ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 111
ตอนที่ 111 พื้นที่ทดสอบโลหิต
กล้ามเนื้อของจ้าวลือเฉิงขยายใหญ่ขึ้นราวกับมังกรที่เกรี้ยวกราด
เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมตะโกน ขณะเดียวกัน แขนของเขาได้เปล่งแสง มันมีเกล็ดขึ้นเล็กน้อย ราวกับแขนของปีศาจ
ม่านตาหลินเซวียนจมลง เขารู้สึกถึงแรงกดดันจนต้องถอยกลับ
ตู้ม!
หลินเซวียนทิ้งร่างเงาสายฟ้าไว้ก่อนจะหนีไปด้านข้าง
ปั้ง!
เวลานี้ร่างกายของจ้าวจือเฉิงราวกับอสุรกายที่เพิ่มพลังอย่างมหาศาล แต่หมัดของเขาชกโดนเพียงร่างเงาของหลินเซวียน
“หนี? คิดว่าจะหนีไปไหนได้?” จ้าวจือเฉิงคลุ้มคลั่งขึ้นขณะร่างกายขยายใหญ่โต
หลินเซวียนไม่คิดจะสู้กับเขาตรง ๆ และชักดาบเพลิงโลหิตออกมา ร่างของเขาโคจรพลังวิญญาณทันที ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
“จนถึงตอนนี้ มันแค่การอุ่นเครื่องเท่านั้น จากนี้ไปคือของจริง!” ใบหน้าหลินเซวียนเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกราวกับเทพเจ้าแห่งดาบลงมาจุติ รอบตัวเขาเผยให้เห็นเงาดาบมากมาย
เมื่อเงาดาบเหล่านั้นปรากฏ พลังวิญญาณสีฟ้าได้พุ่งเข้าไปในเงาดาบเหล่านั้น พวกมันพุ่งเข้าไปปกคลุมจ้าวจือเฉิงราวกับห่าฝน อีกทั้งดาบทุกเล่มยังมีเจตนารมณ์แห่งดาบแฝงอยู่ด้วย
“นั่นคือเจตนารมณ์แห่งดาบสินะ? มันน่าสะพรึงจริง ๆ !” ใบหน้าศิษย์สายตรงหลายคนเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะมองหลินเซวียนอย่างกลัว ๆ
วิ้ง!!
ดาบตรงหน้าได้ร้องขึ้นดังเพื่อแสดงถึงพลังอันแกร่งกล้า สิ่งนี้ทําให้หัวใจของผู้คนรอบด้านถึงกับเต้นแรง
“กายโลหะ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าสะพรึง จ้าวจือเฉิงถึงกับรู้สึกกลัวขึ้นมา เขาตะโกนขึ้นดังก่อนที่ร่างกายจะปกคลุมด้วยชั้นเหล็กถึงสามชั้น
เคล้ง! เคล้ง!
เงาดาบของหลินเซวียนกระทบกับร่างจ้าวจือเฉิงจนเกิดเสียงขึ้นดังทะลุหูผู้ชมรอบด้าน
ศิษย์ชั้นในธรรมดาที่เห็นถึงกับตกตะลึง แม้แต่ศิษย์สายตรงยังขมวดคิ้วแน่น การโจมตีนี้ยากที่จะหลบหรือต้านอย่างแท้จริง
เมื่อฝนดาบหมดลง ทั่วทั้งลานประลองกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยรอยดาบฟัน ร่างของจ้าวจือเฉิงเองก็ไม่ต่างกัน บาดแผลได้ปรากฏขึ้นทั่วตัวของเขา
“ข้าไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้!” จ้าวจือเฉิงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฝ่ามือฉีกนภา!”
ฝ่ามือขนาดใหญ่ได้ยื่นไปตรงหน้า จากนั้นเขาได้ฉีกอากาศตรงหน้าออก
แกร๊ก!
ลานประลองครึ่งหนึ่งถูกตัดออกทันที
“น่ากลัวมาก พลังระดับนี้อยู่ไม่ใช่คนธรรมดาจะทําได้!” ศิษย์หลายคนมองอย่างตกตะลง
“มันจบแล้ว!” หลินเซวียนก้าวไปข้างหน้าพร้อมใช้ก้าวอัสนีเพื่อหนีมิติที่แยกออก
จากนั้นเขาได้ฟันดาบลงไปยังจ้าวจือเฉิงโดยไม่ลังเล
เคล้ง เคล้ง เคล้ง!
ไม่ว่าร่างของจ้าวจือเฉิงจะแข็งเพียงใดก็ไม่สามารถต้านเจตนารมณ์แห่งดาบครึ่งก้าวได้ เขากระเด็นออกไปทันที ใบหน้าของเขามีรอยฟันยาวจนเห็นกระดูก
บนลานประลอง ผมสีดําของหลินเซวียนกําลังพริ้วไหวตามสายลม ร่างของเขาราวกับดาบที่ทรงพลังปักอยู่บนพื้นดิน รอบตัวเขาเต็มไปด้วยประกายสายฟ้าที่ก่อตัวเป็นรูปดาบขนาดเล็กหมุนวนไปมา
จ้าวจือเฉิงไม่อาจรับพลังระดับนี้ได้อีก ศิษย์มากมายรีบลากตัวจ้าวจือเฉิงออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมามองหลินเซวียน
ถังอี้และเชียงเฉินมองหลินเซวียนด้วยสายตาที่เร่าร้อน ‘หากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มคนนี้จะต้องกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจแน่นอน’
หลังจากเก็บเจตนารมณ์แห่งดาบแล้ว หลินเซวียนก็ตรงไปทักทายศิษย์พี่ทั้งสองก่อนจะจากไป ตอนนี้เขาได้สิทธิห้าอันดับแรกแล้ว ที่เหลือก็แค่รอพื้นที่ทดสอบโลหิตเปิด
ในวันต่อ ๆ มา ศิษย์หลายคนได้เริ่มท้าประลองกับศิษย์สายตรงเช่นกัน แต่ผลกลับออกมาไม่ค่อยดีนัก เพราะบรรดาศิษย์สายตรงนั้น กล่าวได้ว่าเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสํานัก พวกเขาจะได้รับทรัพยากรบ่มเพาะพลังมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
แต่ก็ยังมียกเว้นอยู่คนหนึ่ง เขาคือช่างกวนหลิวหยุน ผู้ที่เข้ามาเป็นศิษย์ในพร้อมกับหลินเซวียน เขาสามารถเอาชนะอันดับสิบและชิงตําแหน่งศิษย์สายตรงมาได้ ยิ่งกว่านั้นตงหยิงและจ้าวจือเฉิงที่บาดเจ็บหนักก็ถูกบีบให้ตกอันดับจากศิษย์สายตรงไป
สิบวันต่อมา สํานักได้ประกาศผู้ที่ได้สิทธิทั้งสิบห้าคน
นอกจากศิษย์สายตรงอย่างหลินเซวียน ซ่างกวนหลิวหยุน และศิษย์หญิงนามอวิ๋นเยว่ ศิษย์สายตรงที่เหลือทั้งหมดก็ได้รับเลือก และอีกห้าคนก็คือ มู่หรงเฉียนหลิง เจิ้งจชิ้น กงเห่า กัวเจีย และหงเฟิง
ทั้งห้าคนนี้คือศิษย์เอกของผู้อาวุโสในสํานัก พวกเขาแข็งแกร่งและบรรลุขั้นสมุทรวิญญาณทุกคน ยิ่งกว่านั้นยังอายุไม่ถึงยี่สิบสี่ปี ซึ่งผ่านเงื่อนไขพื้นฐานทั้งหมด
ในหมู่พวกเขา มู่หรงเฉียนหลิงคือศิษย์ของผู้อาวุโสฮวา และเจิ้งจชิ้นเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเยว่
ข่าวนี้ทําให้หลินเซวียนชะงักเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าผู้อาวุโสเยว่จะมีศิษย์คนอื่นอีก
ในห้าวันต่อมา พวกเขาทั้งสิบห้าคนถูกเรียกรวมตัวกันในห้องโถง โดยมีผู้อาวุโสของสํานักเป็นคนนําทางไปยังพื้นที่ทดสอบโลหิต
ศิษย์มากมายต่างถอนหายใจช่วยไม่ได้ที่ยังไม่มีคุณสมบัติ และต้องรอจนกว่าจะเปิดอีกครั้ง
ทั้งสิบห้าคนได้เตรียมตัวกันอย่างดี
การฝึกฝนของหลินเซวียนในช่วงสิบวันที่ผ่านมาเรียบง่ายมาก แทนที่จะฝึกวิชาใหม่ เขาได้ฝึกวิชาทั้งหมดที่มีให้ดีขึ้นด้วยแรงโน้มถ่วงสิบเท่าทุกวัน
ในวันที่สาม มู่หรงเฉียนหลิงได้พาหลินเซวียนไปพบกับผู้อาวุโสฮวา
ผู้อาวุโสฮวาคือสตรีในชุดชาววังวันนั้น นางคืออาจารย์ของมู่หรงเฉียนหลิง
ที่พวกนางเรียกเขามาเพราะจะบอกข้อมูลเพิ่มเติม
พื้นที่ทดสอบโลหิตนั้นจะเปิดทุก ๆ เจ็ดปี สํานักชวนเทียนถูกก่อตั้งมาแล้วหกร้อยปี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาส่งคนไปกี่ครั้งแล้ว ถึงแม้สถานการณ์จะไม่เหมือนเดิมสักครั้ง แต่มันก็มีข้อมูลที่พวกเขาค้นพบอยู่บ้าง
หลินเซวียนได้แผนที่มาหนึ่งแผ่น มันคือแผนที่ของพื้นที่ทดสอบโลหิต มันมีทั้งภูเขา ปา แม่น้ํา และราชวังบนนั้น หรือกล่าวได้ว่าเหมือนกับโลกขนาดเล็ก
“โอกาสที่จะเข้าไปในพื้นที่นี้ไม่ได้ง่าย และมันขึ้นอยู่กับพวกเจ้าว่าจะเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเองได้หรือเปล่า” ผู้อาวุโสฮวากล่าวอย่างเรียบง่าย มันสามารถแบ่งออกเป็นสามพื้นที่พื้นที่ แรกคือพื้นที่รอบนอก มันมีอันตรายอยู่น้อย ของมีค่าจึงไม่ค่อยมากนัก เมื่อเข้าไปแล้ว จงระวังศิษย์สํานักอื่นให้ดี”
“พื้นที่ที่สองคือปาโลหิต มันมีสัตว์ประหลาดมากมายแฝงตัวอยู่ มีสองแห่งถูกระบุว่าเป็นพื้นที่ต้องห้าม หนึ่งคือถ้ําค้างคาว มันมี ราชันค้างคาว สัตว์อสูรระดับสามอยู่ ใครที่หลงเข้าไป ส่วนมากไม่มีชีวิตรอดกลับมา”
“อีกสถานที่หนึ่งคือหุบเขาเร้นลับ ไม่มีใครทราบว่ามันอยู่ที่ไหน เพราะคนที่เข้าใกล้จะตายกันหมด พวกเจ้าต้องระวังสถานที่ทั้งสองนี้ให้ดี!”
หลินเซวียนจดไว้อย่างดีและฟังต่อ
” พื้นที่ที่สามคือราชวังโลหิต มันคือพื้นที่แห่งสมบัติอย่างแท้จริง ทั้งยาโอสถ ศาสตราวุธ และวรยุทธ์มากมายต่างอยู่ที่นี่ ศิษย์หลายคนที่อยู่ขั้นเบิดชีพจรเข้าไปในนั้น ส่วนใหญ่จะกลับออกมาเป็นขั้นสมุทรวิญญาณอยู่หลายคน”
“ไม่เพียงแต่จะประหยัดเวลาในการบ่มเพาะพลัง แต่มันยังทําให้พวกเจ้าสามารถแข็งแกร่งกว่าขั้นสมุทรวิญญาณทั่วไปได้ด้วย” ผู้อาวุโสฮวากล่าวอย่างผ่อนคลาย