ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 17
ตอนที่ 17 หยิ่งผยอง
‘สุราวิญญาณสองขวดแลกกับผลไม้ร้อยปีสามผล อีกทัังยังได้ความประทับใจจากชายลึกลับผู้นี้ มันนับว่าคุ้มค่าอย่างมาก’
“ตกลง” สตรีชุดชมพูเผยรอยยิ้มขณะตอบ นางนำบัตรสีทองม่วงออกมาพร้อมกล่าว “นี่คือบัตรลูกค้าพิเศษของตลาดเทียนเซียง ในอนาคต ท่านสามารถใช้บัตรนี้ได้ตลอดเวลาหากต้องการซื้อสิ่งของในตลาด มันจะลดราคาให้ท่านได้ หากทำการประมูล ยังจะได้ราคาพิเศษได้อีกด้วย
‘ดูเหมือนนางจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นนักปรุงยาไปแล้ว’ หลินเซวียนหยิบบัตรสีทองม่วงไว้ก่อนจะพยักหน้าพึงพอใจ
ในทวีปผู้ใช้พลังวิญญาณนั้น ยังมีอาชีพอื่นที่สำคัญอีก อย่างนักปรุงยา ผู้ที่สามารถกลั่นวัตถุดิบมาทำเป็นยาอายุวัฒนะหรือยาเสริมพลังอื่น ๆ ได้
นักปรุงยานั้นมีตั้งแต่ระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้า และยาเหล่านั้นก็จะแบ่งเป็นเก้าระดับเช่นกัน สุราวิญญาณของหลินเซวียนอยู่ในระดับที่สอง
เมื่อเสร็จธุระ หลินเซวียนจึงเก็บผลไม้วิญญาณและรีบออกจากร้านค้า
ขณะมองหลินเซวียนออกไป สตรีชุดชมพูยืนกะพริบตาขณะถาม “ผู้อาวุโส นี่คือสุราวิญญาณระดับสองจริงหรือ?”
ใบหน้าของชายชราดูเคร่งขรึม “นี่คือสุราวิญญาณระดับสองจริง แต่ข้าไม่รู้สึกถึงรังสีของนักปรุงยาจากชายผู้นั้นเลย”
“ท่านหมายความว่าชายผู้นั้นไม่ใช่นักปรุงยางั้นหรือ?” สตรีชุดชมพูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านต้องการให้ข้าส่งคนไปตรวจสอบเขาไหม?”
ผู้อาวุโสส่ายหัว “ไม่ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่นักปรุงยา เขาต้องมีความสัมพันธ์กับนักปรุงยาชั้นสูงแน่นอน หากเจ้าไปทำให้เขารำคานเข้า ข้าเกรงว่าพวกเราจะไม่ได้ผลดีอะไรกลับมา”
“เจ้าต้องรู้ว่านักปรุงยานั้นมีหลายมหาอำนาจแข่งขันกันแย่งตัว อย่าทำให้นักปรุงยาขุ่นเคืองเลย มิเช่นนั้นมันจะจบไม่สวยเอา!”
“ไม่ต้องห่วงผู้อาวุโส ข้าทราบดีว่าจะทำอะไร” สตรีชุดชมพูกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
……
หลังจากออกจากตลาดเทียนเซียง หลินเซวียนยังไม่ได้กลับสำนัก เขาเดินไปยังถนนการค้าย่านตะวันตก
ถนนนี้ไม่เหมือนกับตลาดเทียนเซียง มันไม่มีอาคารหรูหรา ไม่มียามรักษาการณ์ ไม่มีการจัดการจากคนชั้นสูง และไม่มีสตรีที่ใบหน้างดงาม
หลังจากได้ผลร้อยปีมาแล้ว หลินเซวียนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา เขาเดินชมของข้างทางอย่างสนุกสนาน
คนเหล่านี้ขายเพียงสิ่งของธรรมดาเกลื่อนถนน บางคนก็ขายอาวุธและชุดเกราะที่พุพัง บางอย่างก็เป็นของแปลกประหลาด หรือยังมีแม้กระทั่งของเก่าแก่โบราณ!
หลินเซวียนไม่พบอะไรดีหลังจากเดินหาอยู่นาน ขณะที่กำลังจะออกจากตลาด เซียนสุราได้เอ่ยบางอย่างขึ้น
“เสี่ยวเซวียน มันมีหินน้ำตาลอยู่ตรงร้านแผงลอยด้านขวา เจ้าต้องเอามันมาให้ได้!”
หลินเซวียนหันไปมองโดยพลันก่อนจะเอ่ยถาม “มันมีอะไรพิเศษงั้นหรือ?”
“บอกไปเจ้าก็ไม่เชื่อหรอก เพราะเจ้ายังเด็กอยู่!” เซียนสุรากล่าวเย้ยเยาะ “แน่นอนว่านั้นหินนั้นไม่มีอะไร แต่ที่พิเศษคือกิ่งไม้ที่หินผนึกอยู่ อายุอย่างน้อยก็พันปี“
“จริงหรือ?” หลินเซวียนประหลาดใจ เขารู้สึกว่าเซียนสุราราวกับพระเจ้าไปแล้ว อย่างแรกคือเซียนสุราสามารถทำให้ชายอ้วนวัยกลางคนพูดความจริงได้ และตอนนี้เขายังเห็นสิ่งของภายในหินธรรมดา
“ท่านทำแบบนั้นได้ยังไง?” หลินเซวียนอยากจะทำได้บ้างจึงเอ่ยถาม
“มันคืออิทฤทธิ์ อิทฤทธิ์น่ะ เข้าใจหรือเปล่า?” เซียนสุรากล่าวอย่างขบขัน
หลินเซวียนทำหน้ามุ่ยทันทีที่ได้ยินก่อนจะเดินไปยังร้านค้าแผงลอย เขาทำเป็นหยิบของขึ้นมามองดูหลายอย่างก่อนจะตรงไปยังหินนั่น เจ้าของร้านแผงลอยนี้เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ใบหน้าของเขาซีดเหลืองและผอมแห้งเล็กน้อย
“สุภาพบุรุษท่านนี้สนใจสิ่งไหนหรือขอรับ? ข้าจะบอกว่า สิ่งของเหล่านี้ตกทอดมาจากตระกูลข้า มันคือของเก่าแก่โบราณ!” ชายหน้าเหลืองกล่าวพร้อมยกคิ้ว
หลินเซวียนมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบหินสีน้ำตาล ทันใดนั้นเซียนสุราได้เปล่งเสียงแปลกประหลาดขึ้นในใจของหลินเซวียน ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงวังวนสีดำแวบออกมาและก็หายไป
“เรียบร้อย เสี่ยวเซวียน ข้าได้มันมาครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้าถอยได้!” เซียนสุราหักกิ่งไม้ภายในนั้นมาครึ่งหนึ่งก่อนจะเริ่มกลับไปทำสุราต่อ
“นี่อะไร? เจ้าขายหินแตก ๆ แบบนี้ด้วยหรือ?” หลินเซวียนถามเสียงต่ำ
“นี่…” ชายหน้าหน้าเหลืองกำลังเปิดปากกล่าว แต่ทันใดนั้นเสียงอันหยิ่งผยองได้ดังขึ้นด้านหลังหลินเซวียน “ข้าจะซื้อหินนี้!”
ตุบ! ถุงหินวิญญาณวางลงบนร้านค้าแผงลอย
“นี่คือหินวิญญาณยี่สิบก้อน รับมันไปเสีย หินนี้เป็นของข้าแล้ว!” น้ำเสียงของนางฟังแล้วดูเหมือนจะปฏิเสธไม่ได้
หลินเซวียนเหลือบไปมองด้านหลังสตรีผู้นั้น มันมีสตรีอีกสองสามคนยืนอยู่พร้อมใบหน้าอันเย่อหยิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะสบตากับใคร
“เงินอยู่นี้ หินเป็นของพวกเราแล้ว! วางมันลงแล้วไปซะ!” หนึ่งในกลุ่มสตรีกล่าวอย่างเย็นเยือก
หลินเซวียนไม่จำเป็นต้องแย่งกับพวกนางเพื่อหินนี้อีกเมื่อได้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่น้ำเสียงของสตรีผู้นั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ ยิ่งกว่านั้นคนพวกนี้ยังเป็นศิษย์สำนักซวนเทียนทั้งหมด สองคนในนั้นมาจากพรรคปราณเทวะ หนึ่งในพวกนางสวมชุดเขียว ใบหน้าสละสลวย แต่ก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
‘พวกปราณเทวะอีกแล้วสินะ’ หลินเซวียนยิ้มเยาะในใจก่อนจะกล่าว “ข้าให้สามสิบหินวิญญาณ“
“เจ้ากล้าขโมยของจากข้างั้นหรือ เจ้าทราบหรือไม่ว่าพวกเราเป็นศิษย์สำนักซวนเทียน?” สตรีอีกคนกล่าวขึ้นเสียงดัง
“ตั้งแต่โบราณ ผู้ที่สามารถจ่ายราคาสูงกว่าย่อมได้ของสิ่งนั้น เป็นเพียงศิษย์ชั้นนอกของสำนัก อย่ามาหยิ่งผยองในเมืองหลวง” หลินเซวียนกล่าวเย้ยหยัน
คนพวกนี้อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ หากอยู่ในโลกภายนอกก็แค่ระดับกลาง แต่น้ำเสียงของพวกนางราวกับว่าตนเป็นยอดฝีมือ อีกทั้งยังไม่สนใจผู้อื่น
“ได้ สามสิบหินวิญญาณ มันเป็นของเจ้าแล้ว!” ชายหนุ่มกล่าว
“ช่างเป็นหินล้ำค่า ของดีเช่นนี้จะปล่อยไปได้ยังไง” หลินเซวียนกล่าวเสียงเบาพลางเยาะเย้ย
เมื่อกลุ่มปราณเทวะได้ยินหลินเซวียน พวกนางถึงกับเผยแววตาโหดเหี้ยม
“ฮึ่ม เมื่อพี่เทียนกลับมา ข้าจะสั่งสอนมันสักหน่อย!” สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
เมื่อผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ได้เดินมา ชายผู้นี้มีคิ้วที่หนาและดวงตาที่ใหญ่ ลมหายใจของเขาทรงพลังอย่างมาก อีกทั้งแววตายังดูเกรี้ยวกราด
‘เปิดชีพจรระดับห้า!’ หัวใจหลินเซวียนจมลงเมื่อสัมผัสได้ ‘เหตุใดพวกเขาถึงต้องการหินก้อนนี้ พวกเขาทราบว่ามันมีบางสิ่งอยู่งั้นหรือ?’
ชายที่มีนามว่าเทียนจื่อได้เอ่ยขึ้น “คุณพ่อค้า เจ้าคิดจะขายมันให้ใคร?”
“ข้า ข้าไม่ขายมันแล้ว!” ไม่ว่าจะโง่เพียงใด เขาก็พอจะทราบว่าหินก้อนนี้คือสมบัติของตระกูล แล้วจะให้ขายด้วยราคายี่สิบหินวิญญาณได้ยังไง?
“หินวิญญาณห้าสิบก้อน ข้าจะนำมันไปตอนนี้ หรือจะต่อต้านพรรคปราณเทวะจากสำนักซวนเทียนก็แล้วแต่เจ้า!” เทียนจื่อกล่าวอย่างดุดัน
“อะไรนะ! เจ้า เจ้ามาจากพรรคปราณเทวะ!” ชายหน้าเหลืองถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยว
เมื่อเทียนจื่อเห็นสีหน้าของชายหน้าเหลือง เขาได้เผยรอยยิ้มอันหยิ่งผยอง จากนั้นได้ยื่นมือไปคว้าหินสีน้ำตาลในมือหลินเซวียนทันที