ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 46
ตอนที่ 46 ขึ้นบันได
หลังจากสิ้นคำสั่งของชายวัยกลางคน ผู้คนทั้งลานสี่เหลี่ยมได้เดือดผล่านกันอีกครั้ง
ศิษย์จำนวนมากโคจรพลังของตัวเองวิ่งไปยังภูเขาเมฆาอัสนีทันทีเนื่องจากกลัวว่าจะไปไม่ทันผู้อื่น
ฟุบ! ฟุบ!
ศิษย์กลุ่มแรกที่ขึ้นไปยังบันไดหินได้ทรุดลงกับพื้นอย่างแปลกประหลาด ใบหน้าของพวกกลายเป็นซีดเผือดโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เกิดอะไรขึ้น?” ศิษย์คนอื่น ๆ ที่ตามมาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อก้าวไปยังบันไดหินชั้นแรก พวกเขาก็รู้สึกทันที น้ำหนักของพวกเขาเพิ่มขึ้นราวกับถูกภูเขากดทับ
ศิษย์บางคนที่ทนไม่ไหวถึงกับยอมแพ้ทันที พลังวิญญาณของพวกเขาหมดลงหลังจากต้านแรงกดดันอันมหาศาลนั้น ไม่นาน ได้มีแสงสีขาวปรากฏขึ้นใต้เท้าของพวกเขา จากนั้นคนที่ล้มลงได้หายไปจากจุดที่นั่งอยู่ทันที
ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาหายไปไหน แต่ที่มั่นใจได้คือพวกเขาถูกตัดสิทธิไปแล้ว
เมื่อฝ่าฟันไปถึงขั้นที่เก้าสิบเก้าได้ เช่นนั้นถึงจะคลายแรงกดดันมหาศาลนี้
“เฮอะ! เจ้าพวกโง่!” ศิษย์ที่แข็งแกร่งบางคนแอบเหยียดหยามคนเหล่านั้น
ผ่านไปชั่วครู่ บรรดาศิษย์แปดในสิบส่วนถูกคัดออกไปเรียบร้อย ตอนนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดบนบันได
“ไปกันเถอะ!” เจียงอู่หลงและพรรคพวกก้าวขึ้นบันไดหินทีละก้าว อีกด้านหนึ่ง หลินเซวียนและศิษย์จากฝั่งทิศใต้ก็ค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดหิน
“หนักอะไรขนาดนี้!” ติงเซี่ยวป้างกล่าว
“บัดซบ! ข้าจะล้มแล้ว!” ฮัวเซียวโจวสบถในใจ
‘โคจรพลังในร่างให้เสถียรไปทุกแห่ง อย่าเสียสมาธิกับสิ่งใด’ สำหรับหลินเซวียน เขาไม่รู้สึกว่ามันหนักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังพะวงกับสหายด้านหลัง
หนึ่ง สอง สาม… หลังจากถึงขั้นที่สิบ แรงกดดันก็เพิ่มขึ้นอีก ติงเซียวป้างและคนอื่น ๆ ไม่สามารถทนไหวอีกต่อไป ทันใดนั้นแสงสีขาวได้ปรากฏขึ้นด้านล่างพวกเขา…
“น้องเซวียน เจ้าต้องผ่านไปให้ได้นะ!” เสียงของติงเซียวป้างและคนอื่น ๆ ดังขึ้นจากระยะใกล้ ๆ
หลินเซวียนพยักหน้าก่อนจะเพิ่มความเร็วเดินขึ้นไปอย่างน่าตกตะลึง
“บัดซบ! ชายคนนั้นเป็นใครกัน? เขาวิ่งขึ้นไปโดยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?“
“ก็แค่คนโง่นะสิ รอดูมันจะร้องออกมาหลังจากสูญเสียพลังวิญาณหมดตัว” นอกเหนือจากการทดสอบความแข็งแกร่งของบรรดาศิษย์เหล่านี้แล้ว พวกเขายังทดสอบด้านความพากเพียรและกลยุทธ์ในการใช้พลังวิญญาณ
ผู้ที่แข็งแกร่งสามารถผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนธรรมดาจะผ่านไปได้ก็ต่อเมื่อโคจรพลังอย่างไม่รีบร้อน
แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าศิษย์เหล่านี้จะทนไปได้สักกี่น้ำ
ผู้ที่นำอยู่หน้าสุดตอนนี้คือหลินหยุน เขาไขว้มือไว้ด้านหลังขณะก้าวขึ้นไปราวกับติดปีก เมื่อขึ้นไปได้ประมาณหนึ่ง เขาจะหยุดชั่วครู่ก่อนจะเริ่มก้าวขึ้นไปต่อ
หลังจากเขาก็เป็นต้วนเฟ่ย เจียงอู่หลง และคนที่มีฝีมืออื่น ๆ แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้สบายนัก
“ฮ่า ฮ่า แรงกดดันนี้จะเพิ่มขึ้นทุก ๆ สิบชั้น มันจะกลายเป็นเก้าเท่าเมื่อไปถึงขั้นสุดท้าย อีกทั้งแรงกดดันยังไม่เหมือนกันสักคน ยิ่งแข็งแกร่งมาก ก็ยิ่งรับแรงกดดันมาก!” เซียนสุราเอ่ยขึ้น
“ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่การทดสอบความแข็งแกร่งอย่างเดียว แต่ยังทดสอบศักยภาพ ความเพียรและอีกหลาย ๆ อย่าง”
“แตกต่างกันทุกคน?” หลินเซวียนมองขึ้นไปยังหลิวหยุน ดูเหมือนใบหน้าของเขาจะขยับเป็นครั้งแรก
“ถูกต้อง สู้กับใจตนเองยังไงล่ะ! หากก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้ เจ้าก็จะผ่านบททดสอบนี้ได้” เซียนสุรากล่าว
“เช่นนั้นก็เข้ามาเลย!” หลินเซวียนกล่าวเสียงต่ำ
เมื่อถึงขั้นที่สี่สิบ ความเร็วของศิษย์เหล่านั้นก็เริ่มตกลง พวกเขาหลายคนต่างพากันหยุดเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ เพราะมันไม่มีหนทางอื่นอีก แรงกดดันนี้หนักหน่วงถึงสี่เท่า และไม่ข้อยกเว้นสำหรับใคร
หลิวหยุนยังคงเป็นอันดับหนึ่งอยู่ ร่างของเขาราวกับหอกที่แทกทะลุสายลม เขายืนอยู่ขั้นที่หกสิบสามขณะฟื้นฟูพลังวิญญาณ
ด้านล่างลงมาจะเป็นต้วนเฟ่ยอยู่ขั้นที่ห้าสิบเจ็ด
เจียงอู่หลงอยู่ขั้นที่ห้าสิบห้า
เฉินเซี่ยเอ๋อก็อยู่ขั้นที่ห้าสิบห้า
……
ส่วนหลินเซวียนนั้นยืนอยู่ขั้นที่สี่สิบสาม ใบหน้าของเขาซีดเผือด แต่ลมหายใจยังปกติ มันราวกับว่าเขาไม่เหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ไปต่อ
เพราะเมื่อเขาก้าวไปยังขั้นที่สี่สิบ เสียงของเซียนสุราได้ดังขึ้นมาบอกว่า หินแต่ละขั้นนี้มีพลังไฟฟ้าอ่อน ๆ สถิตอยู่
“ภูเขานี้เรียกว่าเขาเมฆาอัสนี มันไม่แปลกที่จะมีพลังงานไฟฟ้าไหลเวียน” เซียนสุรากล่าว “เสี่ยวเซวียน มันเป็นโอกาสของเจ้าแล้ว หากสามารถดูดซับพลังงานสายฟ้าจากที่นี่ได้ พลังวิญญาณของเจ้าจะมีคุณสมบัติสายฟ้าด้วย”
ตามคำบอกของเซียนสุรา หลินเซวียนจึงหยุดอยู่ในบันไดแต่ละขั้นนานกว่าผู้อื่น เซียนสุราได้บอกวิธีให้เขาดูดซับพลังงานไฟฟ้าในขั้นบันไดอย่างเงียบ ๆ
ปะจุไฟฟ้าได้ไหลออกมาจากบันไดหินและไหลเข้าฝ่าเท้าของหลินเซวียน จากนั้นมันได้เข้าไปยังร่างกายของเขาและไหลไปมาอย่างบ้าคลั่ง
เปรี๊ยะ!
หลังจากประจุไฟฟ้าสีน้ำเงินไหลไปทั่วตัวหลินเซวียน มันราวกับพยัคฆ์วิ่งลงจากภูเขา พลังงานไฟฟ้าในตัวของเขาได้ปะทุออกมา มันทำให้หลินเซวียนเผยรอยยิ้มแต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวด
“เฮอะ! อยากจะท้าศิษย์พี่เจียงด้วยพลังเพียงเท่านี้ ข้าแนะนำว่าให้เจ้ารีบวิ่งหนีกลับบ้านไปจะดีกว่า!” อีกด้านหนึ่ง ศิษย์ของพรรคปราณเทวะได้หันมาเหยียดหยามหลินเซวียน “แรงกดดันแค่นี้ยังทนไม่ได้ มันช่างไม่ต่างอะไรกับขยะ!“
หลินเซวียนปิดตาลงราวกับไม่รับรู้เรื่องราวจากโลกภายนอก เขาพยายามรวบรวมพลังงานไฟฟ้าในร่างกาย
ฮึ!
เมื่อเห็นหลินเซวียนไม่โต้ตอบ ศิษย์พรรคปราณเทวะจึงคิดว่าเขายอมรับชะตากรรมแล้ว จากนั้นพวกเขาได้อุทานเสียงเย็นเยือกออกมา
เวลานี้ประจุไฟฟ้าในร่างกายหลินเซวียนได้รวมตัวกันเป็นก้อนกลมห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณ หลินเซวียนถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็น
เซียนสุรากล่าวขึ้น “เมื่อสังเกตดู พลังสายฟ้านี้มันก็ไม่ได้อ่อนจนเกินไป นับว่าโชคดีสำหรับเจ้า หากเป็นพลังงานสายฟ้าของจริง เช่นนั้นด้วยขั้นพลังปัจจุบันตอนนี้ เจ้าคงไม่สามารถสยบมันได้แน่นอน“
“ข้าควรทำยังไงตอนนี้?” หลินเซวียนเอ่ยถาม
“กลั่นมันก่อน” หลินเซวียนเริ่มทำตามคำชี้แนะของเซียนสุรา “ใช้กลวิธีหลอมรวมพลังเหมือนตอนบ่มเพาะพลังคงกระพัน”
หลินเซวียนพยักหน้า จากนั้นได้โคจรพลังไปยังก้อนสายฟ้าด้านในทันที
ภายนอกขั้นบันได
เมื่อศิษย์พรรคปราณเทวะเห็นหลินเซวียน พวกเขาต่างมองลงมาอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม ศิษย์เหล่านี้ได้ยินว่าหลินเซวียนจะประลองกับเจียงอู่หลง แต่พวกเขาถึงกับส่ายหัวเมื่อเห็นท่าทีหลินเซวียนตอนนี้
“อะไร? ยังอยากจะสู้กับพรรคปราณเทวะอีกหรือ? ข้าไม่ทราบว่ามันจะทำหน้ายังไงเมื่อเหยียบไปถึงขั้นที่ห้าสิบ ฮ่า ฮ่า!” หยานกงหัวเราะเย้ยหยัน
“เมื่อไหร่ที่พวกเราสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในได้ พวกเราจะล้มมันได้ด้วยมือเดียว!”
ทันใดนั้นหลินเซวียนได้เปิดตาขึ้น มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มก่อนจะก้าวไปยังขั้นที่สี่สิบสี่
“ขยับแล้ว เขาขยับแล้ว!” ศิษย์ที่พักฟื้นอยู่ใกล้ ๆ หันไปมองกันทีละคน
แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องประหลาดใจกันต่อ เพราะหลินเซวียนได้หยุดลงบนขั้นที่สี่สิบสี่และปิดตาอีกครั้ง
“ขึ้นมาแค่ขั้นเดียวก็หยุด ช่างน่าขันนัก!”
“ข้าคิดว่าคนที่ท้าเจียงอู่หลงจะแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะทำได้แค่นี้!” ศิษย์ใกล้เคียงต่างพากันไม่สนใจหลินเซวียนอีก