ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 7
ตอนที่ 7 ภารกิจ
เมื่อเห็นหลินเซวียนกำลังจะไป ชายหนุ่มรูปงามจึงรีบเอ่ยขึ้นโดยพลัน “รอเดี๋ยว!”
“มีอะไรงั้นหรือ? ศิษย์น้องต้วนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มผู้ดูแลการทดสอบได้ถามขึ้น
“ศิษย์พี่หลิว ได้โปรดรอสักครู่ ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับน้องหลิน” ชายหนุ่มรูปงามกล่าว
เขาไม่สนใจชายหนุ่มผู้ดูแลการทดสอบและเดินตรงไปยังหลินเซวียน “ข้าขอแลกกับวิชาดาบขั้นสีเหลืองระดับสูง และจะไม่มีใครกล้าหาเรื่องกับเจ้าหากเข้าร่วมกลุ่มพวกเรา!”
“อภัยด้วย แต่ข้าไม่สนใจ!” หลินเซวียนกล่าวตอบ วิชาดาบนี้เป็นของมรดกของบิดา ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ต้องการมอบให้คนนอก
ชายหนุ่มผู้ดูแลการทดสอบยักไหล่ก่อนจะนำศิษย์ใหม่ทั้งหมดจากไป เวลานี้เหลือเพียงชายหนุ่มแซ่ต้วนและถังอวี้
“ถังอวี้ เจ้าคุ้นเคยกับไอ้หนูนั้นดีใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่มากเท่าไหร่!” ถังอวี้กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ต้วนเฟ่ย ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำอะไรเขา!”
“เย็นไว้ ข้าก็แค่อยากเห็นเคล็ดวิชาดาบนั้นได้อย่างชัดเจน” แม้ปากของเขาจะเผยรอยยิ้ม แต่ดวงตานั้นกลับเย็นเยือก
……
ผู้คุมสอบได้พาหลินเซวียนและบรรดาศิษย์ใหม่ไปลงชื่อ เพื่อรับป้ายชุดประจำตัว หลังจากนั้นจึงอธิบายบางอย่างก่อนจะปล่อยให้พวกเขาอยู่อย่างอิสระ
พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีญาติพี่น้องที่รู้จักอยู่ในสำนักนี้ เพียงไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายไปหาคนรู้จัก
สำหรับหลินเซวียนรู้จักแค่ถังอวี้ แต่เดิม ถังอวี้ได้บอกให้เขามาเข้าร่วมกลุ่มของนาง แต่หลังจากสนทนากับชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นแล้ว เขาก็ไม่คิดจะเข้าร่วมกลุ่มด้วยอีก หลินเซวียนเปิดดูตำราพื้นฐานพร้อมเดินไปยังห้องโถง
ภายในสำนักซวนเทียนนั้น ทรัพยากรทั้งหมดจะถูกแลกเปลี่ยนโดยใช้แต้มสะสมและหินวิญญาณ ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการแลกวิชาดาบขั้นสีเหลืองระดับต่ำ ผู้แลกจะต้องใช้แต้มหนึ่งร้อยแต้ม พร้อมกับหินวิญญาณสามสิบก้อนในการแลกเปลี่ยน
แต้มสะสมนั้นสามารถหาได้โดยการทำงานหรือภารกิจของสำนัก
หากภารกิจนั้นธรรมดา แต้มที่ได้ก็ไม่มากนัก แต่หากเป็นภารกิจที่อันตรายและเสี่ยงตาย เช่นนั้นแต้มที่ได้รับก็จะมากขึ้นตาม
ความแข็งแกร่งของหลินเซวียนอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับสาม ตามความรู้ที่เขามี เปิดชีพจรระดับสามนั้นยังอยู่เพียงระดับกลางของทั้งหมด มันยังเหลือระดับสี่และระดับห้าที่อยู่สูงกว่า ในการเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ชั้นในนั้น มันจะต้องไปให้ถึงระดับนั้นก่อนจึงจะถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ
“เอาล่ะ เราต้อการโอสถ วิชาดาบ อาวุธ และหินวิญญาณเพื่อบ่มเพาะพลังในอีกสามเดือนนี้…” หลินเซวียนรู้สึกปวดหัวขณะครุ่นคิด
“เฮ้อ หนทางเดียวคือหาแต้มสะสมเท่านั้น” หลินเซวียนทำการตัดสินใจและเริ่มหันไปดูภารกิจที่แขวนอยู่บนผนัง
ภารกิจเหล่านี้แบ่งออกเป็นเก้าระดับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับเก้า ซึ่งมันจะยากและอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าแต้มที่ได้รับก็มากขึ้นตามเช่นกัน
โดยทั่วไป ศิษย์สำนักชั้นนอกจะทำแค่สี่ระดับแรกเท่านั้น หลินเซวียนเพิ่งมาถึงที่นี่ เขาจึงต้องการจะทำภารกิจที่เรียบง่ายเพื่อให้คุ้นเคยก่อน เขาเห็นงานสำหรับค้นหาหญ้าราตรีม่วงสิบแต้ม
ก่อนที่จะดึงงานจากที่แขวนอยู่ เขาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนวิ่งปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อของพวกเขามีรูปดวงจันทร์เต็มดวงอยู่ อีกทั้งใบหน้ายังดูหยิ่งยโสอย่างมาก
ผู้นำกลุ่มนั้นมีใบหน้าดำคล้ำพร้อมรอยแผลเป็นยาว มันดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาเดินไปยังกำแพงภารกิจ จากนั้นได้กว้านหยิบภารกิจระดับตั้งแต่หนึ่งถึงสี่ทั้งหมดรวมถึงภารกิจหญ้าราตรีม่วงด้วย
หลินเซวียนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร ท้ายที่สุด มันก็แค่ภารกิจซึ่งไม่คุ้มที่จะมีปัญหาด้วย แต่สิ่งที่เหนือกว่าการคาดคิดคือเขาเห็นจางปิ่นอยู่ในกลุ่มนั้น
เมื่อจางปิ่นเหลือบไปเห็นหลินเซวียน เขาพลันตกใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “คนอย่างเจ้าผ่านการทดสอบด้วยหรือ โชคเข้าข้างนักนะ!”
เมื่อเห็นการแสดงออกบนใบหน้าจางปิ่น หลินเซวียนคาดว่าอาจเป็นเขาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผู้พิทักษ์ไม้ไพ่ก่อนหน้านี้
‘แต่ความแข็งแกร่งของจางปิ่นนั้นไม่ได้ร้ายกาจอะไรนัก มันดูเหมือนจะมีคนอื่นที่ไม่พอใจเราอยู่อีก’ หลินเซวียนคาดเดาในใจ
“อาปิ่น มีอะไรงั้นหรือ?” ชายหนุ่มใบหน้าแผลเป็นเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร ก็แค่ขี้ข้าดาบที่สามารถผ่านการทดสอบศิษย์ชั้นนอกได้” จางปิ่นไม่ต้องการจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหลินเซวียนด้านนอก แต่ก็ยังกล่าวด้วยวาจาเกลียดชัง “ไอ้หนู ทราบหรือไม่ว่านี้ไม่ใช่สถานที่ของเจ้า!”
พวกเขาหยิบภารกิจแขวนอีกหลายชุดก่อนจะจากไป
“หึ่ย พวกกลุ่มปราณเทวะนี้ช่างเห็นแก่ตัวจริง ๆ พวกเขาเอาภารกิจมากมายไปแบบนั้นแล้วพวกเราจะทำยังไง!” ศิษย์คนอื่นเริ่มบ่นพึมพำ
“อย่ากล่าวเสียงดังนักสิ หากพวกเขาได้ยินเจ้าจะลำบากเอา!” เสียงใครบางคนคอยเตือน
“พี่ท่าน พวกเขามักจะเอาภารกิจไปแบบนี้นะหรือ?” หลินเซวียนเอ่ยถามคนด้านข้าง
“ใช่ ไม่ใช่แค่พวกเขานะ แต่พวกกลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจก็มักจะทำเช่นนั้น น้องชาย ข้าคิดว่าเจ้าคงไปทำให้กลุ่มปราณเทวะขุ่นเคืองเข้าล่ะสิ ข้าแนะนำให้เจ้ารีบขอขมาพวกเขาดีกว่า มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องอยู่ไม่สุขในภายหลังแน่!”
หลินเซวียนยิ้มแต่ไม่กล่าวสิ่งใด จางปิ่นต้องการสังหารเขา แล้วจะให้เขาไปขอโทษงั้นหรือ?
“พี่ชายท่านนี้ ข้าไม่ทราบว่ามีพรรคย่อยอะไรในสำนักชั้นนอกบ้าง? พอจะบอกกล่าวสักหน่อยได้หรือไม่?” หลินเซวียนกล่าว
“อ๊ะ…!” ชายหนุ่มส่ายหัวและไม่กล้าจะพูดกับหลินเซวียนต่อ เขารีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที
“ศิษย์ใหม่ ไม่ต้องตกใจหรอก เขาแค่กลัวว่าจะใกล้ชิดเจ้ามากเกินไป แล้วกลุ่มปราณเทวะจะมาหาเรื่องเขา” เสียงใครบางคนดังขึ้นจากด้านข้าง
หลินเซวียนหันไปมอง เขาเห็นชายหนุ่มร่างผอมยืนกอดอกและเผยรอยยิ้มอยู่
“แล้วท่านไม่กลัวหรือ?” หลินเซวียนเอ่ยถามกลับ
“ข้าไม่กลัวหรอก ข้ารู้สึกรำคานและอึดอัดที่เห็นพวกมันเห่าหอนอยู่ได้ทั้งวัน!” ชายร่างผอมตะคอกขึ้นดัง
“ข้ามีนามว่าหลินเซวียน ให้ข้าเรียกศิษย์พี่ผู้กล้าท่านนี้ว่าอะไรดี?”
“ข้าหลัวอี้… เจ้าต้องการรู้จักพรรคย่อยในสำนักนี้สินะ? ข้าจะบอกเจ้าเอง”
“อันที่จริง พรรคพวกนี้ไม่ใช่ของสำนักชั้นนอกหรอก แกนหลักของพวกเขาคือศิษย์ชั้นใน หรือบางคนยังเกี่ยวข้องกับศิษย์สายตรงด้วย สำหรับพวกชั้นนอกนี้ใช้เพื่อค้นหากองกำลังใหม่เท่านั้น”
“มันมีอยู่สามพรรคใหญ่ตอนนี้ พรรคเทพสงคราม พรรคปราณเทวะ และพรรคอาภรณ์หยก ศิษย์มีฝีมือส่วนใหญ่ของสำนักซวนเทียนจะอยู่ในสามกลุ่มนี้ ส่วนคนที่เหลือจะเป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่มาจากตระกูลหรือเป็นสหายกัน พวกเขามักจะตั้งกลุ่มเพื่อทำภารกิจบางประการเท่านั้น”
“ในพรรคที่งสามนี้ พรรคเทพสงครามและพรรถปราณเทวะนั้นจะโด่งดังทัดเทียมกัน ส่วนพรรคอาภรณ์หยกนั้นจะดูลึกลับเล็กน้อย กล่าวกันว่า พรรคอาภรณ์หยกนั้นถูกก่อตั้งโดยสตรีที่เลอโฉมอย่างมาก แต่โชคร้ายที่ไม่เคยมีใครพบเห็นนางมาก่อน”
“แน่นอนว่าการจะเข้าร่วมหนึ่งในสามพรรคนั้นต้องแข็งแกร่งพอตัว ศิษย์น้องผู้นี้ หากเจ้าพอจะมีความแข็งแกร่ง เจ้าสามารถมาร่วมกับพรรคของข้าได้นะ” ชายร่างผอมกล่าว
“ดูเหมือนศิษย์พี่หลัวจะอยู่พรรคเทพสงครามสินะ” หลินเซวียนยิ้ม “ข้าชอบที่จะอยู่อย่างอิสระ และไม่ต้องการเข้าร่วมกลุ่มใด”
หลัวอี้คิดว่าหลินเซวียนคงจะกังวลในความแข็งแกร่งของตนจึงกล่าวมาเช่นนั้น เขาตบไหล่หลินเซวียนก่อนจะกล่าว “หลังจากนี้ หากพวกปราณเทวะมันมาหาเรื่องเจ้าอีก เช่นนั้นก็เอ่ยนามของข้าได้เลย“
หลังจากการสนทนา หลัวอี้ได้หันหยิบใบภารกิจก่อนจะเดินจากไป
ภารกิจมากมายถูกพวกปราณเทวะดึงไปจนเกือบหมด มันจึงเหลือภารกิจอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลินเซวียนควานหาอยู่ครึ่งวันก่อนจะพบภารกิจที่น่าพึงพอใจ