ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 103
ตอนที่ 103 สํานักเหมันต์
เสียงที่ดังขึ้นฟังดูเย่อหยิ่งและแฝงไปด้วยความดูถูกเล็กน้อย
บรรยากาศในชั้นที่สองที่กําลังเดือดพล่าน ตอนนี้กลับกลายเป็นเย็นเยือก
“ใครมาสร้างปัญหา? เจ้ารู้ได้ยังไงว่าศิษย์พี่ของข้าพูดไร้สาระ?” พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนตรงและอารมณ์ร้อน ดังนั้นจึงตะโกนอย่างไม่ไว้หน้า
“แม้แต่คนของดาบครามสวรรค์ยังไม่มีใครเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบ แล้วศิษย์จากสำนักเล็ก ๆ แบบนี้จะเข้าใจได้งั้นหรือ?” เสียงตอบกลับมาอีกครั้ง
” พูดจาไร้สาระ ขอข้าดูหน้าเจ้าคนเย่อหยิ่งผู้นี้หน่อย!” ชายร่างโตตะโกนกลับ
“กล้าตะคอกใส่ศิษย์พี่ข้าเรอะ รนหาที่ตาย!” เสียงอันโกรธเกรี้ยวดังขึ้นก่อนจะมีเงาอาวุธสีดําพุ่งออกมา
ฟิ้ว!
สิ่งที่มีรูปร่างคล้ายอาวุธบินออกไป มันทําให้เกิดเสียงที่แหลมคมทะลุผ่านอากาศ
ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ทําให้คนอื่น ๆ ถึงกับมองตาม
“ตาย!”
ชายร่างโตลุกขึ้นและคว้าดาบใหญ่ขึ้นมาทันโต้กลับ คมดาบเปล่งประกายขึ้นพร้อมอากาศที่ แตกกระจายไปรอบด้าน
เต้ง! แต่ดาบในมือของเขากลับหักทันทีที่ปะทะกัน จากนั้นสิ่งที่ดูเหมือนอาวุธ ได้พุ่งไปต่อจนใกล้จะแทงชายร่างโต
หลินเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาทราบดีว่าชายร่างโตพูดถึงชื่อเสียงของตน เขาคงไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นต้องมาตายเพราะข่าวลือแน่นอน อีกทั้งคําพูดคําจาของคนในห้องส่วนตัวก็ทําให้เขาไม่ค่อยพอใจ
เมื่อไม่ลังเลอีก นิ้วของเขาได้กวาดไปยังแก้วน้ําชา และยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น แก้วน้ำชาได้พุ่งไปกระแทกเงาอาวุธของอีกฝ่ายจนกระเด็น
ติ้ง!
เสียงอากาศสั่นสะเทือนดังไปทั่ว สิ่งที่ดูคล้ายอาวุธปักเข้าตรงกําแพง และสั่นอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยังเกิดไอเย็นออกมา
เมื่อทุกคนหันไปมอง พวกเขาพบว่ามันเป็นแค่ตะเกียบ และสิ่งที่ใช้สะกัดตะเกียบก็คือแก้วชาฉากนี้ทําให้พวกเขาต่างหยุดหายใจกันไปชั่วขณะ
ฝีมือของคนทั้งสองนั้นสูงมาก และอาจจะสูงกว่าคนในนี้
ชายร่างโตเดินมาหาหลินเขวียน “ขอบคุณที่ยื่นมือช่วย ข้ารู้สึกซาบซึ้งและเป็นหนี้ชีวิตท่าน”
ภายในห้องส่วนตัว เสียงอันโกรธเกรี้ยวได้ดังขึ้นอีกครั้ง “ใครกล้ามาทําลายการโจมตีของข้า? อยากตายมากสินะ!”
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะรุนแรงเกินไปหน่อยแล้ว!” หลินเขวียนกล่าวเสียงต่ำ เขาไม่คาดคิดว่าทุกสิ่ง นี้จะเกิดขึ้นเพราะข่าวลือเกี่ยวกับตน ดูเหมือนว่าเจตนารมณ์แห่งดาบจะสําคัญกว่าที่เขาคิด
“ดี! ข้าขอดูหน่อยว่าใครที่กล้าเถียงข้า!” ทันใดนั้นประตูในห้องส่วนตัวได้เปิดออก จากนั้นชายหนุ่มหน้าขาวได้เดินออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“ข้าบอกว่าไม่มีใครในเขตอวิ๋นโจวบรรลุเจตนารมณ์แห่งดาบได้ ไม่ยอมรับงั้นหรือ?” ชายที่โกรธเกรี้ยวกล่าวอย่างเย็นเยือก อีกทั้งลมหายใจยังแข็งแกร่งมาก
“ลมหายใจนี้ ” ผู้คนต่างตื่นตระหนก เพราะเขาอยู่ขั้นกึ่งสมุทรวิญญาณ!
“อายุเท่านี้ แต่ไปถึงขั้นกึ่งสมุทรวิญญาณแล้ว แม้แต่ในสามสํานักใหญ่ยังแทบหาไม่ได้” คนรอบด้านต่างตกตะลึง “เขาเป็นใครกัน?”
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ตกใจ ทันใดนั้นคนส่วนหนึ่งได้ตอบกลับอย่างเป็นเย็นเยือก “ถึงแม้ฝีมือ เจ้าจะไม่เลว แต่ก็ไม่ควรดูหมิ่นเขตอวิ๋นโจว!”
” นั่นสิ ทําไมจะมีคนที่บรรลุเจตนารมณ์แห่งดาบในเขตอวิ๋นโจวไม่ได้”
” พวกตาบอดทั้งหลาย มันก็แค่เขตล่าง ๆ ของจักรวรรดิเซีย เมื่อพวกเจ้าออกไปข้างนอก พวกเจ้าจะรู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริง!” ชายหนุ่มคนนั้นยังกล่าวดูหมิ่นต่อ
“โอหังเกินไปแล้ว ข้าจะให้เจ้ารู้ถึงพลังของอวิ๋นโจว!” เวลานี้ คนบางกลุ่มคิดจะสั่งสอนขายหนุ่มที่ปากดีตรงหน้า
“อืม!” ชายหนุ่มกลับดูเหมือนจะไม่กลัว เขาค่อย ๆ เลื่อนแขนออกมาจากชุดก่อนจะขยับมือ “ใครกล้าลงมือกับข้า?”
ตราสัญลักษณ์ที่สลักจากเกล็ดหิมะได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา
”เขตเสวโจว สํานักเหมันต์!” ใครบางคนอุทานขึ้น
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะรู้จักนะ!” ชายหนุ่มเก็บตราพร้อมกล่าวเย้ยเยาะ “ใครกล้าลงมือ
อีกตอนนี้?”
สายตาทุกคนจ้องเขม็ง แต่ไม่มีใครกล้าลงมือ
เมื่อเห็นหลินเยวียนขมวดคิ้ว ฮูหมานจึงอธิบายเสียงเบา “เขตเสว่โจวอยู่ติดกับเขต
อวิ๋นโจว แต่ก็มีอิทธิพลมากกว่า ไม่เพียงจะเหนือกว่าอวิ๋นโจวแล้ว ในแง่ของนักสู้หรือทรัพยากร ทุกอย่างยังเหนือกว่าด้วย”
“สํานักใหญ่ทั้งสามในเขตอวิ๋นโจวเราอยู่แค่ระดับหนึ่งดาว แต่สํานักในเขตเสว่โจว
นั้นมีถึงสองดาว” ฮูหมานเป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของสํานักดอกบัว นางจึงทราบเรื่องนี้ ฮูหมานกล่าวต่อ “สํานักหนึ่งดาวนั้นไม่มีทางเทียบสํานักสองดาวได้ ดังนั้นความแข็งแกร่งและพลังของพวกเขาจึงเหนือกว่ามาก”
ฮูหมานอธิบายเพราะอยากจะเกลี้ยกล่อมหลินเซวียนไม่ให้วู่วาม
แต่กลับกัน หลินเซวียนยิ่งฟังยิ่งเผยรอยยิ้ม ดวงตาเขาหาได้มีความกลัวไม่ มันกลับเหมือนเขาพร้อมจะสู้อีกต่างหาก
“ตอนนี้ข้าอยากจะประลองแล้ว ใครกล้าเข้ามาสู้กับข้า?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างหยิ่งผยอง จากนั้นได้เดินไปที่โต๊ะของชายร่างโต
“เจ้ามีคนลึกลับช่วยไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มกล่าวต่อ ” ตอนนี้ข้าขอดูหน่อยสิว่าเขา จะช่วยเจ้าได้อีกไหม!”
ชายร่างโตกัดฟันแน่น ตวงตาของเขาแดงจากโทสะ ศักดิ์ศรีของบรรดานักสู้เหล่านี้สําคัญกว่าสิ่งใด หากถูกเย้ยหยันเช่นนี้ พวกเขายอมสู้ตายดีกว่า
แต่ช่องว่างระหว่างพลังนั้นกว้างเกินไป และพวกเขารู้ตัวเองที่ว่าทําอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงทําได้ แค่จ้องอย่างโกรธเกรี้ยว
” ดวงตาเจ้าไม่เลว ข้าจะควักมันออกมาเอง” ชายหนุ่มเอ่ยต่อ
ฟูม! ฟูม!
หลินเขวียนขว้างแก้วชาออกไปอีกครั้ง น้ำชาที่อยู่ในแก้วกระเด็นออกเป็นรูปดาบ และพุ่งไปหาชายหนุ่ม
“ฮืม? อะไรกัน?” ชายหนุ่มตกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้าลงมือจริง ยิ่งกว่านั้นวิธีการโจมตียังทําให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
“เฮอะ!” ชายหนุ่มขยับฝ่ามือ จากนั้นหมอกสีขาวได้ออกมาจากร่างของเขา มันทําให้บรรยากาศรอบด้านเย็นขึ้นมาทันตา
เพียงไม่นาน อากาศได้กลายเป็นน้ําแข็ง ไอเย็นสีขาวได้แผ่กระจายไปทั่วทิศทาง ใบหน้าของ ชายร่างโตถึงกับถูกน้ําแข็งปกคลุม ตาบที่เปลี่ยนรูปร่างจากชาถูกแช่แข็งกลางอากาศทันที
“ฮืม?” หลินเซวียนอุทานออกมาเมื่อเห็นพลังน้ำแข็งตรงหน้า มันดูทรงพลังยิ่งกว่าฟานช่ง
ถึงแม้เขาจะประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ภายในดาบน้ำชานั้นมีสายฟ้าแฝงอยู่ด้วย
เพียงไม่นานสายฟ้าก็ได้ระเบิดน้ำแข็งออก และพุ่งไปหาชายหนุ่มต่อ
เปรี้ยง!
ชายหนุ่มโอหังถึงกับถอยหลัง เขาไม่สนชายร่างโตอีก และขยับฝ่ามือไปยังดาบน้ำชาทั้งสามเล่ม
“ทักษะร้ายกาจมาก เขาสามารถใช้แค่น้ำชาเพื่อสร้างอาวุธที่คมดั่งใบมีดได้ ยอดฝีมือผู้นี้เป็นใคร?” คนมากมายต่างสงสัย เพราะพวกเขาไม่เห็นว่าใครเป็นคนใช้วิชาดังกล่าว
“แกเอง!” ชายหนุ่มโอหังมองไปที่หลินเซวียน จากนั้นเงาหิมะได้ปรากฏขึ้นด้านหลังเขาทันที มันทําให้บรรยากาศรอบด้านเย็นขึ้นราวกับอยู่ในเหมันตฤดู
“กล้าสู้กับสํานักเหมันต์ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!” มือของชายหนุ่มผู้ นั้นเต็มไปด้วยน้ำแข็งพร้อมเล็งมันไปทางหลินเซวียน