ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 21
ตอนที่ 21 กฎสำนัก
มันเป็นเวลายามเช้าภายในป่าลึก แสงแดดรุ่งอรุณได้สาดส่องทะลุร่มเงาของต้นไม้
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนกำลังเดินอยู่ภายในป่าแห่งนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แต่ดวงตากลับเจิดจรัสราวกับดวงดาว
“เป็นเวลาเดือนหนึ่งแล้วสินะ ในที่สุดเราก็ทำได้!” ดวงตาชายหนุ่มแฝงไปด้วยความตื่นเต้น “มันถึงเวลากลับไปยังสำนักแล้ว“
ชายหนุ่มผู้นั้นคือหลินเซวียนที่สำเร็จจากการฝึกฝน หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนกับการฝึกอันแสนสาหัส ในที่สุดเขาก็สามารถบรรลุวิชาดาบอัสนีได้ กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของเขายามนี้ร้ายกาจกว่าเดือนก่อนมาก
หลินเซวียนไม่รอช้าที่จะกลับไปสำนักอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาได้มาถึงยังประตูหุบเขาของสำนักซวนเทียน
‘กลับไปอาบน้ำ ทำความสะอาด จากนั้นค่อยจัดมื้อใหญ่เสียหน่อย!’ หลินเซวียนแทบจะคลั่งตลอดหนึ่งเดือนนี้ สิ่งที่เขาหวังมากที่สุดคือกลับไปผ่อนคลายสักคืน
“หยุดอยู่ตรงนั้น! คนนอกที่ไม่ใช่ศิษย์สำนักซวนเทียนห้ามเข้า!” ศิษย์คนหนึ่งมองลงมาจากประตูหุบเขา
หลินเซวียนมองดูเสื้อของเขา แน่นอนว่าชายผู้นั้นเป็นศิษย์ของสำนักซวนเทียน เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเซวียนจึงถอดผ้าคาดเอวออกเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าเป็นศิษย์ชั้นนอกขอรับ ข้าแค่ออกไปฝึกฝนด้านนอกมาเท่านั้น“
เมื่อเห็นหลินเซวียนแสดงตัวตน เขาจึงปล่อยให้เข้ามา แต่สายตาของชายเฝ้าประตูนั้นกลับมองมาอย่างแปลกประหลาด เขาเฝ้ายามอยู่ที่นี่อยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่เคยเห็นใครออกไปฝึกเช่นนี้มาก่อน
ตลอดทาง หลินเซวียนได้เดินผ่านสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอยู่หลายคู่ ใบหน้าของเขาเกิดอาการแดงเล็กน้อย แต่ด้วยดินโคลนที่ปิดอยู่ มันจึงเห็นอาการไม่ชัดเจนนัก
แต่เมื่อกลับมาถึงยังที่พัก เขาพบว่าบรรยากาศที่นี่ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก
มันดูเหมือนจะมีศิษย์ของพรรคปราณเทวะอยู่รอบด้านมากมมาย อีกทั้งยังมีคนอยู่ในกระท่อมของเขา
หลินเซวียนยังไม่ทราบว่าตนถูกจับได้แล้ว แต่เมื่อมองดูจากรอบด้าน เขาก็พอจะเดาได้ ‘ตอนนี้เราคงหนีไม่ได้แล้ว ทำใจดีสู้เสื้อไปก่อนจะดีกว่า ไม่ว่ายังไง อีกมุมหนึ่งก็ไม่มีใครเห็นกับตาตัวเอง’
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปในนั้น!” หลินเซวียนสูดหายใจลึกพร้อมตะโกนออกไป
“บัดซบ แกเป็นใคร! กล้าดียังไงมายุ่งเรื่องพรรคปราณเทวะ?” เมื่อได้ยิน ศิษย์คนที่อยู่ในห้องจึงเอ่ยกลับออกมา “เป็นพวกโจรหรือไง!”
หลินเซวียนขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกับพรรคปราณเทวะ? นี่คือบ้านของข้า! ข้าจะให้เวลาเจ้าสามนาที ออกไปจากที่นี่ซะ!” เขาทราบว่าความขัดแย้งระหว่างตนกับพรรคปราณเทวะคงไม่มีวันหมดสิ้น และเขาเองก็ไม่ได้เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป
เมื่อศิษย์ชั้นนอกรอบด้านได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย พวกเขาจึงมาล้อมดูกัน
“ใครกล้ามาหาเรื่องพรรคปราณเทวะอีกแล้ว? เรื่องก่อนยังจัดการกันไม่เสร็จเลยไม่ใช่หรือ!?”
“ไม่นะ เขาเพิ่งบอกว่านี่คือบ้านของเขา นั่นคือหลินเซวียน!”
“หลินเซวียน!” สายตาทุกคู่เปิดกว้างเมื่อได้ยินชายในข่าวลือ
“เจ้าคือหลินเซวียนงั้นหรือ? ไอ้ระยำ ข้ารอเจ้ามาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ในที่สุดก็พบเสียที!” บรรดาศิษย์พรรคปราณเทวะรออยู่บริเวณบ้านของหลินเซวียนมานานถึงหนึ่งเดือน มันทำให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก ตอนนี้ในที่สุดก็พบคนที่ตามหาแล้ว
ฟู้ม! ฟู้ม!
ศิษย์สี่คนขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ได้วิ่งเข้ามาล้อมหลินเซวียนทันที ขณะเดียวกันร่างของคนทั้งสี่ได้ระเบิดปราณพลังออกมาอย่างน่าสะพรึง
“ใครกล้าก็เข้ามา!” หลินเซวียนคำรามเสียงดัง น้ำเสียงของเขาช่างทรงพลังและดุดันราวกับเสียงฟ้าร้อง
ศิษย์ทั้งสี่ถึงกับเสียสูญไปชั่วขณะ พวกเขามองหลินเซวียนที่ยืนอย่างองอาจพร้อมเส้นผมสีดำที่ปลิวไสว มันเหมือนมีพลังอันน่าสะพรึงอยู่รอบตัวเขา
“ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วยังจะดิ้นรนอีก คนของพรรคข้ากำลังจะมาถึง หากเจ้ากล้าขัดขืนพวกเรา เจ้าตายแน่!” ศิษย์ของพรรคปราณเทวะมักจะกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นประจำจนได้ใจ ตอนนี้หลินเซวียนกลับท้าทายพวกเขา มันจึงทำให้พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก
จากนั้นไม่นาน ศิษย์พรรคปราณเทวะได้วิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น? รีบจับตัวไว้!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นดังอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นผู้คนเข้ามาล้อมรอบอยู่มากมาย หลินเซวียนจึงทำได้เพียงนำเศษกระดาษยันต์หนึ่งออกมาชูขึ้นฟ้า
“ยันต์อาคม ถอย!” ใครบางคนเห็นหลินเซวียนนำกระดาษออกมา เขาได้อุทานขึ้นอย่างตกใจ เป็นผลให้กลุ่มคนรอบด้านถอยออกไปสิบก้าวและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ยันต์อาคมเตี่ยเจ้านะสิ!!” เมื่อพวกเขาสังเกตว่ากระดาษในมือหลินเซวียนไม่ใช่ยันต์อาคม ศิษย์พรรคปราณเทวะถึงกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“ฮึ!” หลินเซวียนเอ่ยเย้ยเยาะขึ้น “ถึงแม้มันจะไม่ใช่ยันต์อาคม มันก็น่ากลัวกว่าละกัน!”
“มันคืออะไร? ยันต์อาคมขั้นกลาง? ยันต์คมขั้นสูง?” ทุกคนตกอยู่ในอาการสงสัย
‘ไอ้พวกโง่เอ้ย!’ หลินเซวียนสบถในใจก่อนจะเอ่ยออกมา “นี่คือกฎของสำนัก!”
“สมองของเจ้าลูกลาเตะไปแล้วหรือ? เอามาทำอะไรตอนนี้?” หลินเซวียนมองไปยังกระดาษในมือก่อนจะกล่าว “กฎข้อที่แปดของสำนัก ผู้ที่มีเรื่องในสำนักโดยไม่มีเหตุผล จะโดนโบยด้วยแส้วิญญาณสามสิบครั้งหรือถูกขับไล่ออกจากสำนัก!”
การโบยด้วยแส้วิญญาณนั้นไม่ใช่การโบยธรรมดา มันจะถูกโบยกลุ่มผู้คุ้มกฎของสำนัก คนที่ลงโทษนั้นจะอยู่เหนือกว่าขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ อีกทั้งยังใช้แส้วิญญาณในการโบย หากถูกโบยถึงสามสิบครั้ง แม้จะไม่ตาย พวกเขาก็พิการไปชั่วชีวิตได้
เมื่อได้ยินหลินเซวียนเอ่ยกฎของสำนัก บรรดาศิษย์พรรคปราณเทวะจึงเกิดอาการลังเลขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะเย่อหยิ่งเพียงใด พวกเขาก็ยังเกรงกลัวกฎเหล็กเหล่านี้อยู่
หลังจากผ่านบรรยากาศอันน่าอึดอัดไปชั่วครู่ พวกเขาก็ยอมถอยออกมาและยืนล้อมหลินเซวียนห่าง ๆ เพื่อไม่ให้เขาหนีเท่านั้น
เมื่อหลินเซวียนเห็นคนเหล่านี้เกิดลังเลก็รู้สึกโล่งใจ เขาแหวกกลุ่มคนเดินเข้าไปยังกระท่อมของตน จากนั้นได้นั่งลงบนเก้าอี้และยกดื่มน้ำอย่างช้า ๆ
เขากำลังรอให้หัวหน้ากลุ่มปราณเทวะเข้ามา เวลานี้เขาไม่มีคนสนับสนุน สิ่งเดียวที่ทำได้คือขู่พวกเขาด้วยกฎของสำนัก
ผ่านไปไม่นาน หยานกงได้เดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องจำนวนหนึ่ง หลังจากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เข้ามองไปยังหลินเซวียนอย่างเย็นเยือก
หลินเซวียนทราบทันทีว่าชายผู้นี้เป็นหัวหน้า เขารีบทำเป็นระมัดระวังทันที
“เจ้าคือหลินเซวียนงั้นหรือ?” ดวงตาของหยานกงเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง
“ถูกต้อง!” หลินเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“มีคนบอกว่าเจ้าคุ้นเคยกับกฎของสำนัก เจ้าทราบหรือไม่ว่าการสังหารเพื่อนร่วมสำนักนั้นจะพบจุดจบเช่นไร?” หยานกงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้ากล่าว” หลินเซวียนยังคงแสดงท่าทีสงบ “มันจะดีกว่าหากพาคนของเจ้าออกไปโดยเร็ว!”
“ข้ามีคนอยากจะแนะนำให้เจ้า นี่คือหัวหน้าฮัวแห่งกลุ่มผู้คุมกฎสำนักชั้นนอก” ปากหยานกงแสยะยิ้มเล็กน้อย
หลินเซวียนเหลือไปเห็นคนในชุดดำหลายคนรอบ ๆ หยานกง คนเหล่านี้มีตราดาบไขว้สีทองอยู่ตรงหน้าอก ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นของกลุ่มผู้คุ้มกฎสำนักชั้นนอก
ชายหนุ่มนามหัวหน้าฮัวเดินไปหาหลินเซวียนพร้อมกล่าว “หลินเซวียน พวกเราสงสัยว่าเจ้าสังหารเพื่อนร่วมสำนัก มากับพวกเราด้วย!”
“มีหลักฐานอะไร? ใครเห็นงั้นหรือ?” หลินเซวียนไม่คาดคิดว่ากลุ่มผู้คุ้มกฎจะมากับพรรคปราณเทวะด้วย
“ไม่จำเป็นต้องกังวล ก็แค่พาไปตรวจสอบเท่านั้น หากเจ้าไม่ได้สังหารพวกเขา พวกเราก็จะปล่อยเจ้าไป” หัวหน้าฮัวกล่าวอย่างเที่ยงธรรม
“มานี้ จับตัวเขาไว้!” ทันใดนั้นหัวหน้าฮัวเปลี่ยเป็นน้ำเสียงเย็นเยือก
“ช้าก่อน มันไม่มีหลักฐานแล้วยังกล้าจับคนได้ยังไง!?” ขณะที่พวกเขาจะเข้าไปจับหลินเซวียน เสียงอันไพเราะของสตรีได้ดังขึ้น
จากนั้นร่างของหญิงผู้หนึ่งได้ลอยเข้ามา
“ถังอวี้” หัวหน้าฮัวขมวดคิ้ว เขามองไปที่หยานกงและเห็นพรรคปราณเทวะที่กำลังขมวดคิ้วเช่นกัน
“ศิษย์น้องหญิงถังอวี้ เขาคือคนที่สังหารศิษย์ร่วมสำนัก อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่” หยานกงกล่าว เขาไม่ได้กลัวถังอวี้ แต่พี่ชายของถังอวี้นั้นเป็นหนึ่งในสิบอันดับยอดฝีมือศิษย์ชั้นใน สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้เขากลัว
“ฮึ! ห้ามจับใครโดยไม่มีหลักฐาน!” ถังอวี้หาได้สนใจคำของหยานกงไม่ นางเดินไปข้างหลินเซวียนพร้อมกล่าวอย่างไม่พอใจ