ดั่งรักบันดาล - บทที่ 540 กักขังหน่วงเหนี่ยวเธองั้นหรอ?
หร่วนซือซือกำหมัดแน่นขึ้นเล็กน้อย ความดีใจที่มีในตอนแรกก็หายไปในทันที เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ถามอย่างเย็นชาว่า ” คุณให้คนพาฉันมาที่นี่ทำไม? ”
จับตัวเธอมาด้วยวิธีที่ป่าเถื่อนแบบนั้น มันเหนือความคาดหมายของเธอจริงๆ
ชายหนุ่มยังคงนิ่ง เขาเพียงเงยหน้ามองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาพร้อมกับจ้องตาเธอ ” ฉันมีคำถามจะถามเธอ ”
เกี่ยวกับเรื่องพระวิหารชิงซาน เขาต้องสืบให้แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับเธอยังไงกันแน่!
ถ้าเป็นเพราะเธอจริงๆ เขาจะไม่มีทางให้อภัยเธอเด็ดขาด
หร่วนซือซือกะพริบตาเล็กน้อย จากนั้นก็มองเขาอย่างเย็นชาเช่นกัน ” เรื่องอะไร? ”
เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อลักพาตัวเธอออกมาจากห้างสรรพสินค้าก็เพื่อจะถามเธอคำถามเดียวเนี่ยนะ?
ไม่รอให้เธอเข้าใจ เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ” เมื่อวาน เธอไปที่พระวิหารชิงซานมาใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงพระวิหารชิงซาน หร่วนซือซือถึงกับอ้าปากค้างและพูดไม่ออกด้วยความประหลาดใจ
แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอไปที่พระวิหารชิงซานมา?
หร่วนซือซือขมวดคิ้วและมองหน้าอวี้อี่มั่วอย่างระแวดระวัง ” คุณ…คุณรู้ได้ยังไงกัน? ”
” ไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันรู้ได้ยังไง ตอบคำถามฉันมาก็พอ ”
เมื่อเผชิญกับท่าทีที่แข็งกระด้างของชายหนุ่ม หร่วนซือซือถึงกับกัดริมฝีปากล่างตัวเอง จู่ๆเธอก็พูดอะไรไม่ออก หลังจากเงียบไปสักพัก เธอถึงได้พูดขึ้นว่า ” ฉันไปมาจริงๆ ”
อวี้อี่มั่วทำหน้าบึ้งตึงและถามต่อว่า ” เธอหาที่นั่นเจอได้ยังไง? ”
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอลังเลเล็กน้อย พอคิดย้อนกลับในตอนแรกที่เธอคิดว่ามีเบาะแสบางอย่างซ่อนอยู่บนเขานั่นก็เป็นเพราะคำพูดของลั่วจิ่วเหยี่ย แต่พอเธอไปสำรวจเพื่อค้นหาเบาะแสเธอกลับพบว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นมันผิด
หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ และตอบอย่างสบายๆว่า ” ฉันคิดว่าบนเขาน่าจะมีเบาะแสบางอย่าง เลยพาคนขึ้นไปตามหา ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ อวี้อี่มั่วก็ขมวดคิ้วราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด
ตอนนั้นที่เขาอยู่ในพระวิหาร เขาพึ่งจะได้ยินเสียงเธอไม่นาน ซูอวี้เฉิงก็รีบมาบอกกับเขาว่าอวี้กู้เป่ยพาคนบุกมาที่นี่แล้ว เวลาที่พอดิบพอดีแบบนั้น มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คิดมาก
อวี้อี่มั่วถามต่อว่า ” แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่พระวิหาร? ”
” คุณอยู่ที่พระวิหารงั้นหรอ? ” หร่วนซือซือแสดงท่าทางตกใจออกมา
ตอนแรกที่เธอไปที่พระวิหารเธอไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาด้วยซ้ำ แล้วจะไปรู้ได้ไงว่าเขาอยู่ที่นั่น!
เมื่อเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ แววตาอวี้อี่มั่วก็เย็นชามากขึ้นกว่าเดิม ” เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องโกหกหรอก ”
เมื่อรู้สึกได้ถึงคำพูดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างของเขา หร่วนซือซือก็เริ่มหงุดหงิด ” ฉันโกหกตรงไหน? ฉันไปที่พระวิหารมาก็จริง แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณอยู่ที่นั่น ”
แววตาอวี้อี่มั่วแฝงไปด้วยความเยือกเย็น ” จริงหรอ? ”
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ต่อหน้าเขาแบบนี้เธอยังกล้าพูดออกมาได้ว่าเธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่พระวิหาร
ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่อาจพรรณนาได้ เขาขมวดคิ้วราวกับว่ากำลังคิดพิจารณาในสิ่งที่หร่วนซือซือพูดว่าเป็นความจริงหรือเท็จ
ถ้าเธอไม่รู้จริงๆว่าเขาอยู่ในพระวิหารนั่น แล้วทำไมเธอต้องยอมลำบากตรากตรำเดินทางไปที่พระวิหารนั่นด้วย? สิ่งที่เธอพูดมันไม่มีความสมเหตุสมผลเลย
เธอกำลังโกหก ต้องพูดโกหกอยู่แน่ๆ!
อวี้อี่มั่วโกรธมากจนตัวเย็นเฉียบไปทั้งตัว เขากำหมัดแน่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า ” เมื่อวานหลังจากที่เธอกลับจากพระวิหารชิงซาน อวี้กู้เป่ยก็พาคนบุกไปที่นั่นทันที เธอจำเจ้าอาวาสเจินหยวนได้ไหม? เพราะเขาช่วยปกปิดการเคลื่อนไหวของฉันก็เลยโดนอวี้กู้เป่ยฆ่าตาย บนตัวท่านมีร่องรอยการถูกมีดแทงถึงสามแผล ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หร่วนซือซือถึงกับตัวแข็งทื่อและนิ่งอยู่กับที่อย่างพูดอะไรไม่ออก ตอนที่เธอได้ฟังคำอธิบายของเขา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังฟังละครน้ำเน่าอย่างไรอย่างนั้น
ไม่เคยคิดเลยว่า ความเลวร้ายในความมืดและการสังหาร จะอยู่ใกล้ตัวเธอมากขนาดนี้ คนเป็นเป็นที่เธอพึ่งพบเจอเมื่อหลายวันก่อน จู่ๆวันนี้เธอกลับมาได้ยินว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ความรู้สึกแบบนี้อธิบายไม่ถูกจริงๆ
หลังจากนั้น เธอก็ดึงสติกลับมา ” ทำไม……ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ”
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นอย่างเย็นชา ” ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ อวี้กู้เป่ยก็คงหาที่นั่นไม่เจออย่างราบรื่นแบบนั้นหรอก ”
ประโยคนี้ เป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ผ่าลงและระเบิดดังขึ้นข้างหูของหร่วนซือซือ เธอถึงกลับขาอ่อนและเดินถอยหลังไปสองก้าว
ไม่คิดเลยว่าเรื่องในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับเธอ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเธอ……
เมื่อคิดถึงเจ้าอาวาสเจินหยวนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี จู่ๆหร่วนซือซือก็รู้สึกเจ็บปวดมาก เธอส่ายหน้า ” ไม่ใช่ฉัน……”
จู่ๆอวี้อี่มั่วก็พูดขึ้น ในดวงตาดำสนิทของเขาลึกล้ำมาก เขาพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า ” เธอกับอวี้กู้เป่ยเจรจากันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วใช่ไหม? ”
หร่วนซือซือรีบปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ” ไม่ใช่นะ! ”
เธอดูออกตั้งนานแล้วว่าอวี้กู้เป่ยไม่ใช่คนดี เธอไม่มีทางร่วมมือกับเขาเพื่อฆ่าเจ้าอาวาสเจินหยวนแน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นความเข้าใจผิด!
เมื่อเห็นเธอปฏิเสธอย่างปากแข็ง อวี้อี่มั่วก็ยิ่งเยือกเย็นมากขึ้น เขาจับที่ด้ามจับของรถเข็นแน่นขึ้นจนเผยให้เห็นเส้นเลือด แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เรื่องมันมีความเป็นมายังไงกันแน่ ถ้าเธอไม่ยอมรับ ไม่ยอมพูดความจริง เขาก็ไม่มีทางรู้ได้เลย
อีกด้านหนึ่ง หร่วนซือซือมองชายหนุ่มตรงนั้น เธอก็รู้สึกปวดใจมาก จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ” อวี้อี่มั่ว คุณคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกับอวี้กู้เป่ยใช่ไหม? ”
ทันทีที่รู้ข่าวว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเขา เธอรีบบินกลับมาจากต่างประเทศทันที ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ออกตามหาเบาะแสของเขา ทนรับแรงกดดันจากสิ่งรอบข้างด้วยตัวคนเดียว ทั้งด้านคุณยาย ด้านเสี่ยวเหมิงและพี่หลง เธอต้องรับมือให้ได้ทั้งหมด สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับมาคือความเข้าใจผิดจากเขา
ในชั่ววินาที หร่วนซือซือถึงกับรู้สึกว่าความพากเพียรพยายาม ความเป็นห่วง เป็นกังวล ของเธอเหมือนถูกโยนทิ้งให้หมากิน มันไม่มีความหมายอะไรเลย
เมื่อเห็นอวี้อี่มั่วเงียบ หร่วนซือซือก็หัวเราะออกมา เธอเดินเข้ามามองหน้าเขาและพูดขึ้นว่า ” อวี้อี่มั่ว เรื่องนี้ฉันผิดจริงๆ! ฉันน่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ต่างประเทศตั้งแต่แรก ฉันไม่น่ารับปากคุณยายแต่แรกเลย ฉันไม่น่าออกตามหาคุณอย่างมีความหวังตั้งแต่แรก! เพื่อตามหาคุณ ฉันทนเหนื่อย ทนร้อน อดทนกับความหวาดกลัว แม้เจอกับลั่วจิ่วเหยี่ยที่จิตใจอำมหิตฉันยังไม่เกรงกลัว! วันนี้ทุกอย่างประจักษ์แล้ว สิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่ผิด ผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว! ”
ในขณะที่เธอพูด เสียงของเธอแหบแห้งเล็กน้อย น้ำตาไหลท่วมอาบเต็มแก้มเธอ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความอ้างว้างและเสียใจ
เมื่ออวี้อี่มั่วได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกจุกอก ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาก็ใจอ่อนเมื่อเห็นน้ำตาที่อาบเต็มแก้มของหญิงสาว
เขาเอื้อมมือไปดึงมือเธอให้เข้ามาหาตัวเอง ” เธอเจอเย่จิ่วเหยี่ยงั้นหรอ? ”
หร่วนซือซือยังรู้สึกโมโหอยู่ เธอออกแรงผลักเขาออก ” อย่ามาแตะต้องตัวฉัน! ”
แต่เธอออกแรงมากเกินไป เธอผลักไปที่ไหล่ของอวี้อี่มั่วอย่างแรง ทันใดนั้นอวี้อี่มั่วถึงกับล้มไปด้านหลัง ในชั่ววินาทีหลังเขาก็กระแทกกับกำแพง
หร่วนซือซือชะงักไป จากนั้นถึงได้รู้ว่าอวี้อี่มั่วไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้แต่เขานั่งอยู่บนรถเข็น
เธอตกใจมาก ในสมองตอนนี้ของเธอว่างเปล่า เธออ้าปากค้างและก็พูดอะไรไม่ออก
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว และรู้สึกได้ว่าเธอรู้แล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดที่ยากที่จะอธิบายผุดเข้ามาในหัวใจของเขา
ในพจนานุกรมก่อนหน้านี้ของอวี้อี่มั่ว ไม่เคยมีคำว่าละอาย แต่ตอนนี้ เขาได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้แล้ว
สำหรับเขาแล้ว ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจที่เขาสะสมมามากกว่ายี่สิบสามสิบปีถูกทำลายลงหมดแล้ว ศักดิ์ศรีของเขาถูกทิ้งลงพื้นและเหยียบซ้ำสุดแรง
ช่างเจ็บปวดมาก
หร่วนซือซืออ้าปากค้างและพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ ” ขาของคุณ……”
อวี้อี่มั่วก้มหน้าลง เขาแสดงท่าทีออกมาอย่างเหี้ยมโหด ” ออกไป ”
หร่วนซือซือรู้สึกปวดใจ เธอถามต่อว่า ” อวี้อี่มั่ว คุณเป็นอะไร……”
อวี้อี่มั่วกำหมัดแน่น เขาพูดเสียงดังขึ้น ” ออกไป! ”