ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 62
ตอนที่ 62 สำนักชั้นใน
ในวันปกติ หลินเซวียนพยายามศึกษาเมล็ดพันธุ์ของเจตนารมณ์แห่งดาบเพื่อรอการทดสอบที่สาม ไม่กี่วันต่อมา ได้มีใครบางคนจากสำนักชั้นในมาเชิญให้หลินเซวียนไปรับรางวัลจากการทดสอบที่สอง
และเขาคือผู้เฝ้าประตูของผู้อาวุโสฟ่าง เขาพาหลินเซวียนเข้าไปยังสวนของผู้อาวุโสฟ่างทันทีที่มาถึง
ภายในสวนนั้น นอกจากหลินเซวียนแล้วยังมีอีกสองคน นั่นคือหลิวหยุนและต้วนเฟ่ย พวกเขาได้ที่สองและที่สาม ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะได้รางวัล
หลินเซวียนทักทายพวกเขาก่อนจะไปยืนด้านข้างเพื่อรอผู้อาวุโสฟ่าง จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสฟ่างก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าเป็นคนรับผิดชอบของรางวัลให้พวกเจ้าทั้งสาม ตามที่กล่าวไว้ สำหรับที่หนึ่งจะเป็นโอสถทิพย์บริสุทธิ์ วิชาขั้นสีดำระดับสูง และสมบัติขั้นมนุษย์”
“ที่สองนั้นจะเป็นวิชาขั้นสีดำระดับต่ำ และโอสถทิพย์”
“ส่วนที่สามนั้นเป็นวิชาขั้นสีดำอย่างเดียว”
ผู้อาวุโสฟ่างกล่าวอย่างผ่อนคลาย “หลินเซวียน หลิวหยุน พวกเจ้าทั้งสองมารับโอสถจากข้าก่อน“
หลินเซวียนและหลิวหยุนก้าวออกไปรับขวดยาสีขาวพร้อมกันก่อนจะถอยหลังกลับ หลินเซวียนเปิดดูข้างใน และพบว่ามีเม็ดยาขนาดเท่าลูกลำไยอยู่พร้อมควันสีฟ้าจาง ๆ ลอยออกมาหอมคละคลุ้ง กลิ่นนี้ทำให้ผู้คนที่สูดดมรู้สึกสดชื่นอย่างมาก
“นี่คือยาที่สามารถทำให้บรรลุขั้นพลังได้สินะ” หลินเซวียนเก็บขวดยาไว้และยืนรอรางวัลต่อไป
ผู้อาวุโสฟ่างเห็นหลินเซวียนยังคงสงบเมื่อเห็นโอสถภายในนั้น ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเล็กน้อย เขาหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะมอบให้หลินเซวียน
“นี่คือสมบัติขั้นมนุษย์ของสำนัก แหวนเก็บของ”
แน่นอนว่าหลินเซวียนรีบรับอย่างดีใจ มันสะดวกสบายที่จะพกพาหลาย ๆ สิ่งโดยการมีแหวนนี้ เขาใช้สัมผัสเทวะเปิดแหวนก่อนจะเก็บขวดโอสถทิพย์ไว้ข้างใน
“เอาล่ะ ตอนนี้ไปยังหอวรยุทธ์กัน” เพียงแค่สะบัดมือ ผู้อาวุโสฟ่างได้พาทั้งสามลอยออกไปพร้อมลมกรรโชก
ทั้งสามคนรู้สึกว่ามีหมอกหนาปกคลุมร่างกายขณะลอยอยู่ จากนั้นร่างของพวกเขาได้ลงถึงพื้นอย่างรวดเร็ว พวกเขามองไม่เห็นทิวทัศน์รอบด้าน แต่ก็รู้สึกได้ว่ากำลังลอยอยู่
ไม่นานทั้งสามได้ลุกขึ้นยืน
“ตามข้ามา อย่าหลงละ” ผู้อาวุโสฟ่างพุ่งทะยานออกไปตามทิศทางทันที
ทั้งสามรีบตามไปเพราะกลัวจะตามไม่ทัน แต่พวกเขาก็ยังมองไปรอบด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หนทางที่สร้างขึ้นจากศิลาครามนั้นทอดยาวไปไกล อีกด้านหนึ่งของเส้นทางก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด ในระยะไกล ยังดูเหมือนจะมีราชวังที่ปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ
ระหว่างทางพวกเขายังพบปะศิษย์บางคน พวกเขารวดเร็วอย่างมาก อีกทั้งลมหายใจยังทรงพลังกว่าทั้งสามหลายเท่า
“นี่คือสำนักชั้นในงั้นหรือ?” หลินเซวียนกระซิบ
“ใช่ สำนักชั้นในและสำนักชั้นนอกนั้นตั้งอยู่บนขุนเขาที่ต่างกัน พวกเขาไม่ค่อยเดินไปไหนมาไหนเหมือนสำนักชั้นนอก แน่นอนว่าสำนักชั้นนอกก็ไม่ค่อยทราบเรื่องราวของสำนักชั้นในเช่นกัน และศิษย์ในนี้ก็ไม่ค่อยกลับไปสำนักชั้นนอกด้วย” ต้วนเฟ่ยกล่าว
หลิวหยุนสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยขึ้น “ปราณพลังภายในนี้เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าสำนักชั้นนอก ข้าเกรงว่าหากบ่มเพาะพลังในนี้ มันคงจะเร็วกว่าตอนอยู่สำนักชั้นนอกเป็นเท่าตัว“
ทั้งสามคนสนทนากันระหว่างทางภายในสำนักชั้นใน หลินเซวียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อนึกถึงตอนที่จะได้เข้ามาบ่มเพาะพลังในนี้
หากไม่มีเหตุการณ์อะไรมาขัดขวาง เช่นนั้นเขาจะต้องเป็นศิษย์ชั้นในได้ และเป้าหมายต่อไปก็คือศิษย์สายตรง มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะให้เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลับไปยังตระกูล
ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ ต้นไม้ก็ยิ่งหนาทึบขึ้นขนาบสองข้างทาง อีกทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างมากกว่าผู้คน ศิษย์ชั้นในหลายคนมองพวกเขาอย่างสนใจ
ผู้อาวุโสฟ่างพาทั้งสามไปยังหอสูงแห่งหนึ่งก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
หลินเซวียนมองขึ้นไป มันมีหอแปดเหลี่ยมอยู่ตรงหน้า มันมีอยู่สามชั้น และแต่ละชั้นจะสูงพอควร ตรงหน้าประตูของชั้นแรกมีอักษรสีทองสลักอยู่ว่า หอวรยุทธ์
“เฒ่ามู่ สหายเก่าขอเข้าพบหน่อย” ผู้อาวุโสฟ่างกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฟิ้ว!
หลังจากสิ้นสุดคำของผู้อาวุโสฟ่าง หลินเซวียนและอีกสองคนรู้สึกว่ามีลมประหลาดพัดอยู่ตรงหน้า เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง ชายชราในชุดสีเทาหลังค่อมกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
ทั้งสามคนตกตะลึง พวกเขาไม่ทราบว่าชายชราผู้นี้มาจากทางไหนขณะปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ดูเป็นแค่ชายชราหลังค่อมธรรมดาเหมือนผู้อื่น
“ฟ่างเหยา เจ้ามาทำอะไรงั้นหรือ เอายามาให้ข้าหรือเปล่า?” ชายชราหลังค่อมกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แล้วทำไมถึงพาลูกแมวสามตัวนี้มาด้วยล่ะ?”
“เฒ่ามู่ ข้ามาเพราะมีธุระที่นี่ ทั้งสามนี้คือสามอันดับแรกของการทดสอบเข้าสำนักชั้นในรอบที่สอง ตามกฎแล้ว พวกเขาจะสามารถเลือกวิชาขั้นสีดำจากหอวรยุทธ์ได้ ท่านสามารถจัดหาให้พวกเขาเองเลย”
“ฮึ่ม ข้าบอกว่าเจ้าออกมานี้เอายามาให้ข้าด้วยหรือเปล่า? ” ชายชราหลังค่อมตะคอกกลับ “หากวันนี้เจ้าไม่ดื่มกับข้า เช่นนั้นข้าจะกินยาของเจ้าให้หมด”
ผู้อาวุโสฟ่างยังไม่ทันได้กระทำสิ่งใด ชายชราหลังค่อมก็ได้เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งสามไปที่ชั้นหนึ่ง ข้าให้เวลาเลือกวิชาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป จงหาวิชาที่เหมาะสมกับอันดับของตัวเอง ไปได้“
หลินเซวียนและอีกสองคนทำการคารวะก่อนจะเข้าไปยังหอวรยุทธ์อย่างตื่นเต้น
เมื่อเปิดประตูเข้าไป หลินเซวียนพบว่านอกจากชั้นหนังสือที่เรียงราย มันก็ไม่มีใครสักคนอยู่ในนี้นอกจากพวกเขาเท่านั้น
“ดูเหมือนหอวรยุทธ์จะไม่เปิดอย่างปกตินะ รีบไปหาวิชากันเถอะ” ต้วนเฟ่ยกล่าว
ทั้งสามไม่รีรอที่จะรีบเข้าไปหาวรยุทธ์ หลินเซวียนเดินไปทางชั้นหนังสือและยิ้มออกมาดู แต่กลับพบว่ามันมีแค่ชื่อและคำแนะนำเท่านั้น มันไม่มีรายอะเอียดเกี่ยวกับการฝึกข้างใน
แต่ไม่นานเข้าก็พอจะเข้าใจ หอวรยุทธ์นั้นเป็นสถานที่สำคัญของสำนัก แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครเอาวรยุทธ์มาวางไว้เฉย ๆ ดูเหมือนศิษย์ชั้นในจะต้องมาเลือกวรยุทธ์ด้วยตนเองจากการดูคำแนะนำ จากนั้นผู้อาวุโสจะเป็นคนสอนพวกเขาด้วยตนเอง
หลินเซวียนนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ตอนนี้วิชาดาบของเขายังไม่จำเป็น เพราะวิชาดาบอัสนีนั้นยังทรงพลังที่สุดอยู่
เขาได้ฝึกฝนวิชาบ่มเพาะพลังกายและวิชาตัวเบาขั้นสีเหลืองจนถึงระดับสมบูรณ์ แต่ด้วยความสามารถในอนาคตของเขา วรยุทธ์ทั้งสองนี้จะใช้งานไม่ได้อีก
ดังนั้นเขาจึงคิดจะเลือกวิชาตัวเบาหรือวิชาบ่มเพาะพลังกาย ตามที่คิดไว้ หากเขาพบศิษย์ที่เชี่ยวชาญด้านความเร็วเหมือนต้วนเฟ่ย เช่นนั้นเขาจะอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ
ดังนั้นจึงได้เริ่มหาวรยุทธ์เกี่ยวกับวิชาตัวเบาทันที