ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 138
ตอนที่ 138 แก่นแท้แห่งชีวิต
ร่างทั้งสามถูกดูดเข้าไปในประตูสีเลือด
ฮีม – บั้ง!
ประตูทางเข้าปิดลงทันทีเพื่อไม่ให้คนนอกเข้ามาอีก
“อ๊าก! สมบัติของข้า!”
“บัดซบ ทําไมไม่เป็นข้า!”
“เจ้าหลินเซวียนและสตรีชุดขาวนั้นโชคดีชะมัด!”
นักสู้บางคนร้องออกมาอย่างขมขื่น
ในกลุ่มคน เจิ้งจวิ๋นดูน่าสมเพชที่สุด
เขาอยู่ขั้นพลังที่สูงสุด และยังมีสถานะที่สูงกว่าใคร ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะเป็นคนที่มีโอกาสมากที่สุด
แต่โอกาสนั้นกลับถูกชิงไปโดยมดปลวกที่เขาเย้ยหยัน
หลินเซวียน!
“ไม่ยุติธรรม!” เจิ้งจวิ๋นตะโกนในใจ เขาตบฝ่ามือไปยังประตูโลหิตตรงหน้า แต่มันก็ไม่มีผลอะ
“เฮอะ! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่ออกมา!” เจิ้งจวิ๋นนั่งลงรอหลินเซวียนอยู่ด้านนอก
เขาต้องการชิงสมบัติมรดกจากมือหลินเซวียนด้วยตนเองและค่อยสังหาร!
เมื่อเห็นเจิ้งจวิ๋นนั่งลง นักสู้คนอื่นๆก็นั่งลงรอเช่นกัน
เมื่อทําอะไรก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาจึงเก็บพลังไว้
แน่นอนว่าบางคนก็ไม่อยู่รอ มันยังมีสมบัติอื่นอยู่อีกข้างนอก
ภายในประตูโลหิต มันราวกับโลกอีกโลกหนึ่ง
มันไม่ใช่พื้นที่หรูหราหรือกําแพงใหญ่ แต่มันราวกับถ้ําที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและธรรมชาติ
หลินเซวียนกวาดสายตามองไปรอบด้านพร้อมเผยท่าทีระมัดระวัง
นอกจากเขา ยังมีสตรีชุดขาวที่บาดเจ็บอยู่ด้วย
”เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” หลินเซวียนถามอย่างสงสัย
สตรีชุดขาวมีคราบเลือดบนผ้าคลุมหน้า นางถอดผ้าคลุมหน้าออกก่อนจะส่ายหัวช้าๆ
จากนั้นนางได้หยิบยาฟื้นฟูออกมากินก่อนจะเงยหน้ามองรอบๆ
หลินเซวียนเห็นใบหน้าของนางแล้วถึงกับชะงัก เขาเห็นสตรีที่งดงามมามากเช่นมู่หรงเฉียนหลิงผู้เย็นชา ถังอวี่ผู้ดื้อรั้น หรือหยินฉิงอี้ที่ขี้อาย
แต่หากเทียบกับสตรีตรงหน้า ความงามของพวกนางกลายเป็นรองทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาหลินเซวียน สตรีชุดขาวเผยใบหน้าที่แดงออกมาเล็กน้อย จากนั้นได้หลบสายตาเขา
“เอ่อ…” หลินเซวียนเกาหัว เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
“ยี่ฮี่ เจ้าหนู ได้สติแล้วหรือ?”
เสียงแหบแห้งดังก้องขึ้นจากในถ้ํามืด
“เจ้าและข้าร่วมมือกันจับตัวนาง ข้าจะเอาของมีค่า ส่วนเจ้าเอาตัวนางไป! ว่าไง?” เสียงนั้นดังก้องออกมา
หลินเซวียนไร้คําพูด เขากลอกตาพลันนึกคิด “เราดูเหมือนคนแบบนั้นงั้นหรือ?”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ สตรีชุดขาวก็ตัวสั่น นางมองไปยังหลินเซวียนอย่างระมัดระวัง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สตรีชุดขาวก็เอ่ยขึ้น “อย่าไปฟัง เขามาจากสภาทมิฬ ฝีมือร้ายกาจมาก อย่าไปหลงกลล่ะ”
หลินเซวียนครุ่นคิดชั่วครู่ “ดูเหมือนทั้งสองต่างกลัวกันเอง
“ขณะเดียวกันสตรีชุดขาวกําลังบาดเจ็บ แต่ชายชุดดํากลับไม่กล้าสู้ เช่นนั้นก็ชัดเจนว่าสตรีชุดขาวแข็งแกร่งกว่า”
เขายังจําฉากที่นางใช้นิ้วเดียวทําลายการโจมตีของเจิ้งจวิ๋นได้ มันเป็นสิ่งที่น่าทิ้งอย่างมาก
” ที่นี่ที่ไหนกัน?” หลินเซวียนเหมือนจะไม่สนใจทั้งสอง แต่ก็คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา
เขาใช้จิตตรวจดูรอบด้านแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ มันจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“มันมีมิติอยู่มากมายที่นี่ ดูเหมือนที่แห่งนี้จะเป็นหนึ่งในมิติที่ว่า” เซียนสุรากล่าว
หลินเซวียนพยักหน้า เขาอยากจะออกสํารวจแต่ก็ไม่สามารถทําได้ง่ายๆ จากการมีคนอื่นที่นี่
โดยเฉพาะชายชุดดํา ลมหายใจของเขาเหมือนกับชายชุดดําที่เขาสังหารในเมืองหลินชานวันนั้นมาก
สําหรับสตรีชุดขาว เขาไม่ทราบตัวตน แต่ก็ดูไม่เหมือนคนชั่ว
” สตรีชุดขาวผู้นั้นดูเหมือนไม่ได้มาจากพื้นที่นี้” เซียนสุรากล่าว
” ท่านทราบหรือ?” หลินเซวียนชะงัก
เซียนสุรากล่าวต่อ “นางใช้วิชาลับบางอย่าง ข้าเกรงว่าขั้นพลังของนางน่าจะสูงกว่าขั้นสมุทรวิญญาณเสียอีก แต่อายุกลับพอๆกับเจ้า เจ้าคิดว่าพอจะมีคนแบบนี้อยู่ในจักรวรรดิเซียไหม?”
“สูงกว่าขั้นสมุทรวิญญาณ?” หลินเซวียนประหลาดใจก่อนจะหันไปมองนางอีกครั้ง
น่ากลัวมาก อายุน้อย แต่บรรลุเข้าสู่ขั้นที่สูงกว่าสมุทรวิญญาณ ทั้งจักรวรรดิเซียไม่มีคนแบบนี้แน่นอน
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของหลินเซวียน สตรีผู้นั้นก็ระวังตัวทันที ตอนนี้นางบาดเจ็บหนัก และกลัวว่าหลินเซวียนร่วมมือกับชายชุดดําเพื่อฉวยโอกาส
“อี้ เจ้าคิดได้หรือยัง?” ชายชุดดํากล่าวอีกครั้ง
” ข้าคิดว่าสถานการณ์มันยังดีอยู่ ไม่มีใครต้องทําอะไรทั้งสิ้น” หลินเซวียนยักไหล่
“พวกเจ้ารออยู่นี้ก่อน ข้าจะไปตรวจดูเอง” หลินเซวียนไม่ต้องการทําลายสมดุลตอนนี้ ไม่ว่าสตรีชุดขาวหรือชายชุดดํา เขาก็ไม่ต้องการสู้ด้วย มีเพียงการถ่วงเวลาเท่านั้นถึงจะหาทางออกไปได้
“เจ้า” ใบหน้าของสตรีชุดขาวโกรธเล็กน้อยขณะมองหลินเซวียน
ชายชุดดําเองก็มองไปเช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะไม่ช่วยใครเลย
“เจ้ารู้จักสภาทมิฬหรือเปล่า?” สตรีชุดขาวเอ่ยขึ้น “มันคือขุมพลังชั่วร้ายที่ครั้งหนึ่งเคย ทําลายหลายอาณาจักรมาแล้ว เขาเป็นหนึ่งในปีศาจที่มาจากสภาทมิฬ!”
” หากเจ้าไม่สังหารเขา เช่นนั้นเขาย่อมสังหารเจ้าไม่ช้าก็เร็ว!”
นิ้ว
ประกายแสงสีดําได้กะพริบขึ้นอย่างรวดเร็ว
เกราะสีม่วงปรากฏขึ้นบนตัวสตรีชุดขาว
หลินเซวียนรีบถอยออกมาทันที ทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งกว่าเจิ้งจวิ๋น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสู้ด้วยได้แน่นอน
“นี้ไอ้หนู นางพูดถูก!” ชายชุดดําหัวเราะ “สภาของพวกเราแข็งแกร่งมาก หากเจ้าช่วยข้า เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปยังสภาและเจ้าจะได้เป็นหนึ่งในสภาทมิฬ!”
“ขั้นพลังของข้าต่ํากว่าพวกท่าน เช่นนั้นจะช่วยอะไรได้?” หลินเซวียนรู้สึกสงสัย
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังดาบอันแหลมคมในตัวเจ้า หากเจ้าร่วมมือกับข้า พวกเราจะสามารถทะลวงเกราะป้องกันของนางได้!” ชายชุดดํากล่าวเสียงต่ํา
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเซวียนเข้าใจแล้วว่าทั้งสองทราบถึงพลังดาบในตัวเขา
“คุณชายท่านนี้ อย่าไปฟังเขา!” สตรีชุดขาวกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “สภาทมิฬคิดจะปลุกชีพผู้อาวุโสที่ตายไปแล้วในอดีต!”
“เขาน่าจะกําลังมองหาแก่นแท้แห่งชีวิตอยู่ สิ่งนี้จะสามารถทําให้พลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้น และสามารถคืนชีพพวกมารเฒ่าในสภาได้ ดังนั้นเจ้าต้องสังหารเขาเสีย”
“แก่นแท้แห่งชีวิต?” หลินเซวียนกะพริบตา
หากมันเป็นเช่นนั้นจริง “เช่นนั้นก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเซียนสุราด้วยนะสิ?” หลินเซวียนเอ่ยถามในใจ
” มันน่าจะมีผลกับข้า แต่หากระดับมันต่ํา เช่นนั้นก็ไม่มีผลอะไร” เซียนสุรากล่าว
เมื่อได้คําตอบเขาก็ตัดสินใจจะหามันเพื่อช่วยเซียนสุรา ยังไงก็ต้องลองดูก่อน!”
“ท่านหมายความว่ายังไง อะไรคือแก่นแท้แห่งชีวิต?” หลินเซวียนเอ่ยถามยอดฝีมือตรงหน้า