ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 70
ตอนที่ 70 พื้นที่มิติวิญญาณ
“ภายในของหอบ่มเพาะพลังนั้นถูกแบ่งเป็นหลายพื้นที่ บางพื้นที่เต็มไปด้วยไอพลังวิญญาณ หากนั่งบ่มเพาะพลังภายในพื้นที่นั้น มันจะได้ผลมากกว่าด้านนอกหลายเท่า อีกทั้งยังมีพื้นที่แรงโน้มถ่วงที่สามารถปรับเปลี่ยนสภาพน้ำหนักขณะฝึกฝนได้”
เย่ฉิงแนะนำขณะเดิน “แต่มันก็ยังมีบางพื้นที่ที่เร้นลับอยู่… บางห้องก็เหมือนกับโลกจริง ๆ ของเรา มันมีสัตว์ทรงพลังมากมาย และมีศิษย์ที่ชอบเข้าไปท้าทายภายในนั้น“
“ข้าเดาว่าเจ้าคงจะไปพื้นที่แรงโน้มถ่วงสินะ เพราะเจ้าเพิ่งเข้าสำนักชั้นในมาได้ไม่นาน ดังนั้นที่เจ้าต้องการมากที่สุดก็คือเพิ่มความแข็งแกร่ง”
หลินเซวียนลูบคางขณะฟัง กล่าวตามตรงเขาสนใจพื้นที่เร้นลับมากกว่า
“พี่หญิงเย่ ข้าไม่ทราบว่าพื้นที่เร้นลับเป็นยังไงหรือ?”
“เจ้านี่นิ!” เย่ฉิงขมวดคิ้ว “เจ้าเพิ่งเข้ามาสำนักชั้นใน แต่อยากจะลองพื้นที่เร้นลับแล้ว! ได้ ข้าจะพาเจ้าไปดู เจ้าจะได้ล้มเลิกความคิดนี้”
เย่ฉิงพาหลินเซวียนไปยังชั้นที่สามของหอบ่มเพาะพลังและเดินไปยังห้องว่างห้องหนึ่ง
หลังจากหลินเซวียนและเย่ฉิงเข้าไป เสียงระเบิดก็ได้ดังขึ้น
ภายในห้องนั้นดูธรรมดาอย่างมาก ที่แปลกไปก็แค่เขตอาคมแปลกประหลาดภายในนั้น เย่ฉิงชี้ไปยังเขตอาคมสีดำก่อนจะกล่าว “เจ้าไปนั่งที่นั่น จากนั้นเอาจี้หยกประจำตัวใส่เข้าไปในร่อง“
หลินเซวียนทำตามทันที จากนั้นเขาเริ่มเห็นแสงบนเขตอาคมเริ่มส่องประกายก่อนจะเข้ามาปกคลุมตัวเขา
ขณะเดียวกัน เขารู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังสั่นทั้งร่างก่อนจะถูกดึงเข้าไปในสถานที่เร้นลับ
……
ขณะที่หลินเซวียนกำลังลองทดสอบดูพื้นที่เร้นลับ กลุ่มของศิษย์ชั้นในกลุ่มหนึ่งก็ได้กลับมายังสำนักแล้ว
ศิษย์ชั้นในกลุ่มนี้ได้กลับมาจากการทำภารกิจ และหนึ่งในนั้นยังรวมถึงจางเฉียน พี่ชายของจางปิ่น!
ชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมผู้นี้โกรธอย่างมากเมื่อได้ยินว่าน้องชายถูกสังหาร เมื่อทราบว่าฆาตกรได้เข้ามายังสำนักชั้นในแล้ว มันยิ่งทำให้เขาคลั่งขึ้นกว่าเดิม
“หลินเซวียน! ข้าจะฆ่าเจ้า!” จางเฉียนเผยใบหน้าที่โกรธแค้น
การกลับมาของจางเฉียนทำให้ทุกพื้นที่ในสำนักชั้นในลุกเป็นไฟ ศิษย์ชั้นในเกือบทุกคนได้ทราบข่าวนี้กันทันที อีกทั้งเมื่อทราบว่าหลินเซวียนยังได้อันดับหนึ่งในการทดสอบเข้า มันยิ่งทำให้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอดูอย่างมาก
แต่คนส่วนก็คิดแค่จะไปดูละครเท่านั้น เพราะพวกเขาไม่คิดว่าศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักชั้นในมาได้จะสู้กับศิษย์รุ่นพี่อย่างจางเฉียนไหว
ส่วนหลินเซวียนนั้นยังไม่ทราบสถานการณ์ข้างนอก เขากำลังงมอยู่ในพื้นที่มิติอยู่ตอนนี้
หลังจากแสงสีขาววูบวาบไปมา หลินเซวียนก็พบว่าตนได้มาอยู่ในพื้นที่แปลกประหลาดแล้ว มันเป็นเหมือนเขาวงกตอวกาศที่มีกำแพงยาวอยู่ตลอดเส้นทาง
“ช่างประหลาดนัก” หลินเซวียนอุทานขึ้น
“ฮือ? ร่างกายของเรา!” ทันใดนั้นใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนไป เขาพบว่าจี้ดาบที่อยู่ในร่างกายไม่ได้อยู่ในตัวแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาแทบจะหมดสติไปชั่วครู่
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ทันใดนั้นขณะที่กำลังหมดสติ แสงดาบสามเล่มได้ปรากฏขึ้นพร้อมแทงไปยังจุดสำคัญของเขา
ทันใดนั้นมันทำให้เขาได้สติกลับมา เขารีบใช้ก้าวอัสนีเพื่อทิ้งร่างเงาไว้ทันที ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะหลีกเลี่ยงการสังหารที่อันตรายได้อย่างหวุดหวิด
ดาบทั้งสามเล่มแทงโดนแค่อากาศเท่านั้น จากนั้นร่างทมิฬสีดำได้เดินออกมาจากมิติและมองหลินเซวียนอย่างเย็นเยือก
“นอกจากจะเป็นพื้นที่แปลกประหลาดแล้ว วิชาดาบยังแปลกประหลาดด้วย!” หัวใจหลินเซวียนจมลงเล็กน้อย เขาพอจะทราบแล้วว่าเหตุใดเย่ฉิงถึงไม่อยากให้เขามาที่นี่ เพราะมันน่าสะพรึงเกินไป หากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
แต่หลินเซวียนก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้
“บางทีร่างกายของเราอาจไม่ได้เข้ามา แต่เป็นเพียงดวงจิตวิญญาณ!”
หลินเซวียนเดาไม่ผิด นี่คือพื้นที่มิติประหลาด อันที่จริง เย่ฉิงไม่ได้บอกเขาตรง ๆ เพราะนางต้องการจะสั่งสอนเขาเท่านั้น
“พื้นที่จิตวิญญาณ?” หลินเซวียนพยายามทำใจให้สงบขณะกล่าว “เมื่อไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งดาบ เราก็ไม่สามารถใช้เจตนารมณ์แห่งดาบได้ เราคงใช้ได้แค่ความสามานรถของตนเองเท่านั้น”
ทันทีที่นึกคิด ดาบยาวก็ได้ปรากฏขึ้นในมือ
“มันไม่มีขอจำกัดอะไรที่นี่ เราสามารถเล่นได้เต็มที่” หลินเซวียนหัวเราะขณะยืนมองดาบ
ร่างทมิฬสามคนตรงหน้าเป็นยอดฝีมือขั้นเปิดชีพจรระดับหก หากทั้งสามร่างนั้นร่วมมือกัน พวกเขาสามารสังหารขั้นเปิดชีพจระดับเจ็ดได้เลย
ทันใดนั้น ดาบทั้งสามเล่มได้เลื้อยมาราวกับงูภายในความมืด พวกเขากำลังรอโอกาสโจมตี มุมดาบนั้นคมกริบอย่างยิ่ง หลินเซวียนรีบใช้ก้าวอัสนีเพื่อหลบหลีก และเพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้ไปปรากฏตัวด้านหลังร่างทมิฬแล้ว
หลังจากประกายแสงสีทองปรากฏวูบขึ้น ร่างทมิฬคนหนึ่งก็ขมวดคิ้ว เพราะมันมีรูปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าอกก่อนที่จะล้มลงไป
ฉึก! ฉึก!
ขดาบอีกสองเล่มได้ปรากฏขึ้นและแทงทะลุร่างทมิฬอีกสองคนไปเช่นกัน
ถึงแม้จะไม่มีเมล็ดพันธุ์แห่งดาบอยู่ในตัว หลินเซวียนก็สามารถจำลองพลังของก้าวอัสนีได้อยู่สองสามจุด
ด้านนอกพื้นที่มิติ เย่ฉิงกำลังยิ้มอยู่ นางไม่ได้บอกหลินเซวียนเกี่ยวกับอาคมเร้นลับในห้องนั้น นางแค่อยากจะสอนบทเรียนให้หลินเซวียนเท่านั้น ตามการคาดเดาของนาง หลินเซวียนน่าจะแพ้ในไม่ช้านี้
แต่พอผ่านไปครึ่งก้านธูป ร่างหลินเซวียนก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด และเขายังอยู่ในพื้นที่จิตวิญญาณอยู่
“นี่มัน…”…” ปากของเย่ฉิงเริ่มเปิดขึ้นเล็กน้อย นางเดาว่าคงจะมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับอาคม มิเช่นนั้นนางจะอธิบายปรากฏการณ์ที่หยางเย่ยังไม่ได้ออกมาได้อย่างไร?
นางทราบดีถึงอาคมนี้ คู่ต่อสู้ในนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก อย่างแรก พวกเขาอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับหก อีกทั้งจำนวนยังจะเพิ่มขึ้นจากสามตัวจนถึงสิบตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็นขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ด
ตามที่นางคาดเดาไว้ หลินเซวียนคงจะผ่านแค่การลอบสังหารแรกเท่านั้น เมื่อจำนวนร่างทมิฬเพิ่มขึ้นเป็นสี่คน หลินเซวียนจะต้องพ่ายแพ้ แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นดั่งที่คิด
หลังจากรอมาได้ครึ่งชั่วยาม หลินเซวียนก็ได้กลับออกมา
เมื่อเห็นร่างของหลินเซวียนสั่นในเขตอาคม เย่ฉิงก็โล่งอกทันที นางกลัวว่าจะเกิดบางอย่างผิดปกติกับเขตอาคม
“เจ้าไปทำอะไรมา? เหตุใดถึงออกมาเอาป่านนี้?” เย่ฉิงสงสัย
“โอ้ ข้าก็พอจะมีฝีมือในการถ่วงเวลาคู่ต่อสู้นะ” หลินเซวียนได้บอกความเท็จไป เขาไม่ต้องการเปิดเผยอะไรมากนัก
อันที่จริงภายในพื้นที่จิตวิญญาณ หลินเซวียนได้พิชิตขั้นเปิดชีพจรระดับหกทั้งหมด และข้ามไปถึงร่างทมิฬขั้นเปิดชีพจระดับเจ็ด
แต่เรื่องแบบนี้มันน่ากลัวเกินไปที่จะพูด เขาเองก็ไม่ต้องการทำลายความรู้สึกใคร
“เป็นเช่นนั้นเอง” เมื่อได้ยินหลินเซวียน เย่ฉิงก็ถอนหายใจ
“ไปกันเถอะ พวกเราจะใช้เวลาที่เหลือทีหลัง” หลังจากดวงวิญญาณกลับมาเข้าร่าง เขาก็พบว่าเมล็ดพันธุ์แห่งดาบได้ใกล้ชิดกับตนมากขึ้น เป็นผลให้เขารู้สึกมีความสุขไม่น้อย
ทั้งสองได้ออกมาจากหอบ่มเพาะพลังและกำลังจะกลับที่พัก แต่ทันใดนั้นกลุ่มคนก็ได้เข้ามาล้อมรอบพวกเขาไว้
“เจ้าคือหลินเซวียนงั้นหรือ?” ชายหนุ่มที่พาดดาบไว้ด้านหลังกล่าวอย่างเย็นเยือก
“เจ้าหมายความว่าอะไร จางเฉียน?” เย่ฉิงเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
‘จางเฉียน!’ ม่านตาหลินเซวียนจมลง เขามองร่างตรงหน้าอย่างระมัดระวังทันที ทั้งตัวเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลจากชายตรงหน้า
‘ขั้นเปิดชีพจรระดับแปด!’ หลินเซวียนตกตะลึง แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง “ข้าคือหลินเซวียน เจ้าต้องการอะไรงั้นหรือ?”
การกระทำของหลินเซวียนทำให้ผู้คนรอบด้านชะงัก มันเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้กลัวจางเฉียนเลย ‘เขาพึ่งพาอะไรอยู่กันแน่?’
“เจ้าสังหารน้องชายข้าแล้วยังกล้ามาถามว่าต้องการอะไรอีกงั้นหรือ!?” จางเฉียนดูโกรธเกรี้ยวไม่ต่างจากพยัคฆ์คลั่ง เขาสามารถระเบิดออกมาได้ทุกเวลา
“แล้วตกลงเจ้าต้องการอะไรล่ะ?” หลินเซวียนขี้เกียจจะอธิบาย เพราะยังไง อธิบายไปก็ไร้ค่า
“ความตายต้องชำระล้างด้วยความตาย” เสียงของจางเฉียนเย็นยะเยือกราวกับสายลมหนาวในทิศเหนือ
“จางเฉียน เจ้ากล้าดียังไง! หลินเซวียนเป็นศิษย์ของมู่หรงเฉียนหลิงนะ!” เย่ฉิงเอ่ยเตือน
“ศิษย์ของมู่หรง!” ผู้คนรอบด้านมองหลินเซวียนอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนพวกเขาไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะได้ติดตามมู่หรงเฉียนหลิง
“ไอ้หนู ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่าไม่มีใครช่วยเจ้าได้!” จางเฉียนยังคงไม่ยอมแพ้
ดวงตาหลินเซวียนเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกเล็กน้อย เขาทราบว่ามันไม่มีห้องที่จะมานั่งเจรจากันอีก มีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะต้องจบชีวิตลง
“สามเดือนนับจากนี้ การประลองเดิมพันด้วยชีวิต เจ้ากล้าหรือไม่?” หลินเซวียนกล่าวอย่างหนักแน่น