ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 18
ตอนที่ 18 ตกตะลึง
ในความคิดของเทียนจื่อ ลมหายใจของหลินเซวียนนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงกล้าเย่อหยิ่งใส่
แขนข้างที่ยื่นลงมาเต็มไปด้วยแสงสีเหลืองของพลังวิญญาณ
“หึ เจ้าคนชุดดำนี้แสร้งทำเป็นยอดฝีมืองั้นหรือ? พี่เทียนจื่ออยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับที่ห้าเชียวนะ!” กลุ่มศิษย์น้องด้านหลังกล่าวเย้ยเยาะ “หากกล้าแย่งของของพวกเราก็เท่ากับรนหาที่ตาย!”
ชายหน้าเหลืองที่เป็นเจ้าของร้านแอบหลบไปอยู่ในมุม เขาไม่กล้าที่จะมองฉากตรงหน้า
หลินเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาจับหินสีน้ำตาลไว้แน่นขณะที่มันถูกดึง
เทียนจื่อเห็นหลินเซวียนยังไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังขัดขืน เขาจึงโกรธอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าออกแรงใส่หินสีน้ำตาลหนักเกินไป เขาเปลี่ยนมือเป็นกรงเล็บตะปบเข้าที่ไหล่ของหลินเซวียน
หลินเซวียนสะบัดแขนเล็กน้อยและใช้หินสีน้ำตาลขึ้นมากันพร้อมกล่าว “ข้าให้หกสิบหินวิญญาณ“
“บัดซบ อย่าโอหังให้มากนัก! หากเจ้าทำให้งานของพวกเราล่าช้า เช่นนั้นเจ้าตายแน่!” เทียนจื่อรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขามีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่กลับใช้มันไม่ได้เพราะมันอาจจะทำลายหินก้อนนี้
“ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าไม่เพิ่มราคา เช่นนั้นข้าจะทำลายหินก้อนนี้ทิ้งเสีย” หลินเซวียนเริ่มกล่าว “หนึ่ง“
บนถนนแห่งการค้าขาย บรรดานักสู้จากทั่วทุกสารทิศได้เห็นพวกเขากำลังแย่งของกัน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาคิดว่านั่นคือสมบัติมีค่าและเข้ามาดูทีละคนสองคน
“บ้าเอ้ย ใครเป็นคนโชคดีเจอของมีค่ากัน?”
“อืม บุญมีแต่กรรมบังสินะ เขาพบของดีแต่กลับไปถูกตาผู้ใช้พลังวิญญาณระดับห้าเข้า!”
“สอง!” หลินเซวียนหาได้สนใจเสียงรอบข้างไม่
วิชาฝ่ามือของเทียนจื่อนั้นยอดเยี่ยม แต่หลินเซวียนก็ใช้หินสีน้ำตาลนั้นเข้ากำบังทุกกระบวนท่า
“ข้าให้เจ็ดสิบก็ได้!” เทียนจื่อกัดฟันแน่นขณะกล่าว เวลานี้เขาคิดแค่อย่างเดียว หลังจากได้หินนี้มา สิ่งแรกที่จะทำคือฉีกชายชุดดำคนนี้เป็นชิ้น ๆ
“อะไรนะ? เจ็ดสิบ ข้าได้ยินถูกใช่หรือไม่!” ผู้คนรอบด้านเริ่มอึกทึก “สมบัตินั่นถูกขายเพียงแค่เจ็ดสิบหินวิญญาณเองหรือ!?“
“ข้าให้แปดสิบ ขอข้าซื้อได้เปล่า?” ใครบางคนเอ่ยขึ้น
“ผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดจะได้มันไป!” เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเซวียนจึงตามน้ำพร้อมหัวเราะอย่างพึงพอใจ
“งั้นข้าให้ร้อยหนึ่ง!” เสียงของคนในกลุ่มดังขึ้น
“มอบมันมาให้ข้าแล้วไสหัวไปซะ!” เทียนจื่อโกรธจัด พลังงานสีเหลืองรอบตัวเขาเดือดดาลราวกับเปลวเพลิง
ขณะที่ผู้คนคิดจะเพิ่มราคาอีก เทียนจื่อได้หันไปส่งสายตาอันเกรี้ยวกราดหยุดพวกเขาไว้
“ฮึ่ม พวกเรามาจากสำนักซวนเทียน พรรคปราณเทวะ ใครกล้าหาแส่เข้ามายุ่งอีก พวกเราจะไม่ไว้ชีวิตใครทั้งนั้น!” เทียนจื่อกล่าวอย่างเย็นเยือก
ผู้คนมากมายทำได้เพียงยอมแพ้ ถึงแม้สมบัติจะมีค่า แต่ชีวิตย่อมมีค่ากว่า
“โอ้ น้ำเสียงช่างโอหังนัก! ข้าให้หนึ่งร้อยห้าสิบหินวิญญาณ!” เสียงล้อเลียนได้ดังขึ้น
ผู้คนทั้งหลายหันไปมองโดยพลัน พวกเขาต้องการทราบว่าใครกันที่กล้าท้าทายศิษย์สำนักซวนเทียน เทียนจื่อเองก็หยุดชะงักก่อนจะหันไปมอง
“หลัวอี้!” เทียนจื่อกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าว “เจ้าอยากจะยุ่งเรื่องนี้งั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้อยากยุ่ง แต่ข้าแค่ทนเห็นกลุ่มปราณเทวะของเจ้าเหิมเกริมไม่ได้!” หลัวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“สองร้อยหินวิญญาณ!” เทียนจื่อและหลัวอี้ไม่คิดจะต่อสู้กัน พวกเขามีกำลังและสถานะที่ทัดเทียม หากพวกเขาตั้งใจจะสู้ เช่นนั้นมันจะเสียเวลาไม่น้อยเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ
“สองร้อยยี่สิบ!” หลัวอี้กอดอกแน่นอย่างมั่นใจ
ปิ๊ด!
ทันใดนั้นสติของเทียนจื่อได้หายไปหมดสิ้น “ตายซะ!” เทียนจื่อไม่กล่าวอะไรอีกขณะเปิดการโจมตี หมัดของเขาพุ่งออกไปทางหลินเซวียนผู้ถือหินอยู่
หลัวอี้และผู้อื่นไม่คาดคิดว่าเทียนจื่อจะลงมือกับชายชุดดำผู้นี้อย่างจริงจัง พวกเขาหวังแค่ว่าชายชุดดำจะหลบการโจมตีนี้ได้
หมัดของเทียนจื่อที่โจมตีมาราวกับเสียงคำรามของพยัคฆ์ มันพุ่งมาอย่างรวดเร็วพร้อมประกายแสงสีเหลือง
“มันคือวิชาขั้นสีเหลืองระดับสูง! ชายชุดดำคนนั้นตายแน่!”
“ศิษย์พี่เทียนจื่อร้ายกาจอย่างมาก ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครในระดับเดียวกันสู้เขาได้!”
หลินเซวียนยื่นมือซ้ายออกไปพร้อมดาบ จากนั้นพลังวิญญาณสีน้ำเงินได้โคจรออกมาทันที เขาตวัดดาบขึ้นไปและฟันลงมาราวกับดาวตก
ฟู้ม!
กระบวนท่าของเขาทรงพลังอย่างมาก แม้จะไม่ได้ขัยบตัวมากมาย แต่มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนใช้วิชาแบบเต็มพลัง หลินเซวียนตวัดดาบอย่างรวดเร็วจนทำลายเพลงหมัดพยัคฆ์คำรามของเทียนจื่อได้
ฟู่!
แขนของเทียนจื่อบาดเจ็บทันทีขณะถอยไปด้านหลัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว รอยยิ้มของบรรดาพรรคปราณเทวะถึงกับแข็งทื่อ
“ป… เป็นไปได้ยังไง!” พวกนางแทบจะกัดลิ้นตัวเอง ‘ศิษย์พี่เทียนจื่อเป็นศิษย์ที่โดดเด่นในพรรคปราณเทวะ อีกทั้งยังอยู่ในระดับห้าของขั้นเปิดชีพจร!’
ดวงตาหลัวอี้เปล่งประกายเมื่อเห็น เขาครุ่นคิดว่าหากเป็นตนเอง เช่นนั้นจะหลบการโจมตีเมื่อครู่ได้หรือเปล่า
‘ชายชุดดำผู้นี้เป็นใครกัน?’ ความกลัวปรากฏขึ้นในใจของเขาเล็กน้อย
“แอบโจมตีข้างั้นหรือ?” หลินเซวียนกล่าวอย่างเย็นเยือก “หากไม่นำหินวิญญาณมาห้าร้อยก้อน เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้มัน!”
เทียนจื่อยังคงตกตะลึงอยู่ วิชาดาบเมื่อครู่ทำให้ความมั่นใจของเขาหายไปหมดสิ้น ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าหลินเซวียนที่สวมชุดดำอยู่คือยอดฝีมือ เขาไม่เคยเห็นดาบของใครรวดเร็วปานนั้นมาก่อน
“นายท่านโปรดใจเย็นก่อน ข้าตามืดบอดเองที่ไปทำให้ท่านขุ่นเคือง” เทียนจื่อกล่าวอย่างตื่นตระหนก “นี่คือตั๋วเงินห้าร้อยหินวิญญาณ ท่านสามารถนำมันไปแลกเป็นหินวิญญาณได้ในเมือง ข้าหวังว่านายท่านจะมอบหินสีน้ำตาลให้ข้า…”
การแสดงออกของเทียนจื่อเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เพราะมันไม่มีทางอื่นอีก ในโลกนี้ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพนี้ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่ยอมให้ผู้อื่นศิโรราบได้
“รับไป!” หลินเซวียนหยิบตั๋วเงินก่อนจะกล่าว “ครั้งนี้ข้าจะทำเป็นลืมก็แล้วกัน หากมีครั้งอื่นอีก เช่นนั้นข้าไม่ปรานีเจ้าแน่!”
เขาโยนหินสีน้ำตาลให้เทียนจื่อ ไม่ว่ายังไงกิ่งไม้วิญญาณในหินก้อนนั้นก็ถูกเซียนสุราหักไปแล้ว มันจึงไม่มีประโยชน์อีกที่จะนำหินนั้นกลับ
“ข้าจะจดจำที่ท่านกล่าวไว้!” เทียนจื่อกล่าวอย่างเคารพก่อนจะนำกลุ่มศิษย์น้องด้านหลังจากไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาจะกลัวจริง ๆ
หลินเซวียนนำตั๋วเงินไปให้พ่อค้าที่ยืนตกตะลึงอยู่ “เจ้าได้หินก้อนนั้นมาจากที่ใด?”
ชายหน้าเหลืองที่เป็นเจ้าของร้านรับตั๋วเงินไว้ก่อนจะกล่าว “นายท่าน ข้าพบหินสีน้ำตาลก้อนนี้ที่เขาไท่หัง มันมีพายุรุนแรงในวันนั้น และสิ่งของมากมายรวมถึงหินก้อนนี้ถูกพัดมา“
“พายุ?” หลินเซวียนนึกถึงนกตัวมหึมาตัวนั้นขึ้นมาโดยพลัน ‘ดูเหมือนหินก้อนนั้นจะอยู่ลึกลงไปในป่า แต่คงจะถูกนกปริศนาตัวนั้นกวาดต้อนมาสินะ’
“มีหินที่คล้ายกันอีกหรือไม่?” หลินเซวียนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ข้าหยิบมาได้แค่ก้อนเดียว นอกนั้นตกลงไปในหลุม ข้าไม่กล้าหยิบมันออกมา” เจ้าของร้านกล่าวต่อ “หลุมนั่นคือหลุมพิสดาร สิ่งมีชีวิตใดที่หลงตกลงไปจะสูญเสียสติ และตายกลายเป็นกองกระดูก ข้าไม่อยากจะลงไปที่นั่น“
“…อย่าเพิ่งขายอะไรอีกตอนนี้ ระวังคนพวกนั้นจะกลับมาดีกว่า” หลินเซวียนเตือนชายหน้าเหลืองก่อนจะหันหลังจากไป
เขาเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับหลุมพิสดารนั่น มันคือพื้นที่ต้องห้ามในภูเขาไท่หัง เขาเคยเห็นคนตกลงไปสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นใครมีชีวิตรอดกลับมาอีกเลย
“มันเป็นสถานที่ที่อันตรายจริง ๆ ” หลินเซวียนคิดว่าจะไปเก็บหินนั้นบ้าง แต่ตอนนี้คงทำได้เพียงยอมแพ้ เมื่อเสร็จสิ้นธุระ เขาหาพื้นที่ปลอดคนเพื่อจะถอดผ้าคลุมสีดำออก และกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
“กลับไปที่สำนักก่อน รอให้เซียนสุราทำเหล้าจนเสร็จ จากนั้นค่อยเริ่มฝึกวิชาดาบอัสนี” หลินเซวียนตั้งเป้าไว้อย่างแน่วแน่
……
พวกเทียนจื่อและศิษย์น้องเข้าไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งพร้อมหินสีน้ำตาล คนจำนวนหนึ่งกำลังยืนอยู่รอบโต๊ะและมองไปยังหินก้อนนั้นอย่างสงสัย
“ศิษย์พี่ นี่คือหินที่มาจากเขาไท่หังจริงหรือ? ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย!” หนึ่งในศิษย์ได้เอ่ยขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่นี่คือหินที่ศิษย์พี่ใหญ่ในสำนักชั้นในต้องการ พวกเราแค่เก็บไว้ให้เขาก็พอ” เทียนจื่อกล่าวเสียงต่ำ “ศิษย์พี่ใหญ่บอกข้าว่าห้ามให้หินก้อนนี้ถูกทำลายเด็ดขาด ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรพิเศษข้างในนั้น แต่ข้าไม่ทราบว่ามันคืออะไร“