ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 การโจมตียามวิกาล
“มือข้า!” เฉินเฟิงร้องอย่างโหยหวนราวกับไก่ถูกเชือด
“เป็นไปได้ยังไง?” จางปิ่นและคนอื่น ๆ ยืนตะลึงงึงงัน เพราะเมื่อครู่ วิชาดาบของหลินเซวียนดูแปลกประหลาดอย่างมาก ‘พลังวิญญาณที่เขาปล่อยออกมาไม่ใช่ของขั้นกลั่นพลังกายระดับสาม’
“เขาปกปิดพลังมาตลอดเลยงั้นหรือ?” จางปิ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “หรืออาจจะเป็นเพราะหลินจือเพลิงช่วยให้มันทะลวงจุดชีพจรได้ โลหิตของมัน… ข้าจะลงมือเอง!”
“พวกเจ้าทั้งสองรีบพาเขาเข้าไปรักษาในสำนักก่อน!” จางปิ่นกล่าว
ทั้งสองคนรวมถึงเฉินเฟิงได้เดินเข้าไปยังสำนัก จางปิ่นเคลื่อนสายตาไปยังอีกทางหนึ่งก่อนจะพุ่งหายไป
……
หลินเซวียนวิ่งมาตลอดทางจนกลับมาถึงกระท่อม เขาปิดประตูและพยายามทำใจให้สงบ
กล่าวตามตรง อานุภาพของวิชาดาบเมื่อครู่ เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะร้ายกาจเช่นนั้น กระบวนท่าดาบที่หลินเซวียนใช้ บิดาของเขาเป็นผู้ถ่ายทอดให้ เขาได้หมั่นฝึกฝนมันทุกวันอย่างพากเพียร
แม้กระบวนท่าฟันอาจดูธรรมดา แต่พลังทำลายล้างกลับมหาศาล และมันก็เป็นแค่วิชาเดียวที่เขามี ยิ่งกว่านั้นมันยังใช้พลังวิญญาณมากถึงหนึ่งในสามส่วน
เมื่อนึกถึงพลังวิญญาณ หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขาอดทนกัดฟันเยี่ยงคนพิการมานาน ในที่สุดก็ถึงสามารถที่ฝึกฝนวิชาดาบได้ดังปรารถนา
แน่นอนว่าเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงจี้ดาบในร่างกายด้วย เป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เขาสามารถเปิดจุดชีพจรทะลวงวิญญาณได้
‘วัสดุของจี้ดาบนี้ไม่ได้ทำมาจากทองหรือหิน แม้แต่เราก็ไม่ทราบว่ามันเป็นวัสดุจากอะไร’ เวลานี้มันยังคงดูดซับพลังวิญญาณอยู่อย่างแผ่วเบา หลินเซวียนพยายามจะสื่อสารกับมันแต่ก็ไม่เป็นผล
เมื่อเห็นมันไม่ตอบสนอง หลินเซวียนจึงไม่คิดจะรบกวนอีก เขาหันกลับไป และคิดที่จะใช้พลังที่เหลือของหลินจือเพลิงเพื่อบ่มเพาะพลังต่อ
หลินเซวียนนั้นเคยเป็นคนของคฤหาสน์จอมดาบ เนื่องจากเป็นเศษขยะของบ้านมาก่อนในอดีต เป็นผลให้เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับคัมภีร์ยุทธ์หรือวิชาล้ำลึกใด ๆ แต่ก็ยังได้รับสืบทอดวิธีบ่มเพาะพลังชั้นสูงจากบิดาอยู่
หลินเซวียนลองบีบมือทั้งสองข้างตามวิธีของบิดาเขา แต่ทันทีที่มันเริ่มโคจร จี้ดาบในตัวได้สั่นจนพลังวิญญาณกระจายออกไป
“ฮืม?” หลินเซวียนชะงัก และลองบีบมืออีกครั้งเพื่อโคจรพลัง แต่เหตุการณ์ก็ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ จี้ดาบยังสั่นไหวราวกับจงใจไม่ให้เขาบ่มเพาะพลัง
“ดาบเล็กจ้อยนี้มีความนึกคิดงั้นหรือ?” หลินเซวียนไม่อาจคิดได้ เพราะมันมีหลายสาเหตุเกินไปที่สามารถขัดขวางเขาบ่มเพาะพลัง
“หากเจ้าไม่ให้ข้าบ่มเพาะพลังตามวิธีของตระกูล เช่นนั้นเจ้ามีวิธีที่ดีกว่าหรือไม่?” หลินเซวียนบ่มพึมพำ
จี้ดาบเหมือนจะเข้าใจหลินเซวียน ตัวของมันเปล่งแสงสีทองก่อนจะกระจายออกเป็นเศษเสี้ยว แสงสีทองที่กระจายออกนั้นเริ่มผสานกันเป็นตัวอักษรเข้าไปยังความคิดของเขา
“เคล็ดวิชาคงกระพัน?”
จี้ดาบกำลังมอบวิชาบ่มเพาะพลังให้! หลินเซวียนสับสนเล็กน้อย เขาอ่านเคล็ดวิชาคงกระพันนี้อย่างรวดเร็ว ชื่อของมันดูมีประสิทธิภาพอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นตามที่บรรยายไว้ ทักษะนี้นับว่าเหนือกว่าทักษะของตระกูลเขาอีก
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนมันจะมีทักษะอย่างอื่นอีก แต่มันยังไม่คิดจะมอบให้เขา ‘เพียงแค่เคล็ดวิชาคงกระพันก็เหลือเฟือแล้วยามนี้’ หลินเซวียนตัดสินใจขยับมือทั้งสองข้างอย่างแปลกประหลาดตามที่บรรยายไว้ จากนั้นค่อย ๆ ปิดตาลงพร้อมกับโคจรพลังวิญญาณทั่วร่าง
ทันใดนั้น พลังวิญญาณสีทองเริ่มวิ่งผ่านเส้นเลือดของเขาทันที ทุกจุดที่ผ่านมันจะขยายใหญ่ขึ้น เมื่อมันผ่านเส้นเลือดและตันเถียนของเขาแล้ว พลังงานเหล่านั้นยังส่งต่อไปยังร่างกายของหลินเซวียนอีก
หลินเซวียนโคจรพลังอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณที่เขาได้รับนั้นยิ่งมากขึ้นทุกที ขณะเดียวกัน พลังฟื้นฟูของหลินจือที่ซ่อนอยู่ร่างก็เริ่มทำงานด้วยตัวมันเอง
เมื่อมันหลอมรวมกันได้ระดับหนึ่ง พลังวิญญาณในร่างของหลินเซวียนได้ผสานกันก่อนจะพุ่งทะลวงจุดชีพจรที่สอง!
ตู้ม!
ขั้นเปิดชีพจรระดับสอง! มันราวกับสายน้ำกรรโชกที่ทะลวงเขื่อนกั้น พลังวิญญาณที่ไม่สิ้นสุดได้เข้าชำระล้างทุกจุดในร่างของหลินเซวียนทันที
“ไม่คาดคิดเลยว่าเราจะบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับสองเพียงแค่ครึ่งวัน ตอนนี้เราก็เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสองแล้วสินะ” ร่างของหลินเซวียนส่องแสงเรืองรองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะดับลง
“ด้วยความสามารถระดับนี้ เราคงสามารถผ่านการทดสอบชั้นนอกได้ แต่การทดสอบชั้นในนั้นยังเกินกำลังของเรา มันมีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้นที่จะสามารถผ่านได้ อีกทั้งยังไม่ทราบกระบวนการทดสอบด้วย“
หลินเซวียนถอนหายใจพร้อมเริ่มบ่มเพาะพลังคงกระพันต่อ เขามีเวลาเหลือไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่ต้องการจะเสียเวลาแม้แต่เสี้ยวลมหายใจ
เมื่อเข้าสู่ยามราตรี ท้องนภานั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ดวงจันทร์ถูกอับแสงจากมวลหมู่เมฆ แม้แต่แสงดารายังเลือนดับราวกับวันสิ้นโลก
สายลมระหว่างฟ้าดินนั้นกรรโชกอย่างมาก เสียงต้นไม้หอนโต้ลมอยู่ด้านนอกพร้อมเสียงประตูไม้ที่ดังเอี๊ยดอ๊าด
หลินเซวียนลืมตาและเริ่มพ่นไอพลังออกมาอย่างช้า ๆ เขายืนขึ้นพลางหันมองไปยังกลุ่มเมฆทมิฬด้านนอก เมื่อเห็นว่าพายุกำลังจะมา เขาจึงรีบวิ่งไปปิดประตูไม้ทันที
เวลานี้หลินเซวียนยังคงเป็นขี้ข้าดาบที่อาศัยอยู่ภายในป่า พื้นที่บริเวณจึงไร้ซึ่งผู้คน
ตู้ม!
ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าได้ดังขึ้นจากด้านนอก มันสั่นสะเทือนทุกอย่างในรัศมีอย่างรุนแรง หลินเซวียนมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมถอนหายใจ “สิ่งที่ดูลึกลับและเป็นพลังอันมหาศาลของโลกนี้ เมื่อไหร่เราจะถึงจุดที่สามารถเคลื่อนภูผาเดินฝ่านทีได้ด้วยตนเองบ้างนะ?”
ทันใดนั้นได้มีแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้งก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น แต่ครั้งนี้หัวใจของหลินเซวียนรู้สึกไม่ปกติพร้อมก้มหลบอย่างรวดเร็ว
ซู่!
ลูกธนูได้เฉียดผ่านศรีษะของเขาเล็กน้อยก่อนจะปักไปยังกำแพงไม้ด้านหลัง
หากไม่บรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับสอง สัมผัสการได้ยินและมองเห็นคงไม่เฉียบคมเท่าตอนนี้ ลูกธนูเมื่อครู่เกือบจะเอาชีวิตเขาไปแล้ว!
หลินเซวียนซ่อนตัวภายใต้ขอบหน้าต่าง เขาพอจะเดาได้ว่าเป็นฝีมือของจางปิ่น
มันเป็นกฎของการดำรงอยู่ในโลกใบนี้ ผู้ที่อ่อนแอมักจะถูกกลืนกินโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่า หลินเซวียนเองก็มีประสบการณ์มาไม่น้อย ตอนนี้เขารออย่างเงียบ ๆ ภายในห้อง ศัตรูเองก็คงจะวิตกกังวลพอกันเมื่อรวมกับสภาพอากาศตอนนี้
สำนักนภาสวรรค์นั้นมีกฎเหล็กอยู่ พวกเขาอนุญาตให้ศิษย์สู้กันเองได้ แต่ห้ามฆ่ากันเด็ดขาด แม้จะเป็นขี้ข้าดาบก็ตาม แต่หากเหตุการณ์มันเกิดขึ้ยในป่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในช่วงวันธรรมดานั้นไม่มีใครคิดจะทำการสังหารเพราะมันเสี่ยงเกินไป แต่วันเป็นวันที่พายุฝนรุนแรง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะใช้ฆ่าใครสักคน
หลินเซวียนจับดาบมั่นพร้อมตั้งสมาธิอย่างสูง เพียงไม่นานประตูไม้ได้ถูกพังออกก่อนที่เงาคนจะพุ่งเข้ามา
หลินเซวียนใช้โอกาสที่พวกเขาไม่ได้ตั้งตัวแทงดาบออกไป ชายผู้นั้นไม่คาดคิดว่าจะมีดาบแทงมาจึงได้รีบยกดาบปัดป้องทันที
ปั้ง!
โลหะทั้งสองตัดกันจนเกิดประกายไฟ พลังวิญญาณของชายผู้นั้นล้ำลึกกว่าหลินเซวียน แต่แม้ดาบของหลินเซวียนจะเบี่ยงเบนไปอีกด้าน แต่ชายคนนั้นก็ยังคงได้แผล
เงาคนผู้นั้นรีบถอยหลังออกไปทันที เขาไม่รอช้าที่โคจรพลังวิญญาณห่อหุ้มบาดแผล
“จางปิ่น ข้าทราบว่าเป็นเจ้า อย่าซ่อนตัวอีก!” หลินเซวียนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยือก
“ฮึ่ม เมื่อทราบว่าเป็นข้าก็จงตามออกมาอย่างเชื่อฟังจะดีกว่า!” จางปิ่นกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าถูกข้าแทงไปแล้วยังมีหน้าจะพูดอะไรอีก!!” หลินเซวียนเตรียมพร้อม
“ถูกแทงงั้นหรือ? ข้าแค่ประมาทเพราะเจ้าแอบซ่อนตัวอยู่เท่านั้น ข้าทราบว่าเจ้าคิดจะทำอะไรอยู่!”
จางปิ่นกล่าวเยาะเย้ยพร้อมดาบในมือที่กำลังเหวี่ยงเข้ามา