ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 19
ตอนที่ 19 ควบคุมพลัง
สำนักซวนเทียน หอภารกิจ
หลังจากเฉินต้าเจิ้งจัดการลงทะเบียนภารกิจเสร็จเรียบร้อย เขาได้ออกจากห้องโถงไปพร้อมกับดาบที่หลินเซวียนซ่อม
มันเป็นคำสั่งจากผู้อาวุโสของสำนักในการซ่อมแซมดาบขั้นมนุษย์ชิ้นนี้ หลังจากผ่านไปสามเดือนก็ยังไม่มีใครซ่อมได้ ตอนนี้หลินเซวียนทำสำเร็จ เขาจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก
เฉินต้าเจิ้งเดินคลอเพลงระหว่างทางไปหลังภูเขา ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาได้มาถึงยังลานกว้าง เมื่อมาถึงเฉินต้าเจิ้งได้โบกมือให้ชายสองคน
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ศิษย์น้องคือเฉินต้าเจิ้งจากหอภารกิจ ข้ามาเพื่อขอพบผู้อาวุโสเจียนฟ่าง”
นายประตูกล่าว “ผู้อาวุโสฟ่างไม่รับแขกวันนี้ หากมีธุระอันใดก็ฝากไว้ที่พวกเราก็ได้“
“นี่คือสมบัติของผู้อาวุโสฟ่าง มันได้รับการซ่อมแซมแล้ว ช่วยบอกว่าข้าเอามาให้” เฉินต้าเจิ้งผิดหวังเล็กน้อยเมื่อไม่ได้พบผู้อาวุโสฟ่าง
“ไม่ต้องห่วง ฝากไว้ที่ข้านี่แหละ” นายประตูกล่าว “รอประเดี๋ยว ยังมีอาวุธที่ต้องให้ซ่อมอีกชิ้น เอามันกลับไปติดประกาศด้วย”
“อีกชิ้น?” ดวงตาเฉินต้าเจิ้งเปล่งประกาย เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย หากสามารถซ่อมสมบัติของผู้อาวุโสฟ่างได้ถึงสองอย่าง เช่นนั้นเขาต้องเป็นที่โปรดปรานผู้อาวุโสฟ่างแน่นอน ถึงแม้มันจะเป็นฝีมือของหลินเซวียนก็ตาม
“ตกลง ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ข้าจะนำมันกลับไปติดประกาศทันที” เฉินต้างเจิ้งนำดาบอีกเล่มกลับไปอย่างมีความสุข
ขณะเดียวกันหลินเซวียนได้เดินทางกลับมายังสำนักซวนเทียนแลว
เซียนสุรายังทำสุราไม่เสร็จ ดังนั้นเขาจึงตรงไปยังหอภารกิจ
“ศิษย์น้องหลิน ทางนี้!”
ทันทีที่หลินเซวียนเข้ามาในห้องโถง เขาก็ได้ยินเสียงคนเรียกทันที เจ้าของเสียงผู้นั้นคือเฉินต้าเจิ้ง
“ศิษย์พี่เฉิน มีงานใหม่มาให้งั้นหรือ?” หลินเซวียนเอ่ยถามอย่างมีความสุข
“นี่ ศิษย์น้องหลิน มันคือดาบล้ำค่าอีกเล่ม และยังเป็นงานจากผู้อาวุโสใหญ่ ราคานั้นเหมือนครั้งก่อน ว่ายังไง? เจ้าจะรับงานนี้หรือไม่?”
หลินเซวียนไม่ได้ขาดแคลนหินวิญญาณตอนนี้ แต่ยังขาดแต้มสะสมอยู่ เมื่อได้ยินว่ามีงานใหม่ เขาจึงรีบรับอย่างไม่ลังเล
“ข้าจะรับไว้ ขอบคุณศิษย์พี่เฉินอย่างมาก” หลินเซวียนรับงานพร้อมมอบหินวิญญาณสามสิบก้อนให้เฉินต้าเจิ้ง
“ศิษย์น้องเป็นคนดีจริง ๆ !” เฉินต้าเจิ้งเผยรอยยิ้มกว้างจนเกือบถึงหู เขารีบเก็บหินวิญญาณก่อนจะกล่าว “เจ้ารับงานซ่อมทั้งหมด ส่วนข้าจะเก็บงานซ่อมจากทั้งสำนักให้เอง”
หลินเซวียนยิ้มก่อนจะกล่าวลาเฉินต้าเจิ้ง หลังจากนำดาบยาวกลับเข้ามาในกระท่อม มันใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามในการซ่อมแซมเท่านั้น เมื่อทำการซ่อมแซมเสร็จสิ้น หลินเซวียนได้เริ่มกำมือและเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลังต่อ
เมื่อโคจรวิชาคงกระพัน พลังวิญญาณในร่างของเขาไหลเวียนอย่างรวดเร็วไปตามเส้นทางที่กำหนด ทั้งร่างของหลินเซวียนถูกคลุมไปด้วยพลังงานสีน้ำเงินราวกับไฟที่ลุกโชน
หลังจากนั่งทำสมาธิบ่มเพาะพลังทั้งคืน หลินเซวียนไม่ได้รู้สึกถึงความเมื่อยล้าแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับรู้สึกสดชื่นและและเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา
ด้านนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณได้สาดส่องเข้ามา
เซียนสุรายังคงทำสุราวิญญาณอยู่ สุขภาพของเขาดูจะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิมแล้ว เขาหัวเราะพร้อมกล่าว “เสี่ยวเซวียน เจ้าทำได้ดีมากครั้งนี้ ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องเหล้าหมดไปอีกหลายเดือนเลย“
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาสอนวิชาดาบอัสนีให้เจ้าได้แล้ว ล้างหน้าล้างตาแล้วไปกันเถอะ!”
“ไปที่ไหน?” หลินเซวียนกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ในภูเขาไท่หัง ระยะเวลาการฝึกฝนขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้า” เซียนสุรากล่าว
“ตกลง” หลินเซวียนหยิบดาบที่ซ่อมเสร็จก่อนจะออกไปยังหอภารกิจเพื่อส่งงาน จากนั้นได้วิ่งปรี่ไปยังประตูสู่ภูเขาไท่หัง
หลินเซวียนวิ่งตรงเข้าไปยังป่าอยู่พักหนึ่ง เขาพบถ้ำที่สะอาดเหมาะสำหรับพักผ่อน จากนั้นจึงได้เตรียมตัวเพื่อเริ่มฝึกวิชา
วิชาดาบอัสนีนั้นไม่เพียงแต่จะรวดเร็ว มันยังรุนแรงอีกด้วย ในแง่ของความเร็วนั้น หลินเซวียนไม่มีปัญหามากนัก ปัญหาหลักของเขาคือการควบคุมพลัง
ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นในวรยุทธ์ทุกแขนง ความแข็งแกร่งของศิลปะการต่อสู้นั้นมีสองด้าน หนึ่งคือความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อจากร่างกาย และอีกอย่างคือความแข็งแกร่งที่เกิดจากพลังจิตวิญญาณในร่างกาย
มันจะดีอย่างมากหากผู้ฝึกฝนสามารถควบคุมได้สักครึ่งหนึ่งของร่างกาย แต่หลินเซวียนยังควบคุมได้ไม่เชี่ยวชาญพอ หากจะให้ดี วิชานี้ต้องควบคุมให้ได้อย่างน้อยเจ็ดในสิบส่วน
สิ่งที่หลินเซวียนต้องทำตอนนี้คือ ควบคุมพลังทุกส่วนของร่างกายให้ได้
“เสี่ยวเซวียน ข้าจะให้เนื้อหาการฝึกบทแรกเสียก่อน” เซียนสุรากล่าวขึ้น “อันดับแรกหาก้อนหินมา ข้าจะให้เจ้าสลักตัวอักษร”
“ตัวอักษร? ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกวิชาดาบ แล้วจะไปฝึกเขียนหนังสือเพื่ออะไร?” หลินเซวียนกล่าวอย่างสงสัย
“การควบคุมพลังกายของเจ้านั้นกระจอกดีแท้ เจ้าไม่สามารถใช้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพพอ บทแรกที่เจ้าควรจะทำคือควบคุมสมาธิและพลังวิญญาณให้มั่นคง” เซียนสุรากล่าว “ใช้นิ้วของเจ้าทั้งสิบแกะสลักตัวอักษร ข้าต้องการให้ความลึกของแต่ละคำเท่ากัน หากผิดแม้แต่น้อยให้เริ่มใหม่”
“วันนี้ข้าจะให้เจ้าสลักยี่สิบตัวอักษรก่อนถึงจะให้เข้านอน” เซียนสุรากล่าวอย่างจริงจัง
“ได้เลย!” หลินเซวียนหาก้อนหินที่พอเหมาะในการสลักอักษร นิ้วทั้งสิบของเขาได้เปล่งแสงสีน้ำเงินขึ้น เขาสงบอารมณ์ไว้ก่อนจะเริ่มขยับนิ้ว เมื่อพลังวิญญาณแตะเข้าที่ก้อนหิน มันเริ่มทิ้งรอยลึกไว้
แต่เดิมหลินเซวียนคิดว่ามันง่าย แต่เขาคิดผิด เมื่อนิ้วทั้งสิบได้เริ่มเขียนแต่ละอักษร ความลึกของแต่ละตัวก็แตกต่างกันออกไป
นิ้วมือข้างขวาของเขา เห็นได้ชัดว่าลึกกว่าข้างซ้าย อีกทั้งแต่ละนิ้วยังให้ความรู้สึกแตกต่างกันอีก ตอนนี้หลินเซวียนทราบแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องการใส่พลังทางจิตวิญญาณลงในนิ้วอย่างเท่าเทียมกันและค่อยปรับสมดุลของพลัง
หลินเซวียนใช้เวลาสลักอักษรภายในถ้ำนั้นอยู่นาน…
ณ สำนักซวนเทียน ด้านหลังของภูเขา
ในสวนที่เงียบสงบ ชายชราผมขาวได้เดินออกมาจากประตู
“ผู้อาวุโสฟ่าง นี่คือสมบัติขั้นมนุษย์ของท่าน มันถูกซ่อมแล้วขอรับ” ศิษย์ในชุดเขียวได้ยืนกล่องดาบไม้ให้
“งั้นหรือ? ซ่อมแล้ว?” ผู้อาวุโสฟ่างประหลาดใจเล็กน้อย เขาส่งมันไปโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
เขาเปิดกล่องไม้และนำดาบยาวออกมาโบกสะบัดอยู่กลางอากาศสองสามครั้ง ดาบตัดอากาศส่งเสียงอันไพเราะ
“เยี่ยม มันดูมีประสิทธิภาพกว่าเดิมอีก” ผู้อาวุโสฟ่างนำดาบมาไว้ตรงหน้าพร้อมมองอย่างถี่ถ้วน
“นี่มัน…” มือของผู้อาวุโสฟ่างสั่นขึ้นทันที “นี่มันเป็นทักษะของคฤหาสน์จอมดาบ!”
“ใครเป็นคนส่งมา?” ผู้อาวุโสฟ่างเอ่ยถามเสียงดัง
“เฉินต้าเจิ้งจากหอภารกิจขอรับ” ศิษย์ในชุดเขียวกล่าวตอบอย่างเคารพ
ฟิ้ว!
ผู้อาวุโสฟ่างไม่รอช้าที่จะออกไปทันที
หอภารกิจ
เฉินต้าเจิ้งกำลังก้มหน้าตรวจสอบภารกิจ ทันใดนั้นกระแสลมได้พัดเข้ามาจนหนังสือตรงหน้าเขาปลิวกระจาย
เขาสบถเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นและพยายามกดกระดาษในมือเพื่อไม่ให้มันปลิวไปด้วย แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาถึงกับตกใจจนแทบจะกระโดดหนี
ร่างนั้นมาปรากฏอย่างเงียบเชียบราวกับภูตผี
“ผู้ ผู้อาวุโสฟ่าง!” เฉินต้าเจิ้งเห็นใบหน้าชายผู้นั้นก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย ใครเป็นคนซ่อมแซมดาบของข้า?” ผู้อาวุโสฟ่างเอ่ยถามเสียงดัง
“ศิษย์ชั้นนอกที่มีนามว่าหลินเซวียน” เฉินต้าเจิ้งรีบตอบโดยพลัน
“แซ่หลิน…” ผู้อาวุโสฟ่างขยับปากเล็กน้อย
“พาข้าไปพบเขา”
“ขอรับ” เฉินต้าเจิ้งกล่าวอย่างนอบน้อม