ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 การทดสอบศิษย์ชั้นนอก
ดาบที่ฟันลงมาแฝงไปด้วยจิตสังหาร รูปทรงที่กระจัดกระจายนั้นดูเสมือนก้อนเมฆ มันทำให้ศัตรูดูไม่ออกว่าจะโจมตีไปทางไหน
ความแข็งแกร่งของจางปิ่นนั้นอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับสาม และตอนนี้เขาใช้วิชาขั้นสีเหลืองระดับกลาง วิชาดาบนี้ ต่อให้เป็นศิษย์ระดับเดียวกับเขาก็รับมือได้ยาก จางปิ่นไม่คิดว่าหลินเซวียนจะต้านการโจมตีนี้ได้
โชคดีที่หลินเซวียนเพิ่งบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับสอง มันทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย เขาขยับก้าวถอยเพื่อหลบวิชาดาบโดยพลัน
“บัดซบ ไอ้ปีศาจ แกหลบได้ยังไง!?” จางปิ่นฟันลงกลางอากาศด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าบัดซบนี้บรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับสองได้! พลังของหลินจือเพลิงช่างล้ำลึกนัก ฮึ่ม ของชั้นเลิศต้องมาเสียเปล่าโดยขยะอย่างแก!” ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวและอารมณ์ของเขาก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกที
ตู้ม!
ดาบยาวถูกห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณสีคราม กำแพงไม้ถูกระเบิดออกด้วยโทสะของจางปิ่น เป็นผลให้ลมพายุด้านนอกพัดโหมเข้าภายในตัวบ้านจนสั่นไหว
“ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะมาหยอกล้อด้วย ยอมรับความตายและมอบโลหิตของเจ้ามา!” พลังของจางปิ่นคลุ้มคลั่งมากขึ้นพร้อมพลังวิญญาณที่พวยพุ่ง
“เจ้าเรียกนั่นว่าวิชาดาบงั้นหรือ?” หลินเซวียนเอ่ยขึ้นอย่างสงบ “ในความคิดข้า มันเต็มไปด้วยช่องโหว่!”
หลินเซวียนก้าวไปข้างหน้า รูปดาบของเขาเปลี่ยนไปทันที ปลายดาบได้เผยสายลมอันเย็นเยือกขณะฟันออกไปพร้อมทิ้งเงาดาบไว้ด้านหลัง
“วิชาดาบวายุเหมันต์ เป็นไปไม่ได้!” จางปิ่นอุทานขึ้นอย่างตกใจ “นี่เป็นวิชาดาบขั้นสีเหลืองระดับสูง ขี้ข้าดาบอย่างแกไปฝึกฝนมาจากไหน?”
มุมปากของหลิวเซวียนเผยถึงความดีใจ เขาเริ่มโคจรพลังอย่างไม่รีรอ เพียงไม่นานปราณดาบในมือได้ผสานเข้ากับลมพายุด้านนอกจนเกิดประกายหิมะขึ้น
“รอข้าก่อนเถอะ!” จางปิ่นตกใจกลัวจนวิ่งหนีออกจากกระท่อม และหายไปท่ามกลางพายุฝน
หลินเซวียนวางดาบเหล็กดำลงพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก เขาฝึกฝนวิชาดาบกับถังอวี้อยู่บ่อยครั้ง มันทำให้เขาพอจะจดจำวิชาดาบของนางได้
แต่มันก็แค่เพียงผิวเผิน เขาไม่ทราบถึงแก่นแท้ของวิชาดาบเหล่านั้น ‘มันโชคดีที่ใช้หลอกจางปิ่นได้… หากสู้กันจริง ๆ เช่นนั้นจางปิ่นคงจะทราบแน่ เฮ้อ… มันยังไม่ง่ายที่จะเผชิญหน้ากับใครตอนนี้ ทุกอย่างจะดีขึ้นหลังจากเราเข้าสำนักซวนเทียน’
กระท่อมของพังย่อยยับจากการต่อสู้ เป็นผลให้หลินเซวียนไม่อาจนอนหลับได้อีก เขาจึงเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิและเริ่มบ่มเพาะพลังคงกระพันอีกครั้ง ก่อนที่จะสอบเข้าสำนัก เขาได้มีเรื่องกับศิษย์ที่นั่นไม่น้อย หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง เช่นนั้นก็ไม่อาจจะเอาชีวิตรอดได้
หลังจากกำฝ่ามือแน่น หลินเซวียนเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลังทันที ร่างของเริ่มดูดซับพลังวิญญาณและเปล่งแสงอ่อน ๆ ขึ้นมาภายใต้แสงไฟจากตะเกียง
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากพายุสงบลง ภูเขาทั้งลูกก็ได้เผยกลิ่นหอมอบอวลของดินไปทั่วบริเวณ
หลินเซวียนลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิ เขาบิดขี้เกียจไปมาเพื่อเตรียมตัวฝึกฝนดาบ
มันคือวิชาดาบที่เปรียบดังดาวตก แม้ว่าการฝึกฝนทักษะนี้จะน่าเบื่อไปหน่อย แต่เขาก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างพิถีพิถัน
คืนก่อน วิชาดาบนี้เกือบจะแสดงพลังอันร้ายกาจแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ทราบถึงระดับขั้นของการเคลื่อนไหว แต่หลินเซวียนก็พอจะสัมผัสได้ว่ามันร้ายกาจไม่ด้อยไปกว่าวิชาดาบอื่น ๆ
แต่การใช้มันครั้งหนึ่ง พลังวิญญาณที่เสียไปก็ไม่ได้น้อย ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของหลินเซวียน เขาสามารถใช้ได้มากที่สุดแค่สามครั้ง
ดังนั้นวิชาดาบนี้จึงเหมาะแก่สยบศัตรูในคราเดียว
“ทำไมถึงมาเช้านัก?” ขณะที่หลินเซวียนกำลังฝึกดาบอยู่นั้น เขาเห็นถังอวี้ได้วิ่งมาตามเส้นทาง ทันทีที่นางเห็นกระท่อมไม้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ได้เปลี่ยนป็นเย็นเยือกทันที
“เกิดอะไรขึ้น? เป็นฝีมือใคร?” ถังอวี้เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ข้ารับมือได้” หลินเซวียนส่ายหัว
“เจ้านะหรือ?…” ถังอวี้มองเขาก่อนจะอ้าปาก “ขั้นเปิดชีพจรระดับสอง เจ้าทำได้ยังไง!?”
หลิวเซวียนยักไหล่พร้อมเผยรอยยิ้ม “ฝึก ฝึก และก็ฝึก ฝึกจนมันบรรลุไปเอง“
ถังอวี้ไขว้มือไว้ด้านหลังก่อนจะเดินวนรอบเขาสองสามรอบ
“เจ้าทำอะไร?” หลินเซวียนถามอย่างสงสัย
“ช่างเถอะ!” ถังอวี้โค้งริมฝีปากขึ้น “หากเจ้าผ่านการทดสอบสำนักชั้นนอกมาได้ สนใจจะมาร่วมกลุ่มของข้าหรือไม่?”
“กับเจ้านะหรือ?” หลินเซวียนยกคิ้วขึ้น “คงต้องพิจารณาดูก่อน”
เขาทราบว่ามีกลุ่มศิษย์มากมายในสำนักนภาสวรรค์ การต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อทรัพยากรและอำนาจในสำนักนั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นสิ่งแรกหลังจากเข้าสู่สำนักชั้นนอกได้แล้ว นั่นคือหากลุ่มหรือพรรคพวก
“ไม่ต้องห่วง หลังจากผ่านการทดสอบชั้นนอกได้แล้ว ข้าจะดูแลเจ้าเอง!” ถังอวี้ตบหน้าอกอันเต่งตึงพร้อมกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
วันเวลาแห่งการบ่มเพาะพลังผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา การทดสอบเข้าสำนักชั้นนอกก็มาถึง เวลานี้ขั้นพลังของหลินเซวียนบรรลุไปยังระดับสามของขั้นเปิดชีพจรแล้ว เขาสามารถหลอมรวมพลังวิญญาณบนดาบได้ อีกทั้งพลังโจมตียังเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
การทดสอบเข้าสำนักชั้นนอกนี้ ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าร่วมจะเป็นบรรดานายน้อยของตระกูลใหญ่ สำหรับขี้ข้าดาบเข้าร่วมทดสอบนั้น มีเพียงส่วนน้อยถึงน้อยมาก หลินเซวียนสวมชุดผ้าป่านสีเทาขณะยืนอยู่กลางผู้คนที่สวมชุดหรูหรา มันดูโดดเด่นราวกับแกะดำ
“เจ้านี้เป็นทาสของตระกูลไหนงั้นหรือ? แต่งตัวดูทุเรสสิ้นดี!” ใครบางคนได้เอ่ยเย้ยเยาะ
“นี่คือขี้ข้าดาบของสำนักซวนเทียน ข้าคิดว่าเขามาอยู่ตรงนี้เพราะคิดจะเข้าทดสอบ”
“อะไรนะ! ขี้ข้าดาบ!” นายน้อยหลายคนของพวกตระกูลใหญ่เผยสายตาเหยียดหยามทันที “เขายังเป็นแค่ขี้ข้าที่ดูเหมือไม่มีความรู้อะไรด้วยซ้ำ แล้วจะผ่านการทดสอบนี้ได้ยังไง?”
“คุยกันสนุกปากเลยนะ!” หลินเซวียนแสร้งเดินผ่านคนเหล่านั้นพร้อมเปล่งพลังแสงสีฟ้าออกจากตัว
บรรดานายน้อยเหล่านั้นอยู่เพียงขั้นเปิดชีพจรระดับหนึ่ง หรือสูงสุดก็แค่ระดับสอง เมื่อหลินเซวียนได้เปล่งพลังวิญญาณออกมาเล็กน้อย มันทำให้พวกเขาถึงกับตัวสั่นจากแรงกดดัน
หลินเซวียนตักเตือนพวกเขาด้วยความสงบนิ่ง แน่นอนว่าบางคนถึงกับไม่กล้ามองหน้า แต่ก็มีบางส่วนที่แอบซุบซิบอย่างเกลียดชัง
“โอหังนัก! พี่ชายข้าเป็นศิษย์ชั้นนอก หลังจากจบการทดสอบ ข้าจะรอดูว่าเขาจะสั่งสอนมันยังไง!” นายน้อยบางตระกูลเริ่มวางแผนจะแก้แค้นในความอับอายครั้งนี้
ผ่านไปชั่วครู่ กลุ่มศิษย์ของสำนักชั้นนอกได้เดินออกมา จากนั้นชายหนุ่มหนึ่งในพวกเขาได้เอ่ยขึ้นดัง “ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบการทดสอบ กฎของการทดสอบนั้นง่ายมาก หากเอาชนะผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ได้ พวกเจ้าก็จะผ่านการทดสอบ การทดสอบนี้ สามารถทำได้ทั้งแบบเดี่ยวหรือจับกลุ่ม“
“เริ่มได้” ชายหนุ่มคนหน้าสุดมองไปยังกลุ่มผู้เข้าทดสอบพร้อมเอ่ยถาม “ใครจะเป็นคนแรก?”
หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพื้นที่ด้านข้างลานกว้าง ทั้งสองด้านของทางเดินนั้นมีไม้ไผ่รูปทรงมนุษย์ถือดาบอยู่ มันเงียบสงบและไม่ขยับเขยื้อน
หลังจากสังเกตอย่างละเอียดแล้ว หลินเซวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าผู้พิทักษ์ไม้ไผ่นั้นเป็นไม้ไผ่ทั้งตัวไม่ใช่มนุษย์
นายน้อยของตระกูลใหญ่ต่างพากันหันไปมองผู้อื่นอย่างตื่นตระหนก
“มันก็แค่หุ่นไม้ไผ่ ข้าจะจัดการเอง!” เมื่อสิ้นสุดเสียงนั้น ชายหนุ่มในชุดสีม่วงได้เดินออกมาอย่างภาคภูมิใจ ดาบของเขาเปล่งประกายสีฟ้า จากนั้นเขาได้พุ่งออกไปยังลานกว้างทันที
ขณะเดียวกัน ผู้พิทักษ์ไม้ไผ่ได้เผยแสงสว่างขึ้นที่ดวงตา ดาบสีเขียวอ่อนในมือเองก็เริ่มเคลื่อนไหว