ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 58
ตอนที่ 58 ผลการประลอง
“จงภูมิใจที่จะได้ตายด้วยกระบวนท่านี้เสีย!”
เสียงอันเย็นเยือกของเจียงอู่หลงดังขึ้น เขายกดาบไว้เรียบหน้าอกพร้อมงอมือซ้ายขึ้นบนอากาศ ฝ่ามือที่สีปกติเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเขาได้ปัดดาบตรงหน้าเบา ๆ ทันใดนั้นดาบทั้งเล่มเหมือนจะมีชีวิตและกลายเป็นสีแดงเพลิง
การเคลื่อนไหวทั้งหมดเชื่องช้าอย่างมาก หลังจากเสร็จกระบวนการ ใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีซีดทันที
ตัวดาบนั้นเปล่งแสงสีแดงราวกับย้อมด้วยเลือดขณะสั่นไหว ความร้อนที่เพิ่มขึ้นสูงนั้นทำให้มิติรอบด้านถึงกับพล่ามัว
ชิ้ง!
เจียงอู่หลงสะบัดดาบอย่างงดงาม ทำให้เปลวไฟสีแดงสดหยดลงพื้น เพียงไม่นานควันได้ปรากฏขึ้นตรงจุดที่มันหยดก่อนจะละลายเป็นรู
ม่านตาหลินเซวียนจมลง เขารู้สึกถึงอันตรายจากดาบนั่นอย่างแท้จริง เขาถือดาบเพลิงโลหิตไว้แน่นและพร้อมจะใช้พลังทั้งหมดเข้าสู้
“อย่าเปลืองเวลาเลย กระบวนท่านี้เจ้าไม่สามารถหยุดมันได้แม้จะอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ดก็ตาม” เสียงของเจียงอู่หลงฟังดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย แต่มันก็แฝงไปด้วยความตื่นเต้น “ถึงแม้มันจะต้องจ่ายราคาที่แพง แต่ก็คุ้มค่าที่จะได้จัดการเจ้า!”
“ดาบเพลิงเร้นลับ!”
ดาบยาวเปล่งประกายสีแดงจ้าพร้อมปราณพลังที่ระเบิดออกจนน่าขนลุก
ดาบนี้ไม่ต่างอะไรกับดวงอาทิตย์ มันทำให้ผู้คนรอบด้านต้องหรี่ตามอง
หลินเซวียนรู้สึกถึงอันตรายจากมันทันที เขารีบโคจรพลังวิญญาณอย่างคลุ้มคลั่ง พลังวิญญาณสีทองได้ปรากฏขึ้นบนตัวดาบพร้อมด้วยปะจุไฟฟ้าที่ไหลเวียนรอบตัว เวลานี้เขาไม่ต่างอะไรจากเทพอัสนี ดาบในมือของเขาราวกับสายฟ้าที่กำลังจะฟาดลงมายังพื้นโลก
“อัสนีพิโรธ!”
บนลานประลอง มันได้เกิดประกายแสงสีทองขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิด ขณธเดียวกัน เกือบทั้งลานประลองได้ถูกปกคลุมไปด้วยเกราะพลังเพื่อไม่ให้มันกระจายออกด้านนอก
แต่ยังมีเศษหินน้อยใหญ่ลอยกระเด็นออกมา อากาศที่กระเพื่อมอย่างไม่หยุดยั้ง ลมกรรโชกที่รุนแรงราวกับมรสุม
ศิษย์ที่นั่งแถวหน้าถึงกับต้องหนีขึ้นไปด้านบนจากสะเก็ดพลัง พวกเขาต่างเผยใบหน้าหวาดผวาอย่างชัดเจน
“ให้ตายเถอะ นี่เป็นพลังพวกเขาจริงหรือ? พวกเขายังเป็นมนุษย์ใช่หรือเปล่า?”
“ข้าว่าศิษย์ชั้นในเองก็คงประลองกันแบบนี้”
“เหตุใดข้าถึงคิดว่าพวกเขาอาจจะเหนือกว่าศิษย์ชั้นในหลาย ๆ คนไปแล้ว?” บรรดาศิษย์บนอัฒจันทร์เริ่มถกเถียงกัน
“ข้าเองก็ไม่ทราบว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่หลินเซวียนคนนี้นับว่ามหัศจรรย์อย่างมาก”
“ใช่ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง หลินเซวียนก็คือม้ามืดของจริง!”
“เจ้าจะบอกว่ามันเป็นไปได้ที่หลินเซวียนจะพลิกกลับมาชนะงั้นหรือ? ข้าเองก็อยากเห็น…” บนลานประลองเต็มไปด้วยฝุ่นควันจนมองไม่เห็น ผู้คนรอบด้านจึงทำได้แค่คาดเดาเท่านั้น
ต้วนเฟ่ยมองไปยังลานประลองพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหันไปมองหลิวหยุนก่อนจะกล่าว “เจ้าคิดว่ายังไง?”
“สายฟ้าสีทองเมื่อครู่ของหลินเซวียนดูเหมือนจะเป็นคุณสมบัติสายฟ้า ดังนั้นมันจึงยากที่จะทายผล” หลิวหยุนกล่าวเสียงลุ่มลึก
“คุณสมบัติสายฟ้า?” ต้วนเฟ่ยบ่นพึมพำขึ้น “มันเป็นคุณสมบัติที่หายากมาก แต่ทำไมเขาถึงไม่ใช้วิชาดาบตอนทดสอบสำนักชั้นนอกนะ?”
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะคาดการณ์ผลการประลอง แม้แต่ผู้อาวุโสบนอัฒจันทร์ยังประหลาดใจจนต้องลูบหนวดตนเอง
“ดูเหมือนมันจะเป็นคุณสมบัติสายฟ้าจริง ๆ เจ้าหนูนั้นเป็นใครกัน?” ผู้อาวุโสหลีเอ่ยขึ้น
ปกติมันเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่ศิษย์ชั้นนอกจะขัดเกลาพลังวิญญาณให้มีคุณสมบัติธาตุได้ แต่ตอนนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติธาตุแล้ว มันยังเป็นคุณสมบัติสายฟ้าด้วย แล้วจะไม่ให้เขาประหลาดใจได้ยังไง
“ฮ่า ฮ่า เจ้าหนูนี้ทำเรื่องมหัศจรรย์อีกแล้ว!” ผู้อาวุโสฟ่างยิ้มขณะลูบหนวด
“เฒ่าฟ่าง เจ้ารู้จักเขาหรือ?” กลุ่มของผู้อาวุโสหันไปมองผู้อาวุโสฟ่าง
……
บนลานประลอง ฝุ่นควันเริ่มจางหายไปจนเห็นร่างของทั้งสอง
“ดูนั่น ผลการประลองออกมาแล้ว!” ดวงตาทุกคู่เปิดกว้าง
ผู้ตัดสินสะบัดแขนเสื้อเพื่อไล่ฝุ่นควันที่เหลืออยู่ทันที
ท้ายที่สุดร่างทั้งสองก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาผู้คน
ชายหนุ่มสองคนยืนประจัญหน้ากันอยู่บนลานประลอง คนหนึ่งสวมชุดสีขาว ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง นั่นคือเจียงอู่หลง ส่วนหลินเซวียนอยู่อีกฝากด้านขวาสวมชุดสีดำ ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เจียงอู่หลงมองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหัวเราะขึ้นดัง
“ฮือ? เจียงอู่หลงชนะงั้นหรือ?” เมื่อเห็นการแสดงออกเช่นนั้น ถังอวี้ หยินฉิงอี้ และคนอื่น ๆ ต่างพากันตกใจ
“ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะรับมือกระบวนท่านี้ได้…” ร่างของเจียงอู่หลงค่อย ๆ เอนล้มลงด้านหลังพร้อมเลือดที่ไหลซึมตรงมุมปาก
“ศิษย์พี่เจียง!” คนพรรคปราณเทวะวิ่งขึ้นไปบนลานประลองเพื่อพยุงเจียงอู่หลง พวกเขาต่างตื่นตระหนก ไม่มีใครคาดคิดว่าเสาหลักของพรรคปราณเทวะจะพ่ายแพ้กับชายคนที่พวกเขาเคยแพ้มาเช่นกัน
“พาเขาลงไป เขาไม่ถึงตายหรอก แค่บาดเจ็บ” คำของผู้ตัดสินดังขึ้นเตือนศิษย์พรรคปราณเทวะ พวกเขามองหลินเซวียนอย่างไม่พอใจก่อนจะพาเจียงอู่หลงลงจากลานประลอง
“ยอดเยี่ยมมากพ่อหนุ่ม” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ตัดสินได้เอ่ยขึ้นกับหลินเซวียน “เจ้ามีความสามารถและจงใช้มันอย่างถูกวิธี ในอนาคตสำนักซวนเทียนก็ขึ้นอยู่กับศิษย์อย่างเจ้า”
หลินเซวียนแสดงความเคารพต่อผู้ตัดสินก่อนจะเดินลงจากเวที
ในตอนที่เขาแทงเจียงอู่หลงเมื่อครู่ เสียงหนึ่งในหัวเขาได้ดังขึ้นว่า หลินเซวียนเจ้าต้องการแค่ชัยชนะ ไม่ใช่การฆ่าคน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาลดพลังลงสามระดับ มิเช่นนั้นเจียงอู่หลงคงตายไปแล้ว
หลินเซวียนและเจียงอู่หลงเป็นอัจฉริยะทั้งคู่ สำนักก็ไม่ต้องการสูญเสียใคร และแน่นอนว่านั่นเป็นเสียงของผู้ตัดสิน
เมื่อหลินเซวียนก้าวเท้าลงจากลานประลอง ชื่อของเขาก็ได้ดังขึ้นทั่วอัฒจันทร์ทันที ศิษย์ที่ไร้สังกัดมากมายต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดีและอยากเป็นเหมือนเขา
สามเดือนก่อนเขายังเป็นเพียงขี้ข้าดาบเท่านั้น และสามารถไต่เต้าจนเข้ามายังสำนักชั้นนอกได้ สามเดือนให้หลัง เขาเติบโตขึ้นจากขี้ข้าดาบและได้เป็นผู้พิชิตหนึ่งในสี่ยอดคน การพัฒนาอันงดงามนี้ได้กระตุ้นคนหนุ่มในสำนักจนลุกเป็นไฟ
หลินเซวียนเองก็ไม่ทราบว่าการกระทำของตนได้เป็นตำนานของสำนักชั้นนอกไปแล้ว ศิษย์หลายคนอยากจะเป็นให้ได้เหมือนเขาและเริ่มฝึกกันอย่างบ้าคลั่ง
หลังดีใจกันเรียบร้อย เวลาแห่งช่วงสุดท้ายก็มาถึง ใครจะเป็นผู้ชนะเลิศ?
“หลังจากหมดก้านธูปนี้ การประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้น!” เสียงของผู้ตัดสินดังก้อง
ทุกคนทราบว่าเขาต้องการให้หลินเซวียนพักฟื้น พวกเขาจึงรอกันอย่างมีระเบียบ
หลินเซวียนนั่งอยู่บนพื้นและโคจรพลังคงกระพันในร่าง พลังวิญญาณของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนบาดแผลทั้งหมดเริ่มหายไป
ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง พลังกายของหลินเซวียนก็ฟื้นฟูเช่นกัน
หลังจากก้านธูปหมดลง เขาได้ลืมตาขึ้น…