ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 หลินเซวียน
สำนักซวนเทียน เพลงดาบเหนือฟ้า
ณ ขุนเขาเปิดโล่ง ชายหนุ่มชุดขาวสิบคนกำลังร่ายรำดาบในมืออย่างพิถีพิถัน ประกายวิญญาณที่พร่างพราวบนตัวดาบ เสียงของดาบตวัดผ่านอากาศดังขึ้นไปมาเสนาะหู
ห่างออกไปไม่ไกลนัก กลุ่มชายหนุ่มในชุดผ้าป่านกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉา
“หากข้าสามารถเป็นหนึ่งในกลุ่มพวกเขาได้ เช่นนั้นคงจะได้ร่ำเรียนวิชาดาบอย่างแท้จริง แค่นึกคิดก็หัวใจก็เต้นรัวแล้ว!” ชายคนหนึ่งกล่าว
“ฝันกระมั้ง! พวกเขาเป็นศิษย์ของสำนักซวนเทียน แต่พวกเราเป็นแค่ขี้ข้าดาบชั้นต่ำ พวกเราจะไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้ยังไง?”
“หากเจ้าอยากจะเป็นเหมือนศิษย์สำนักซวนเทียนนั้นง่ายมาก เจ้าแค่ไปร่ำเรียนมันกับหลินเซวียนไง! ฮ่า ๆ ” เสียงกล่าวฟังดูเย้ยหยันดังขึ้น
ชายหนุ่มในชุดผ้าป่านต่างหัวเราะอย่างสนุกสนานขณะหันไปมองยังทิศเดียวกัน
ภายในดงป่าด้านข้าง มีชายหนุ่มอีกคนที่สวมชุดแบบเดียวกับขี้ข้าดาบ เขาอายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปี ใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างผอมบาง ในมือของเขาถือดาบเหล็กดำยาวที่กำลังตวัดไปมา เหงื่อจากความเหน็ดเหนื่อยได้ไหลท่วมเสื้อผ้า แต่มันกลับดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ
“หลินเซวียน? ฮืม ให้เวลาอีกร้อยปีมันก็ไม่มีวันได้เป็นศิษย์สำนักซวนเทียนหรอก! ในหมู่ขี้ข้าเขายังแทบไม่มีหน้ามีตา แล้วเทพยดาองค์ใดจะทำให้เขาเป็นศิษย์ของสำนักซวนเทียนได้?”
“ถูกต้อง หลายวันก่อนข้าได้ยินมาว่าเขาต้องการจะก้าวไปยังขั้นเปิดชีพจร แต่กลับล้มเหลว มันทำให้เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือด อีกทั้งขั้นพลังยังลดลงสู่ขั้นกลั่นพลังกายระดับสาม ตอนนี้ดูเหมือนจะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก!” น้ำเสียงเหล่านั้นเต็มไปด้วยความดูแคลน
“เขาฝึกฝนทักษะวิชาดาบทุกวันมาตลอดสามเดือนนี้ และเหมือนจะยังไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย ข้าคิดว่าเขาคงโง่เขลาอย่างแท้จริง!”
เสียงของผู้คนดูเหมือนตั้งใจเหยียดหยามให้ดังชัดเจน เมื่อหลินเซวียนได้ยินคำเหล่านั้น เขาเองก็รู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย แต่ในมือนั้นยังคงจับดาบมั่นและฝึกฝนดาบต่ออย่างไม่แยแส
ในวิถีแห่งการบ่มเพาะพลัง ขั้นพลังกายนั้นเป็นรากฐาน ส่วนขั้นเปิดชีพจรนั้นเป็นขั้นเริ่มต้น มีเพียงการทะลวงจุดชีพจรเปิดวิญญาณเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าสู่วิถีแห่งการบ่มเพาะพลังวิญญาณอันแท้จริงได้
“พี่หวังอยู่ขั้นพลังกายระดับเก้าแล้ว หากท่านบรรลุขั้นเปิดชีพจรได้ก็อย่าลืมพวกเราล่ะ!” เมื่อเห็นว่าหลินเซวียนไม่เคลื่อนไหว บรรดาชายหนุ่มในชุดผ้าป่านได้เริ่มจิกกัดต่อ พวกเขาหันไปชื่นชมชายหนุ่มอีกคนด้านข้าง
“แน่นอนอยู่แล้ว อีกไม่ถึงสองเดือนพี่หวังคงบรรลุขั้นเปิดชีพจร เมื่อเวลานั้นมาถึง บางทีพี่ท่านอาจจะได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักซวนเทียนก็ได้!”
หวังหยางกล่าวตอบอย่างเย้ยหยันขณะเหลือบมองหลินเซวียน “ไม่จำเป็นหรอก อย่างมากแค่เดือนเดียวข้าก็บรรลุได้แล้ว!”
“จริงหรือ? พี่หวังนี้นับวันเริ่มไม่ธรรมดา” บรรดาขี้ข้าดาบเริ่มส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
“พี่หวัง เห็นหรือไม่ว่าหลินเซวียนนั้นหยิ่งยโสแค่ไหน? เหตุใดท่านถึงไม่ไปสั่งสอนมันหน่อยล่ะ?”
หวังหยางเองก็ไม่ค่อยถูกชะตาหลินเซวียนมานาน เขาหันไปมองบรรดาศิษย์ในชุดขาวที่กำลังฝึกฝนเพลงดาบอยู่ และคาดว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะถึงช่วงพัก เมื่อนึกได้เช่นนั้นเขาจึงเดินไปปรี่หาหลินเซวียน
บรรดาชายหนุ่มในชุดผ้าป่านรู้สึกยินดีที่หวังหยางจะลงมือ พวกเขาจึงเตรียมตัวรอดูเรื่องสนุกที่จะเกิดขึ้น
เวลานี้หลินเซวียนยังคงฝึกฝนดาบ เขาพุ่งตัวไปข้างหน้า ส่งผลให้ดาบในมือขยับตามไปด้วย ทันใดนั้นประกายดาบได้ปรากฏขึ้นพร้อมทิ้งรอยบากไว้ที่ลำต้นของต้นไม้
ในความเป็นจริงหาได้มีใครไม่ทราบว่าหลินเซวียนฝึกฝนท่านี้มาสามปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาได้รับวิชาตกทอดนี้มา เขาก็ได้ฝึกฝนท่านี้อย่างบากบั่นทุกวัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝน
ฟิ้ว! ทันใดนั้น เสียงก้อนหินลอยผ่านอากาศได้ดังขึ้น มันมุ่งตรงไปทางด้านหลังศีรษะของหลินเซวียน ความรุนแรงของหินนั้นดูจะหนักมากจนผู้คนรอบด้านตกตะลึง
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีก้อนหินลอยมา ร่างของหลินเซวียนจึงเอนงอเพื่อหลบไม่ให้โดนจุดตาย เขาหยุดฝึกดาบและหันไปมองอย่างโกรธเกรี้ยว มันเป็นฝีมือของหวังหยางและกลุ่มคนชุดผ้าป่านที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“เฮ้ ท่าเจ้าสวยดีนี่ เจ้าหลบมันได้ยังไงกัน?” หวังหยางกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มน่ารังเกียจ
“ข้าไปทำอะไรให้พวกเจ้า?” ดาบในมือหลินเซวียนสั่นเทาขณะกล่าวเสียงต่ำ ‘หากเมื่อครู่เราหลบช้าไปอีกนิดเดียว เช่นนั้นศีรษะคงแหลกเป็นแน่! เราและคนพวกนี้ไม่เคยมีความคับแค้นใจกันมาก่อน แต่ไฉนพวกเขาถึงต้องมาหาเรื่องเราด้วย!’
“พวกเขาบอกว่าเจ้าฝึกฝนดาบมาสามเดือนแล้ว ข้าว่ามันน่าจะร้ายกาจไม่เบา มาสิ พวกเราขอดูหน่อย“
หลินเซวียนมองพวกเขากลับอย่างเย็นเยือกโดยไม่กล่าวสิ่งใด
“ทำไม ไม่กล้าหรือ? หรือว่าที่ฝึกฝนมาตลอดสามเดือนนั้นไม่ได้อะไรเลย?” หวังหยางกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“พี่หวัง แสดงให้เขาเห็นฝีมือของท่านหน่อย แสดงให้เขารู้ว่าท่านเป็นใคร!”
“ไอ้หนู ข้าจะบอกเจ้าเองว่าการฟันดาบของจริงมันเป็นยังไง!” หวังหยางก้าวออกไปพร้อมพ่นลมหายใจอันรุนแรงราวกับภูเขาไฟปะทุ
“มันคู่ควรกับร่างกายขั้นพลังกายระดับเก้าแบบข้า! เมื่อเห็นเจ้า ความรำคานก็เกิดขึ้นทันที!” หวังหยางกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะ เขาชักดาบเหล็กออกมาก่อนจะแสดงการร่ายรำอยู่ชั่วครู่ จากนั้นค่อยแทงตรงไปยังหลินเซวียน
บรรดาชายหนุ่มด้านหลังเบิกตากว้าง เพราะพวกเขาต้องการเห็นหลินเซวียนอับอายขายขี้หน้า หลินเซวียนนั้นเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขามานาน
หลินเซวียนจำต้องถอนหายใจ มือที่ซีดขาวของเขาค่อย ๆ ยกดาบขึ้นมาพร้อมดวงตาที่เด็ดเดี่ยว
ชักดาบ ตวัดดาบ แทงดาบ เก็บดาบ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เมื่อบรรดาชายหนุ่มได้สติกลับมา พวกเขาเห็นหลินเซวียนยืนปักดาบลงที่พื้นอย่างสง่า
“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้!” หวังหยางหันหน้ามาด้วยความผวา เส้นผมของเขาถูกตัดออก และมีคราบเลือดที่คอของเขาเล็กน้อย
ลมหายใจพวกเขาหยุดไปชั่วขณะ ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังหยางที่อยู่ขั้นพลังกายระดับเก้าจะพ่ายแพ้ให้หลินเซวียนที่อยู่ระดับสาม
“หลินเซวียนคนนี้เป็นใครกันแน่ เขาฝึกฝนดาบแบบไหน?” นี่คือคำถามในหัวพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงมาอยู่ตรงนี้!” น้ำเสียงอันไม่พอใจดังขึ้น
“ไม่นะ ศิษย์สำนักซวนเทียนกำลังจะไปพักกันแล้ว” ชายหนุ่มในชุดผ้าป่านตัวสั่นก่อนจะเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห็นศิษย์ชุดขาวเดินมา
“นายท่าน กระหายหรือเปล่า? นี่คือชาวิญญาณเก้าราตรี ข้าต้มมันทั้งคืนเลย!”
“นายท่าน นี่คือยาที่จะช่วยฟื้นฟูกำลังวังชา ได้โปรดรับไว้ด้วยขอรับ“
บรรดาชายหนุ่มชุดผ้าป่านต่างรีบพากันไปดูแลบรรดาศิษย์ชุดขาว แม้แต่หวังหยางเองก็เช่นกัน เขาผละตัวออกจากความกลัว และวิ่งไปหาเจ้านายของตนอย่างรวดเร็ว
“นี่คือยาฟื้นฟูกำลังของนายท่านขอรับ” หวังหยางกล่าวอย่างนอบน้อม
ชายหนุมรับเม็ดยาและกลืนลงไป เขามองไปที่คอของหวังหยางก่อนจะขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น คอเจ้าไปได้แผลนั่นมายังไง?” ชายในชุดขาว เฉินเฟิงกล่าว
“นายท่าน…” ตัวของหวังหยางสั่นเทา ‘หากเขาทราบว่าเราพ่ายแพ้คนที่อยู่เพียงขั้นพลังกายระดับสามมา เราคงแย่แน่นอน’
ทันใดนั้นบรรดาศิษย์ชุดขาวได้มารวมตัวกัน ขี้ข้าดาบบางคนเริ่มเล่าเรื่องราว จากนั้นพวกเขาหันไปมองหลินเซวียน
“เจ้าขี้ข้านั่นกล้าดียังไง! คอยดูเถอะ เจ้าโดนเจ้านายดาบฆ่าทิ้งแน่!”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มหยาบกระด้างขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ!”
“นายท่าน เขาเป็นขี้ข้าดาบของคุณหนูถังอวี้” ทันใดนั้นได้มีคนเอ่ยขึ้น
“โอ้ ถังอวี้เปลี่ยนขี้ข้าดาบแล้วงั้นหรือ? ข้าไม่เห็นจะทราบเลย“
“เหตุใดเจ้าถึงต้องก่อเรื่องด้วย?” ขณะเดียวกันด้านนอกฝูงคน น้ำเสียงอันเล็กแหลมราวกับเสียงกระดิ่งได้ดังขึ้น สตรีสวมชุดผ้าขาวได้ปรากฏขึ้นในระยะสายตาพวกเขา
นางมีรูปลักษณ์ที่งดงาม ผิวพรรณเนียนสวย ร่างกายทรงเสน่ห์พร้อมเนินขาที่เรียวบาง
ผู้คนมากมายถึงกับกลืนน้ำลาย แม้แต่ศิษย์ชุดขาวบางคนยังรู้สึกหลงใหล
“หลินเซวียน มานี้!” ถังอวี้ไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย นางโยนดาบให้หลินเซวียนก่อนจะพากันเดินออกไป
“เจ้าจะปล่อยให้พวกเขาไปแบบนั้นนะหรือ?” ศิษย์บางคนรู้สึกไม่พอใจ
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่อาจสู้กับถังอวี้ได้ แต่เจ้าขี้ข้าดาบจอมโอหังนั้นข้าสังหารมันได้ทุกเวลา ข้าจะไปยังภูเขาวันพรุ่งนี้และจัดเตรียมการ พามันไปด้วย ข้ามีงานให้มันทำ!” เสียงลึกลับได้ดังขึ้น
“กล้ายั่วข้า เฉินเฟิงงั้นหรือ เจ้าตายแน่!” ศิษย์ชุดขาวมองไปยังด้านหลังของหลินเซวียนขณะเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
หลินเซวียนติดตามถังอวี้ตลอดทาง เขาเห็นสายตาผู้คนมากมายมองมา แน่นอนว่าสายตาเหล่านั้นมองไปยังถังอวี้ไม่ใช่เขา
ถังอวี้ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น นางมองไปยังหลินเซวียนพร้อมกล่าว “ข้าได้ช่วยเจ้าแล้ว เจ้ามีอะไรจะตอบแทนข้าหรือไม่?”
“ข้าขอบคุณท่านหญิงอย่างมาก” หลินเซวียนกล่าวจริงจัง
“เจ้า…”
นางกัดฟันแน่นพร้อมใบหน้าเล็กจ้อยที่ดูไม่สบอารมณ์ แต่ทันใดนั้นดูเหมือนจะนึกคิดบางอย่างได้ นางกะพริบตาก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล “หลินเซวียน มีบางผิดปกติกับดาบของข้า ได้โปรดช่วยตรวจดูให้หน่อย”
นางส่งดาบยาวให้เขา ฝักดาบมีสีเขียวเข้มทำจากหนังสัตว์คุณภาพเยี่ยม มันประดับไปด้วยอัญมณีหลายชิ้นและกำลังส่องแสงกระทบกับดวงอาทิตย์
หลินเซวียนไม่สนใจเกี่ยวกับของประดับเหล่านี้ เขาชักดาบออกมาดูอย่างระมัดระวัง
ตัวดาบมีสีครามราวกับท้องนภา แต่กลับมีจุดสีดำบนตัวดาบ ซึ่งมันทำให้ความมันวาวลดลงไปอย่างมาก
“อืม ท่านไม่ค่อยถนอมดาบเล่มนี้เลย” หลินเซวียนบ่นพึมพำก่อนจะใช้นิ้วของตนลูบไปยังส่วนคมของดาบเพื่อให้กรีดเลือด จากนั้นเขาได้ใช้เลือดแต้มจุดสีดำบนตัวดาบเบา ๆ ไม่นานจุดดำก็ได้หายไป หลินเซวียนปล่อยให้เลือดไหลผ่านคมดาบอีกครั้งก่อนจะหยุดการกระทำ
“เรียบร้อย” เขาส่งดาบกลับให้ถังอวี้
นางหยิบดาบขึ้นมาอย่างมีความสุขและโบกมันไปมาในอากาศสองสามครั้ง เลือดเซียวอี้ได้กลืนหายไปในตัวดาบหมดสิ้น เวลานี้ ตัวดาบทั้งเล่มเปล่งประกายราวกับไพลิน
“หยุดนะ!” เมื่อนางเห็นหลินเซวียนหันหลังเดินจากไปโดยไม่ว่ากล่าว นางจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยือก
“ถังอวี้ ข้าทำความสะอาดดาบให้แล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก?” หลินเซวียนถอนหายใจพร้อมกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าอยากจะฝึกฝนวิชาดาบ เจ้ามาสู้กับข้าเดียวนี้” ถังอวี้ชี้ดาบไปที่เขาอย่างไม่พอใจ
“นายหญิง ท่านอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ แล้วอยากจะให้ข้าสู้กับท่านขณะที่ข้าอยู่ขั้นกลั่นพลังกายระดับสาม ข้าไม่เอาด้วยหรอก” หลินเซวียนปฏิเสธทันที
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ใช้พลังวิญญาณ” ถังอวี้เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ทันทีที่ขยับข้อมือ ดาบเล่มครามในมือนางได้แทงออกไปทันที
‘นางเอาจริงงั้นหรือ!’ หลินเซวียนตกใจและรีบยกดาบขึ้นมาป้องกัน หลังจากที่ดาบทั้งสองปะทะกัน หลินเซวียนรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่เข้ามาและทำให้เขาถอยหลังไปสามก้าว
“ข้าบอกว่าจะไม่ใช้พลังปราณ!” ถังอวี้เผยรอยยิ้ม พลังดาบในมือได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง มันรู้สึกราวกับสายลมอันหนาวเย็นพัดผ่าน
“ฮี่ ฮี่ นี่คือวิชาดาบวายุเหมันต์ ไม่อยากลองดูหน่อยหรือ?”
ดาบในมือถังอวี้ขยับไปมาจนเกิดลมกรรโชก มันทำให้เสื้อผ้าของหลินเซวียนกระพืออย่างหนัก “บัดซบ เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทุกครั้งที่ท่านฝึกวิชาดาบใหม่ ท่านก็จะมาลองกับข้า!”
มันเป็นเวลาสามเดือนแล้วที่หลินเซวียนมายังสำนักนภาสวรรค์เพื่อเป็นขี้ข้าดาบ ในระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา เขาไม่ทราบว่าถูกปีศาจน้อยตัวนี้ทรมานกี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน นางจะใช้เขาเป็นหนูทดลองเสมอ
เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกฟันจนเสื้อผ้าขาดวิ่น มันก็ทำให้หลินเซวียนรู้สึกโกรธอย่างมาก เขาอยากจะจับดาบตอบโต้เป็นครั้งคราว
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเปิดจุดชีพจรเพื่อใช้พลังวิญญาณฝึกฝนทักษะดาบอย่างแท้จริงได้ แต่พรสวรรค์ด้านการใช้ดาบของหลินเซวียนนั้นสูงส่งมาก เพียงแค่วิชาดาบพื้นฐานเมื่ออยู่ในมือของเขา มันราวกับการร่ายรำอย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งพรสวรรค์นี้ดูเหมือนจะติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถังอวี้ถึงชอบขอให้เขามาฝึกดาบด้วย
เมื่อเห็นถังอวี้ไม่ใช้พลังวิญญาณ หลินเซวียนจึงได้ตวัดดาบออกเป็นครึ่งวงกลมเพื่อปัดทางดาบของถังอวี้ และเฉือนตรงข้อมือนางเล็กน้อย
ถังอวี้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน นางพยายามกวัดแกว่งดาบเพื่อโจมตีบังหน้า แต่ดาบในมือของหลินเซวียนนั้นราวกับอสรพิษเลื้อยคลาน มันสามารถสยบทุกกระบวนท่าของนางได้ พร้อมติดตามการเคลื่อนไหวของนางอย่างแม่นยำ
“ฮึ่ม!” ถังอวี้เริ่มไม่สบอารมณ์จนได้ใช้พลังวิญญาณอย่างไม่รู้ตัว ประกายแสงได้ถูกปล่อยออกมาจากดาบสีน้ำเงินและพัดหลินเซวียนปลิวออกไป
พรืด!
หลินเซวียนกระเด็นไปสิบก้าวก่อนจะกระแทกลงกับพื้น หน้าอกของเขาเต็มไปด้วยรอยโลหิตช้ำ ลมปราณภายในร่างของเขาปั่นป่วนไม่ต่างจากมรสุมในทะเลร้อน
‘หากเราสามารถเปิดเส้นชีพจรได้ เช่นนั้นคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้!’ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหดหู่
‘สวรรค์ ใยท่านให้พรสวรรค์กับข้า แต่กลับไม่ให้ข้าเปิดเส้นชีพจรได้ ท่านเล่นตลกอะไรอยู่!’
เมื่อเห็นหลินเซวียนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ถังอวี้จึงเดินเข้าไปเตะเขา “เอาล่ะ อย่ามาแกล้งตาย ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย”
หลินเซวียนกลืนความเจ็บปวดลงท้องก่อนจะฝืนลุกขึ้นนั่ง “เอายาฟื้นฟูพลังให้ข้า มิเช่นนั้นท่านจะไม่มีหนูฝึกวิชาดาบอีก”
ถังอวี้มองไปที่เขาก่อนจะหยิบเม็ดยาสีแดงและโยนให้อย่างไม่เต็มใจ ขี้ข้าดาบคนอื่นนั้นรับใช้และเชื่อฟังเจ้านายของตนราวกับสุนัข แต่หลินเซวียนคนนี้กลับเฉยเมยและเย็นชา…
อย่างไรก็ตาม หลินเซวียนนั้นมีมุมมองเรื่องดาบที่ไม่เหมือนใคร ความเข้าใจในดาบก็ยังเหนือกว่าขี้ข้าดาบคนอื่น เป็นผลให้ถังอวี้ไม่ได้กระทำเขาถึงตาย เพราะตั้งแต่นางฝึกฝนดาบกับหลินเซวียน ทักษะการใช้ดาบของนางก็ดีขึ้นอย่างมากในช่วงสามเดือนนี้
“เจ้านับว่าเป็นอัจฉริยะในการใช้ดาบก็จริง แต่โชคร้ายที่ไม่สามารถเปิดจุดชีพจรเพื่อบ่มเพาะพลังวิญญาณได้ ดังนั้นจงเชื่อฟังนายหญิงคนนี้อย่างซื่อสัตย์ แล้วเจ้าจะไม่ทรมาน!” ถังอวี้ปลอบโยนสองสามคำก่อนจะจากไป
หลินเซวียนหยิบขวดสีขาวออกมาจากเสื้อก่อนจะเก็บเม็ดยาลงไป มันคือยาฟื้นฟูชีพที่ให้ผลอย่างดี ทุกครั้งที่ได้มา เขาจะเก็บมันไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น
หลังจากเก็บเม็ดยา หลินเซวียนพยุงร่างอิดโรยกลับไปยังกระท่อม เขาต้องการไปให้ถึงระดับที่เก้าของขั้นกลั่นพลังกายโดยเร็วพลัน เพื่อจะได้ทะลวงจุดชีพจรอีกครั้ง