ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 50
ตอนที่ 50 ออมมือ
เสว่ฮัวฉิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมพลังวิญญาณที่ระเบิดออก มันทำให้พื้นดินและอากาศรอบข้างถึงกับสั่นไหว
ภายในฝ่ามือของเขา มันมีพลังวิญญาณสีเหลืองกำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว และได้กลายรูปเป็นคมมีด
“ฝ่ามือมีดพันเล่ม!”
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
เสว่ฮัวฉิงปล่อยฝ่ามือใส่หลินเซวียน เสียงของฝ่ามือนั้นราวกับใบมีดนับพันกระทบกัน
ตู้ม!
หลินเซวียนยังคงยืนอย่างมั่นคงราวกับภูผา หมัดขวาของเขาถูกปล่อยออกไปอย่างหนักหน่วง หมัดนี้ได้ใช้กล้ามเนื้อทั้งตัวส่งพลังออกไปพร้อมด้วยทักษะจากวิชาดาบอัสนี
ทันทีที่ร่างทั้งสองปะทะกัน คลื่นพลังอันน่าสะพรึงได้กวาดกระจายไปรอบด้านอย่างรุนแรง ผู้ชมที่อยู่แถวหน้าถึงกับผงะเมื่อถูกแรงดันจากลมกรรโชกนี้
บนลานประลอง หลินเซวียนยังคงยืนอย่างมั่นคง ใบหน้าของเขาสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกด้านหนึ่ง เสว่ฮัวฉิงถึงกับถอยหลัง ลมหายใจของเขาถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ชมต่างรู้สึกเย็นสันหลังกันเล็กน้อย โดยเฉพาะคนจากพรรคปราณเทวะ พวกเขาทราบว่าเสว่ฮัวฉิงนั้นอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับห้าและใกล้จะบรรลุระดับที่หกแล้ว อีกทั้งวิชาฝ่ามือมีดพันเล่มนั้นยังถูกขัดเกลาจนถึงระดับสูง กล่าวได้ว่ามันสามารถทัดเทียมกับผู้ที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับหกได้เลย แต่ตอนนี้มันกลับถูกทำลายได้โดยหมัดเดียว
ต้วนเฟ่ย เจียงอู่หลง และคนอื่น ๆ ต่างมองกันอย่างประหลาดใจ แม้แต่เฉินเซี่ยเอ๋อที่เงียบมานานก็มองไปยังหลินเซวียนเช่นกัน
“หากไม่รีบกำจัดไอ้หนูนี้ละก็ มันจะกลายเป็นหายนะแน่นอน!” ทันใดนั้นเจียงอู่หลงได้จำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับหลินเซวียนไว้ อันที่จริงเขาลืมมันไปหมดแล้ว แต่ด้วยความโดดเด่นของหลินเซวียนมันทำให้เขาจำได้อีกครั้ง
“บัดซบ ทำไมมันถึงร้ายกาจนัก?” ใบหน้าเสว่ฮัวฉิงไม่สู้ดี เขาได้กล่าวไว้ว่าจะทำให้หลินเซวียนเอาหน้าลงไปคุยกับก้อนดิน หากทำไม่ได้เช่นนั้นผู้ที่ต้องอับอายจะกลายเป็นเขาเอง
“ก้าววายุ!”
เสว่ฮัวฉิงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาเปล่งประกายสีทองเล็กน้อย ด้วยความเร็วนี้ มันทำให้เกิดภาพติดตาไว้ด้านหลังจำนวนนับไม่ถ้วน
“ฝ่ามือวายุถล่มปฐพี!” เสว่ฮัวฉิงทำการโจมตีต่อเนื่องอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขารวมพลังฝ่ามือเข้ากับวิชาตัวเบา วิชาตัวเบาก่อนหน้านั้นเป็นวิชาขั้นสีเหลืองระดับกลาง และวิชาฝ่ามือนี้คือวิชาขั้นสีเหลืองระดับสูง เมื่อผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน พลังของมันจะเหนือกว่าวิชาขั้นสีเหลืองระดับสูงไปอีก
“ความคิดของเขาไม่เลว!” เจียงอู่หลงกล่าวเสียงต่ำ
หลินเซวียนรู้สึกได้ถึงพลังลมที่รุนแรง เขาสูดหายใจลึกและกระทืบพื้นออกไปอย่างรวดเร็ว
หมัดสายฟ้า!
หมัดเป็นหมัดขวาตรง ไม่มีพลังวิญญาณใด มันมีแค่พละกำลังล้วน ๆ
ตู้ม!
ฝ่ามืออันภาคภูมิใจของเสว่ฮัวฉิงกลายเป็นกระจกร้าวก่อนจะแตกลงตรงหน้าหลินเซวียน
พรืด! ร่างของเขาไถลไปไกลกว่ายี่สิบก้าวก่อนจะลอยออกจากลานประลองและตกลงไปที่พื้นด้านล่าง
“ทรงพลังจริง ๆ !” ศิษย์บางคนเริ่มสนใจหลินเซวียนมากขึ้น บางคนถึงกับเริ่มหาจุดอ่อนอย่างลับ ๆ
ต้วนเฟ่ยหรี่ตาลง เขาไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มนักดาบคนนี้ที่เพิ่งเข้าสำนักเมื่อสามเดือนก่อนจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนสถานการณ์ของพรรคปราณเทวะจะไม่ค่อยดีแล้วล่ะ!” หลัวอี้ยืนกอดอกขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ฮึ่ม!” ใบหน้าหยานกงมืดดำ เขาอยากจะเข้าไปสังหารหลินเซวียนทิ้งตั้งแต่ตอนนี้
ดวงตาของเจียงอู่หลงกะพริบอย่างช้า ๆ ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน หลิวหยุนผู้ที่นั่งอยู่ในอันดับหนึ่ง เขายังคงนั่งทำสมาธิราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกมาสั่นคลอนได้
ขณะที่การทดสอบยังดำเนินต่อไป ศิษย์มากมายต่างแสดงความสามารถของตนด้วยกำลังทั้งหมด
ทันใดนั้นได้มีประกายแสงที่วูบวาบ พลังวิญญาณอันน่าสะพรึงกำลังผันผวน และเสียงเฮดังก้องไปทั่วสนาม
การปรากฏตัวของต้วนเฟ่ยคือที่น่าจับตามองเช่นกัน
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาสามารถทำให้บรรดาศิษย์หญิงลืมหายใจ ด้วยฉายาหนึ่งในสี่ยอดคน ชื่อของต้วนเฟ่ยถูกรู้จักกันไปทุกหนแห่ง
“ชายคนนี้ หลังจากเข้าไปยังสำนักชั้นในได้แล้วจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด” ชายชุดดำกล่าวข้างอัฒจันทร์สีทอง
“แต่เขาเป็นคนของพรรคเทพสงคราม ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะเอาเขามาไม่ได้หรอก?” ชายหนุ่มอีกคนได้กล่าวขึ้น
“ฮึ มันก็แค่พวกกลุ่มที่ถูกตั้งขึ้นโดยคนน่าเบื่อ ตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกต่างหากที่น่าเป็นห่วง” ชายชุดดำกล่าว
ชายหนุ่มรอบตัวเขาส่ายหัวช่วยไม่ได้
บนอัฒจันทร์สีทอง บรรดาผู้อาวุโสต่างมองกันไปที่ต้วนเฟ่ยพร้อมกล่าว “มีเด็กที่ยอดเยี่ยมโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว“
“โอ้ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหลีชอบคนไหนงั้นหรือ?”
“ข้าคิดว่าทั้งสี่ยอดคนยอดเยี่ยมหมดเลย” ผู้อาวุโสหลีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าเฒ่าจิ้งจอกโลภมาจริงนะ” ผู้อาวุโสอีกคนเอ่ยขึ้น “แต่ข้าคิดว่าทุกคนในสิบอันดับแรกยอดเยี่ยมทั้งหมด!”
“ผู้อาวุโสฟ่าง เด็กคนไหนที่ท่านคิดว่าไม่เลวบ้าง?” ใครบางคนถามผู้อาวุโสฟ่าง
ผู้อาวุโสฟ่างลูบหนวดของตนก่อนจะกล่าว “ข้าคิดว่าชายหนุ่มที่ชื่อหลินเซวียน ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นยังไง?”
“หลินเซวียน? ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่…” บรรดาผู้อาวุโสส่ายหัว
ผู้อาวุโสฟ่างหาได้สนใจไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่น
บนลานประลอง ต้วนเฟ่ยนั้นรวดเร็วราวกับสายลม ความเร็วของเขาสูงจนผู้คนไม่สามารถมองตามได้ทัน แม้แต่คู่ต่อสู้ของเขายังผงะ
เพียงไม่นานต้วนเฟ่ยได้ก้าวลงเวทีและตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของสตรีมากมาย สิ่งนี้ทำให้เจียงอู่หลงไม่ค่อยพอใจเช่นกัน
เมื่อเขาลงมาจากเวทีได้ชั่วครู่ คู่ต่อสู้ที่โชคร้ายของเขาถึงกับอาเจียนเป็นเลือดและทรุดลงกับพื้น
หลังจากนั้น เฉินเซี่ยเอ๋อ หยานกง หลัวอี้ ถังอวี้ และคนอื่น ๆ ต่างก็คว้าชัยชนะกันไป ขณะเดียวกัน เมื่อผู้ตัดสินได้ประกาศชื่ออีกครั้ง มันทำให้ทั้งสนามเงียบไปทันที
มีเพียงชื่อเดียวที่ราวกับต้องมนต์ นั่นคือหลิวหยุน
คู่ต่อสู้ของเขาคือหมายเลข ‘23’ แต่คู่ต่อสู้ของเขาได้ถอนตัวโดยไม่ลังเล มันจึงทำให้ทุกคนผิดหวังไม่น้อย
การประลองรอบที่สองได้จบลง และได้เริ่มการประลองรอบที่สาม
โชคดีที่หยินฉิงอี้เข้ารอบโดยไม่ต้องทำอะไร มันทำให้ศิษย์มากมายอิจฉากันไม่น้อย
ในรอบที่สาม ศิษย์ระดับสูงจะได้ลงมาประลองอีกครั้ง
ในลานประลองที่สาม เหว่ยหยงกำลังมองเจียงอู่หลงอย่างหวาดผวา เพียงกระบวนท่าเดียว แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้นที่เขาพ่ายแพ้ มันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกจนสูญเสียความมั่นใจ
ในลานประลองที่หนึ่ง กั๋วฟ่างศิษย์อันดับที่สิบเจ็ดกำลังร่ายรำดาบยาวในมือ ประกายแสงของดาบปรากฏขึ้นรอบด้าน เขาแทงดาบไปหนึ่งพันสามร้อยครั้งอย่างต่อเนื่อง แม้แต่มิติยังสั่นสะเทือน แต่มันกลับแตะไม่ได้แม้แต่ปลายเสื้อของต้วนเฟ่ย
เพียงกระบวนท่าเดียว ต้วนเฟ่ยก็เอาชนะเขาไปได้
……
บนลานประลองที่ห้า คู่ต่อสู้ของหลินเซวียนคือหลัวอี้
“ฮ่า ฮ่า น้องหลิน ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ประลองกับเจ้า!” หลัวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าก็เช่นกัน” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับหลัวอี้ เนื่องจากเหตุการณ์ที่โถงภารกิจ อีกอย่างการก้าวเท้าของหลัวอี้นั้นยังน่าสนใจอย่างมาก
“ข้าหวังว่าศิษย์พี่หลัวจะไม่ออมมือ!” หลินเซวียนกล่าวเสียงต่ำ
หลัวอี้ชะงัก โดยทั่วไปหากจะกล่าวอย่างสุภาพ ผู้คนมักจะขอให้ผู้อื่นออมมือขณะประลอง แต่หลินเซวียนกลับบอกให้ตนไม่ต้องออมมือ
“เมื่อน้องหลินว่าเช่นนั้น หากข้ายังออมมืออยู่ก็เท่ากับเสียมารยาท!” หลัวอี้หัวเราะชั่วครู่ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมประกายแสง เพียงชั่วพริบตาเขาได้มาอยู่ตรงหน้าหลินเซวียนแล้ว