ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 45
ตอนที่ 45 เริ่มการทดสอบสำนักชั้นใน!
หลินเซวียนเคยได้ยินว่าหลากหลายคุณสมบัติ แต่ไม่เคยได้ยินว่าอะไรแบบนี้มาก่อน
“มันมีข้อดีของคุณสมบัติที่เรีกยว่าไร้แก่นสารนี้ มันสามารถพัฒนาเป็นพลังวิญญาณคุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่งได้ และยังสามารถเข้ากันได้อย่างดี เซียนสุรากล่าว
“หากเจ้ามีคุณสมบัติสายฟ้า เช่นนั้นวิชาดาบของเจ้าก็สามารถบรรลุไปถึงขั้นสมบูรณ์ได้ไม่ยาก”
“จริงหรือ?” หลินเซวียนประหลาดใจ “หากวิชาดาบอัสนีไปถึงขั้นสมบูรณ์ มันจะทรงพลังแค่ไหนกันนะ?”
“เจ้าเพียงแค่ต้องดูดซับแหล่งพลังงานไฟฟ้า หรือฝึกฝนคุณสมบัติธาตุนี้ เจ้าก็จะบรรลุไปถึงขั้นสมบูรณ์ได้แน่นอน” เซียนสุรากล่าว
“หลังจากจบการทดสอบเข้าสำนักชั้นใน เช่นนั้นจงไปหาพลังงานสายฟ้าหรือทักษะที่เกี่ยวกับมันมา!” หลินเซวียนทำการตัดสิน
เวลาสามวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้คือวันแห่งการทดสอบเข้าสำนักชั้นใน
ศิษย์ชั้นนอกหลายหมื่นคนได้ออกเดินทางไปยังจุดทดสอบ หลินเซวียนเองก็เดินไปกับศิษย์เพื่อนบ้าน
วันนี้เป็นวันที่ปลอดโปล่งของสำนักชั้นนอก
บนลานประลองสี่เหลี่ยม มีศิษย์จำนวนมากยืนอยู่ คนพวกนี้ล้วนเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าไม่ทราบจะมีคนผ่านรอบแรกไปได้กี่คน?” เสียงใครบางคนดังขึ้น
“ข้าเองก็หวังว่าข้าจะผ่านไปได้ด้วยดี…”
“ดูทางนั้น! นั่นเจีนงอู่หลง!” บรรดาศิษย์ชั้นนอกต่างพากันอุทานขึ้นดัง “เขาคือหนึ่งในสี่ยอดคน!”
ท่ามกลางฝูงชน เจียงอู่หลงกำลังยืนอยู่ในกลุ่มของพรรคปราณเทวะชุดขาว
“ต้วนเฟ่ยเองก็อยู่ในลานนี้ด้วย!” เสียงอีกเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น “สี่ยอดคนของสำนักชั้นนอกทั้งหมดจะมารวมกันวันนี้ ถึงแม้จะทดสอบไม่ผ่าน มันก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้ดูแล้ว!”
ขณะเดียกัน ต้วนเฟ่ยที่ยืนอยู่กำลังเผยรอยยิ้มบนใบหน้าและล้อมรอบไปด้วยศิษย์หญิงมากมาย แต่ละคนนั้นกล่าวได้ว่างดงามอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของบรรดาศิษย์ชายหลายคนลุกเป็นไฟ
ต้วนเฟ่ยทักทายศิษย์หญิงเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองเจียงอู่หลงอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันเจียงอู่หลงได้หันไปมองต้วนเฟ่ยเช่นกัน สายตาของพวกเขาปะทะกันกลางอากาศ
ทั้งสองนั้นอยู่คนละพรรคกัน อีกทั้งเจียงอู่หลงก็ไม่ชอบใบหน้าขาวหยกเหมือนสตรีแบบต้วนเฟ่ย และต้วนเฟ่ยเองก็ไม่ชอบชายหนุ่มที่เย็นชาและไร้มนุษย์สัมพันธ์แบบเจียงอู่หลง
“ฮึ! เมื่อเจ้าแพ้ ข้าสงสัยนักว่าจะยังมีสตรีมารายล้อมแบบนี้อยู่หรือเปล่า!”
“นั่นเทพธิดาเฉินเซี่ยเอ๋อ!”
ในระยะห่างออกไป สตรีชุดเขียวผู้หนึ่งกำลังเดินมาอย่างช้า ๆ อารมณ์ ใบหน้า และการเดินของนางนั้นราวกับได้แยกตัวออกไปจากโลกนี้แล้ว ต้วนเฟ่ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่เจียงอู่หลงได้มองมาอย่างแปลกประหลาด
เฉินเซี่ยเอ๋อทักทายทั้งสองคน จากนั้นได้ไปยืนอยู่กับกลุ่มของสตรีชุดเขียว
เวลานี้ กลุ่มศิษย์หนุ่มจากฝั่งทิศใต้เองก็เดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น
หลินเซวียนสวมชุดสีดำและสะพายดาบเพลิงโลหิตไว้ด้านหลัง ใบหน้าของเขายิ้มแย้มขณะมองผู้คนที่มีจิตวิญญาณรอบด้าน
“น้องเซวียน เจ้าต้องไปให้ถึงรอบที่สามให้ได้ พวกเราจะรอให้กำลังใจอยู่ด้านล่าง!” ติงเซียวป้างกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เซียวป้างพูดถูกแล้ว น้องเซวียนต้องไปให้ถึงรอบที่สาม หากสำเร็จ น้องเซวียนจะสามารถเข้าไปยังสำนักชั้นในได้!” กลุ่มศิษย์หนุ่มเหล่านี้พูดคุยกันอย่างรื่นเริงขณะเดินเข้าไป
“โอ้! สาวสวยเต็มไปหมด!” ติงเซียวป้างอ้าปากค้างพร้อมทำตาโต
“ข้าหวังว่าจะได้แต่งงานกับใครสักคน!” ติงเซียวป้างบ่นพึมพำ
คนหนุ่มเหล่านี้ถึงแม้จะอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ได้เผยใบหน้าเย้ยหยันเมื่อได้ยินคำของติงเซียวป้าง
“เซียวป้าง เจ้าคงทำได้แค่ฝันเท่านั้นแหละ กลับไปนอนได้แล้วเจ้าหนู!” ฮัวเซียวโจวผู้ที่อยู่กระท่อมฝั่งขวาของหลินเซวียนกล่าว
ติงเซียวป้างมักจะพกตุ๊กตาผ้าฝ้ายตัวหนึ่งเสมอและนอนกับมันทุกวัน ศิษย์เเหล่านี้จึงมักจะหยอกล้อเขาประจำ
“ฮึ่ม อย่าเพิ่งลำพองไป เมื่อน้องเซวียนเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในได้ เขาจะต้องแนะนำข้าให้สาว ๆ พวกนี้แน่นอน!” ติงเซียวป้างเองก็ไม่ยอมแพ้
หลินเซวียนยิ้ม “ไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะหานางฟ้ามาเป็นภรรยาของเจ้าให้เอง!”
กลุ่มคนหนุ่มเดินขึ้นไปยังลานสี่เหลี่ยมพร้อมเสียงหัวเราะ ขณะเดียวกันได้มีเสียงเย้ยหยันดังขึ้น
“เฮอะ! กลุ่มบ้านนอกแบบนั้นอยากจะเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นใน ไม่เจียมตัวเอาซะเลย!”
“ข้าว่าพวกมันคงทำได้แค่ฝัน แค่รอบแรกจะผ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้!”
……
หลินเซวียนและพรรคพวกเดินขึ้นไปบนลานกว้างสี่เหลี่ยมก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
ลานสี่เหลี่ยมนี้กว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันราวกับราชวังอันงดงามที่ล้อมรอบไปด้วยแสงสุริยัน
ตอนนี้หลินเซวียนได้เห็นเจียงอู่หลงและต้วนเฟ่ย ต้วนเฟ่ยนั้นไม่ได้สนใจเขาอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เจียงอู่หลงได้เผยรอยยิ้มชั่วร้ายกลับมา
หลินเซวียนไม่สนใจใครทั้งสิ้น เพราะความแค้นและเรื่องบาดหมางทั้งหมดจะถูกสะสางในลานประลองแห่งนี้ เขาจึงค่อย ๆ หลับตาลงและโคจรพลัง
แต่เพียงไม่นาน เขาก็ถูกเขย่าจากคนด้านข้าง
“นั่นหลิวหยุน! หลิวหยุน!”
ติงเซี่ยวป้างดึงแขนหลินเซวียนอย่างตื่นเต้นราวกับเด็กแรกเกิด สหายรอบด้านเขาเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน ดวงตาพวกเขาเปิดกว้างโดยไม่กะพริบ
“เขาคือหนึ่งในสี่ยอดคน อีกทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งของเทียบอันดับสำนักชั้นนอก! ลือกันว่าความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าศิษย์ชั้นในบางคนด้วยซ้ำ เจียงอู่หลง ต้วนเฟ่ย และคนอื่น ๆ ต่างถูกเขาสยบกันหมด!”
หลินเซวียนรู้สึกประหลาดในใจ เขาหันไปมองชายคนนั้นที่กำลังเดินขึ้นมาบนลานสี่เหลี่ยม
ชายหนุ่มคนนั้นเดินมาพร้อมท่าทีไม่แยแส เขาแตกต่างจากอัจฉริยะคนอื่น เพราะรอบกายเขาไม่มีลูกสมุนตามหลัง ไม่มีความงดงามจากผีเสื้อหรือสตรีใด กล่าวคือเขาอยู่ตัวคนเดียว
อีกทั้งแรงกดดันของเขายังน่าสะพรึงจนผู้คนไม่กล้าสบตา!
ทันทีที่เขาขึ้นมาบนลานสี่เหลี่ยม เสียงทั้งหมดก็ได้หายไป แม้แต่ต้วนเฟ่ยที่ยิ้มอยู่ยังเปลี่ยนเป็นใบหน้าเย็นเยือก เจียงอู่หลงที่ยืนถือดาบอยู่เองก็เผยรังสีอาฆาตออกมาเช่นกัน
เขายืนอย่างสง่าอยู่กลางลานสี่เหลี่ยม ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้แม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาไม่อาจทนแรงกดดันอันมหาศาลจากชายผู้นี้ได้ ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นราชา ผู้คนทั้งหมดต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา
หลังจากผ่านไปนาน ผู้คนก็เริ่มสนทนากันปกติ บรรยากาศโดยรอบก็กลับมาเหมือนก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ได้มีเมฆก้อนหนึ่งลอยมาพร้อมลมกรรโชกที่รุนแรง มันพัดเสื้อของบรรดาศิษย์ด้านล่างจนยืนกันไม่มั่นคง ผู้คนเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดผวาและเห็นว่ามีคนอยู่บนเมฆก้อนนั้น
คนบนนั้นเป็นชายวัยกลางคนผ้าคลุมสีม่วง!
เขายืนอยู่บนก้อนเมฆที่เบาบางและจ้องมองลงมาราวกับเทพสวรรค์
ม่านตาหลินเซวียนตีบลงทันที เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลมาจากชายวัยกลางคนผู้นั้น มันมหาศาลจนแทบจะหายใจไม่ออก
ชายวัยกลางคนสะบัดมือ
จากนั้นไม่นาน พื้นดินที่พวกเขายืนอยู่เริ่มสั่นอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินไหว และตามมาด้วยเสียงตู้ม
เมื่อพื้นดินกลับมาปกติ พวกเขาพบว่ามีภูเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านข้างลานสี่เหลี่ยม
“ภูเขานี้มีชื่อเขาเมฆาอัสนี มันมีบันไดทั้งหมดเก้าสิบเก้าขั้น หากสามารถข้ามภูเขาลูกนี้ได้ พวกเจ้าจะผ่านการทดสอบแรก” ชายผ้าคลุมม่วงกล่าวเสียงดัง
“ตอนนี้ การทดสอบที่หนึ่งเริ่มได้!”