี้ยมถึงเพียงใด จึงคิดวิธีการที่เลวร้ายเช่นนี้ออกมาได้ !
ลั่วจิ่วเหยี่ยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สุดท้ายก็หัวเราะเย็นชาออกมา เป็นการแสดงว่าเห็นด้วย “กู้เป่ย วิธีนี้ของนายไม่เลวจริง ๆ !”
อวี้กู้เป่ยเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้า “สุดท้าย แน่นอนว่าต้องให้มันได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดของมนุษย์ก่อนตาย”
เวลาผ่านไปไม่นาน อวี้อี่มั่วก็รับรู้ได้ว่าตนเองถูกถุงคลุมศีรษะเอาไว้ พร้อมถูกยกตัวขึ้นมา ไม่ทราบว่าจะพาไปที่ใด
ความโคลงเคลงดำเนินไปเป็นเวลานาน เขาได้ยินเสียงถกเถียงกันเจื้อยแจ้วอย่างเลือนราง เวลาต่อมา เขาก็รู้สึกร่างกายเบาหวิว จากนั้นก็ถูกโยนลงไปด้านล่าง
ร่างกายกระแทกพื้นเสียงดัง “ตุบ” เขารู้สึกเจ็บปวดจนภาพด้านหน้ามืดมัว จากนั้นก็เป็นลมสลบไป
ขณะเดียวกันนี้ บนเครื่องบินที่มุ่งไปต่างประเทศ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมากะทันหัน
หร่วนซือซือตกใจตื่นขึ้นมาทันที จากนั้นก็ถกผ้าปิดตาออก พร้อมหายใจเข้าออกรัว ๆ แผ่นหลังของเธอเปียกปอนไปทั่ว
“ซือซือ !”
ข้าง ๆ มีน้ำเสียงอันเป็นห่วงเป็นใยของซ่งเย้อันดังขึ้นมา หร่วนซือซือหน้าอกพระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่านไปไม่นานจึงมีสติขึ้นมา
“ซือซือ คุณเป็นอะไรไป !”
น้ำเสียงของชายหนุ่มดึงเธอกลับเข้ามาสู่ความเป็นจริง เธอมองไปยังซ่งเย้อันที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่…ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฝันร้ายเหรอ ?”
เมื่อเห็นเหงื่อที่ผุดออกมาบนหน้าผากของเธอเต็มไปหมด ซ่งเย้อันจึงรีบยกมือขึ้น จากนั้นก็เช็ดเหงื่อให้เธอ
หร่วนซือซือพยักหน้า หัวใจที่อยู่ภายหน้าอกเต้นระรัวอย่างรุนแรง ภายในจิตใจมีความกระวนกระวายและความหวาดกลัวผุดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เมื่อสักครู่นี้ไม่รู้เนื่องด้วยเหตุใด หลังจากที่เธอนอนหลับไปโดยไม่รู้ตัว ก็ฝันถึงอวี้อี่มั่ว ชายหนุ่มร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมองเธออยู่ แล้วพูดกับเธอว่า “อย่าไปนะ…อย่าไป !”
ดังนั้นเธอจึงตกใจตื่นขึ้นมา จึงรู้ตัวว่าตนกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินที่กำลังบินไปยังต่างประเทศ
แม้ว่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว และทราบว่าเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงความฝัน ทว่าภายในจิตใจของเธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึก ๆ อยู่ดี มักจะรู้สึกว่าภาพที่เธอเห็นนั้นมันเป็นจริงเกินไป น่ากลัวเกินไป
เธอนึกถึงตอนนั้นไม่นานมานี้เธอเป็นผู้รับปากอวี้อี่มั่วเองว่าจะไม่จากไปไหน ทว่าบัดนี้ เธอกลับพูดโกหก ปิดบังเขาและจากไป
ภายในใจมักจะมีปมที่แก้ไม่ออกอยู่เสมอ เธอสงบสติอารมณ์มาเป็นเวลานาน อยู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงได้ยื่นมือไปลูบกระเป๋าเสื้อ
ใครจะไปทราบว่า ภายในกระเป๋าเสื้อนั้นว่างเปล่า
เธอครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็รีบหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาแล้วรื้อหา โดยค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุมของกระเป๋า ทว่าเธอก็ไม่เจอโทรศัพท์
ซ่งเย้อันเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาถาม “คุณกำลังหาอะไรอยู่เหรอ ?”
หร่วนซือซือขมวดคิ้วเข้าหากัน “เหมือนว่าโทรศัพท์ฉันจะหายไปค่ะ……”
ทั้งที่เธอจำได้แท้ ๆ ว่าเธอเห็นโทรศัพท์ตอนที่อยู่ในห้องรอขึ้นเครื่อง เหตุใดจึงหาไม่เจอได้ ?
ภายในหัวของเธอแวบขึ้นมา อยู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออก เธอได้ไปเข้าห้องน้ำในห้องรอขึ้นเครื่องหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ให้เซินเซินและซาซา และเมื่อเธอกลับมาก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว……
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เดินไปหาเซินเซิน และซาซาจากที่นั่งข้างหลัง พร้อมเอ่ยขึ้นถามว่า “โทรศัพท์ของแม่อยู่กับลูก ๆ หรือเปล่า ?”
ซาซาส่ายหัวด้วยสีหน้าจริงจัง “เปล่าค่ะ”
เซินเซินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชะงักไป อยู่ ๆ ก็นึกอะไรออก “คุณแม่ครับ ผมจำได้ว่าเหมือนผมจะเอาโทรศัพท์วางไว้บนเก้าอี้ในห้องรอขึ้นเครื่องน่ะครับ”
หร่วนซือซือรู้สึกลนลานขึ้นมา “แล้วยังไงต่อ ?”
คงไม่ใช่ว่าไม่มีใครเอามาด้วยหรอกนะ ?
เซินเซินส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ……”
หร่วนซือซือนึกอะไรบางอย่างออก จึงได้เดินไปหาลู่เสี่ยวม่านทันที เพิ่งจะเดินมาอยู่ข้าง ๆ ลู่เสี่ยวม่าน เธอก็มองเห็นว่าลู่เสี่ยวม่านกำลังเปิดอัลบัมรูปอยู่ รูปที่อยู่บนหน้าจอคือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
“เสี่ยวม่าน……”
ลู่เสี่ยวม่านได้ยิน จึงเก็บโทรศัพท์ตามสัญชาตญาณทันที บนใบหน้าเผยถึงความไม่ปกติ ครั้นยังยิ้มให้เธอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มีอะไรเหรอ ? ซือซือ ?”
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ปริปากสอบถามขึ้น “เธอเห็นโทรศัพท์ของฉันหรือเปล่า ? เซินเซินบอกว่าเขาเอาโทรศัพท์วางไว้บนเก้าอี้ในห้องรอขึ้นเครื่อง เธอได้ช่วยฉันเก็บมาหรือเปล่า ?”
ได้ยินดังนั้น ลู่เสี่ยวม่านก็ส่ายหน้าทันที “ไม่เห็นนะ”
จากนั้นก็หยุดชะงักไปชั่วครู่จึงถามกลับว่า “ไม่เห็นโทรศัพท์ตัวเองเหรอ ใช่ไหม ?”
หร่วนซือซือพยักหน้า ภายในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างประหลาด
เธอเดินออกมาจากข้างกายลู่เสี่ยวม่าน ภายในหัวนึกย้อนกลับไปถึงรูปถ่ายรูปนั้น บนรูปถ่ายคือผู้ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้หญิงนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นลู่เสี่ยวม่าน ทว่าผู้ชายเธอไม่ได้มองเห็นชัดเจนนัก ทว่ากลับรู้สึกคุ้นหน้าอย่างแปลกประหลาด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก และไม่ได้คิดอะไรมาก รีบสาวเท้าเดินกลับไปยังที่นั่ง จากนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง
ซ่งเย้อันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงสอบถามขึ้นมาว่า “เป็นไงบ้าง ? เจอหรือยัง ?”
หร่วนซือซือส่ายหน้า มีความรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย “เหมือนว่าจะลืมไว้ที่ห้องรอขึ้นเครื่องน่ะค่ะ”
แววตาของซ่งเย้อันมีลำแสงมืดมิดปรากฏออกมา เขายกมือขึ้นตบไปยังบ่าไหล่ของเธอ พร้อมทั้งเอ่ยปลอบประโยนเสียงเบา “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมพาไปซื้อโทรศัพท์ซื้อซิมใหม่”
จากมุมมองของเขา โทรศัพท์เครื่องนั้นหายไป กลับกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะว่าเช่นนี้การติดต่อระหว่างหร่วนซือซือกับเมืองเจียงโจวก็จะตัดขาดไปโดยสิ้นเชิง และมีเพียงเช่นนี้เขาจึงจะสามารถกลายเป็นทุกสิ่งอย่างสำหรับเธอได้
หร่วนซือซือยังคงรู้สึกหดหู่ใจอยู่ จึงได้เอ่ยพึมพำขึ้นมากับตนเอง “ในโทรศัพท์เครื่องนั้นมีรูปเซินเซินกับซาซาอยู่เยอะมากเลย โทรศัพท์หาย ทั้งหมดก็หายไปด้วย……”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ซ่งเย้อันยื่นมือออกมา โอบไหล่ของเธอเอาไว้แน่น จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะมีรูปที่สวยงามกว่าเยอะมาก”
ได้ยินดังนั้น หร่วนซือซือก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ภายในหัวของเธอจึงราวกับมีสิ่งของบางอย่างอุดไว้อยู่อย่างไรอย่างนั้น ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายอย่างน่าแปลกประหลาด
ขณะเดียวกันนี้ ลู่เสี่ยวม่านที่นั่งอยู่ไม่ไกล เมื่อไม่ได้ยินเสียงของซ่งเย้อันและเสียงของหร่วนซือซือจากข้างหลังแล้ว จึงถอนหายใจกับตัวเอง
ขอเพียงแค่หร่วนซือซือไม่ตามสืบว่าโทรศัพท์หายไปได้อย่างไร ทุกอย่างก็จะสำเร็จอย่างราบรื่น
เธอมองเวลาของประเทศจีน ภายในใจก็สงบนิ่งลงอย่างช้า ๆ
เวลาป่านนี้แล้ว อวี้กู้เป่ยน่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว
รวมถึงอวี้อี่มั่วด้วย