ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 73
ตอนที่ 73 ศิษย์น้องเล็ก
เมืองอวิ๋นหลานนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตอวิ๋นโจว และยังมีความรุ่งเรืองอย่างมาก
หลินเซวียนและเย่ฉิงทะยานลงพื้นห่างจากประตูไม่ไกลนัก จากนั้นกระเรียนวิญญาณก็บินกลับไปยังสำนัก
เมื่อมองออกไปนั้นจะสามารถเห็นกำแพงเมืองอวิ๋นหลานได้อย่างชัดเจน กำแพงเมืองนั้นเป็นสีดำสนิทที่ทำจากศิลาทมิฬ มันแข็งแกร่งอย่างมาก
ตรงหน้าประตู มียามรักษาการณ์อยู่สองคนสวมชุดเกราะหนักสีทอง ลมหายใจของทั้งสองแข็งแกร่งมาก มันสูงกว่าของพวกหลินเซวียน
หลินเซวียนเดาว่าพวกเขาน่าจะอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปด หากอยู่ในสำนักซวนเทียน พวกเขาน่าจะอยู่สามสิบอันดับแรกได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความศิษย์สำนักซวนเทียนจะกระจอก เพราะช่องว่างระหว่างอายุยังมีอยู่
ศิษย์สำนักซวนเทียนนั้นอายุราวสิบแปดถึงยี่สิบปี แต่ความสามารถนั้นเลิศล้ำ ขณะเดียวกัน ยามรักษาการณ์ทั้งสองดูเหมือนอายุราว ๆ ยี่สิบห้าปีขึ้นไป
เมืองอวิ๋นหลานนั้นไม่เพียงแต่จะรุ่งเรือง ค่าผ่านทางก็ยังน่าตกตะลึงเช่นกัน หลินเซวียนและเย่ฉิงจ่ายเป็นจำนวนสามร้อยหินวิญญาณเพื่อผ่านเข้าไปในเมือง
เมื่อเข้าไปแล้ว รอบ ๆ นั้นมีชีวิตชีวาอย่างมาก มีคนเดินเท้าเข้ามาบ่อยครั้ง ครึ่งหนึ่งของพวกเขาเป็นนักสู้ ในหมู่ของพวกเขา จะมีทั้งศิษย์จากสำนักหรือบางคนก็เป็นคนพเนจร
“มากับข้า!” เย่ฉิงนำทางหลินเซวียนไปยังศูนย์กลางเมือง
ในจุดศูนย์กลางของเมือง มันเป็นราชวังขนาดใหญ่ซึ่งทอดยาวลงสู่ใต้ดิน
อีกด้านหนึ่งคือแท่นหินสูง มันสลักอักษรบางคำอยู่บนนั้น สังเวียนประลองยุทธ์!
หลินเซวียนพบว่ามีผู้ใช้พลังวิญญาณมากมายแถวนี้ บางคนยังมีระดับที่สูงหรือเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ คนธรรมดาคงไม่มีใครมาที่นี่แน่นอน
“พวกเจ้าทั้งสอง มีบัตรประลองยุทธ์หรือไม่?” ยามด้านหน้าที่สวมผ้าคลุมสีแดงเข้ามาหยุดพวกหลินเซวียน ลมหายใจของพวกเขาทรงพลังกว่ายามหน้าประตูเมือง
“พวกเราไม่มีบัตรประลองยุทธ์ แต่หลัวซิงชานคือศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา หากมีค่าใช้จ่ายอันใดสามารถไปเรียกเก็บกับเขาได้เลย” เย่ฉิงพูดอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก
“พวกเจ้าคือศิษย์สำนักเดียวกับคุณชายหลัว โปรดรอสักครู่” ยามคนนั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ดูเหมือนศิษย์พี่หลัวจะมีชื่อเสียงไม่น้อย!” หลินเซวียนสงสัยเกี่ยวกับศิษย์พี่ของตนเพิ่มขึ้น
“แน่นอน ศิษย์พี่หลัวไม่เพียงแต่เป็นศิษย์ชั้นในของสำนักซวนเทียน แต่ยังเป็นคุณชายจากหนึ่งในสี่ตระกูลหลัก กล่าวได้ว่าสนามประลองยุทธ์แห่งนี้เป็นผลงานของพวกเขาด้วย ดังนั้นมันจึงมีประโยชน์อย่างมากหากใช้ชื่อศิษย์พี่หลัวที่นี่”
หลินเซวียนประหลาดใจอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่หลัวคนนี้จะเป็นคนระดับสูง แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อคิดว่ามีศิษย์พี่เช่นนี้
สังเวียนประลองยุทธ์นั้นเปิดกว้างอย่างมาก และมันยังแบ่งได้หลายระดับ แต่มันจะค่อย ๆ ทอดยาวลงไปยังใต้ดิน
ชั้นแรกนั้นเหมือนกับห้องโถง มีสถานที่พักผ่อนมากมาย อีกด้านหนึ่งตรงม่านกำแพงไม่ไกลมากนัก จะมีเขตอาคมแสงสีเหลี่ยมอยู่และมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวภายในนั้น
หลินเซวียนมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเห็นชายหนุ่มสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนสังเวียน
มันยังมีชั้นที่นั่งเกือบเก้าชั้นให้ผู้ชมนั่งดูการต่อสู้ ผู้คนมากมายดูเหมือนจะพนันกับนักสู้ของตัวเองไว้เช่นกัน ภายในนั้นยังมีสตรีงดงามถือสุราแจกจ่ายไปมาระหว่างฝูงคน
“นี่คือ…” หลินเซวียนเอ่ยถามพลางมองไปยังภาพที่ฉายบนกำแพง
ภายในนั้นมันดูคล้ายกับพื้นที่มิติวิญญาณในหอบ่อมเพาะพลัง เย่ฉิงอธิบายว่า มันคือการต่อสู้จริง และคนทั้งสองก็เป็นคนจริง ๆ
หลินเซวียนตระหนักได้ทันทีเมื่อนึกถึงคำว่าสังเวียนประลองยุทธ์ ‘มันเป็นเช่นนี้เอง’ การต่อสู้ในพื้นที่เสมือนจริงทางจิตวิญญาณแบบนี้ ความตายจึงไม่ใช่ความตายที่แท้จริง เพียงแค่วิญญาณต้องทนทุกข์ทรมานจากความเหนื่อยล้าเท่านั้น
แต่ผลที่ได้รับจากมันนั้นจะซึมซับให้กับร่างกายอย่างเต็มเปี่ยม นั่นหมายความว่า การต่อสู้เอาเป็นเอาตายที่นี่จะสามารถกระตุ้นศักยภาพของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม
“มันคือสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมาก!” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
มนุษย์จะเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วได้ยังไง? ปิดประตูบ่มเพาะพลังงั้นหรือ? หากไม่ใช่เผ่าพันธุ์พิเศษหรือผู้ที่มีพรสวรรค์ หากปิดประตูบ่มเพาะพลังไปก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเพิ่มความแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม มีวิธีที่มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ได้ นั่นคือการต่อสู้!
สู้กับผู้ที่มีพลังทัดเทียมกัน สู้กับผู้ที่เหนือกว่า หรือสู้โดยการมีชีวิตเป็นเดิมพัน! สิ่งนี้สามารถกระตุ้นศักยภาพของผู้ใช้พลังวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ค่าใช้จ่ายที่นี่ก็แพงพอควรเช่นกัน เจ้าต้องใช้หินวิญญาณระดับกลางสองก้อนต่อวัน!” เย่ฉิงเอ่ยตัดความสุขของหลินเซวียน
“หินวิญญาณระดับกลาง!” หลินเซวียนประหลาดใจอย่างมาก เพราะหินวิญญาณระดับกลางนั้นมูลค่าสูงกว่าหินวิญญาณระดับต่ำมาก มันสามารถใช้หินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งพันก้อน เพื่อแลกหนึ่งหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อน กล่าวคือ การประลองที่นี่ต้องใช้ถึงสองพันหินวิญญาณระดับต่ำ!
“บัดซบ! เหตุใดมันถึงแพงนัก!” หลินเซวียนจับคางขณะกล่าว “หากชนะแล้วจะได้เงินตอบแทนสูงหรือไม่?”
“แน่นอน! หากสามารถชนะได้นะ!” เย่ฉิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบศิษย์พี่หลัว”
หลินเซวียนขมวดคิ้วด้านหลังเย่ฉิงขณะเดินไปยังชั้นล่าง
เมื่อลงมายังอีกชั้นหนึ่ง ภายในมันยังดูคล้ายกับห้องโถงด้านบน ชั้นใต้ดินนี้มีสถานที่สำหรับพักผ่อน แต่ผู้คนที่อยู่ชั้นนี้เห็นได้ชัดว่าฐานะสูงกว่าด้านบน
“อาเฟย! ศิษย์พี่หลัวอยู่ไหนหรือ?” เย่ฉิงเอ่ยถามคนดูแล
“เป็นน้องเย่ฉิงเอง รอสักครู่ ข้าจะพาคุณชายหลัวมาพบ” ชายหนุ่มนามอาเฟ่ยหายไปอย่างรวดเร็ว
พวกหลินเซวียนหาที่นั่งพัก ไม่นานสาวใช้ใบหน้างดงามได้เดินมาส่งอาหารและน้ำให้ เย่ฉิงเอนหลังกับเก้าอี้ก่อนจะหยิบผลไม้มากิน
หลินเซวียนมองไปยังภาพแสงบนกำแพงที่มีคนสองคนประลองกันอยู่
ถึงแม้จะไม่สามารถสัมผัสลมหายใจของคนทั้งสองได้ หลินเซวียนก็พอจะทราบจากพลังวิญญาณที่พวกเขาใช้ พวกเขาอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ด แต่ทั้งสองนั้นเก่งกว่าซือขุนมาก
พลังการต่อสู้ การเคลื่อนไหว และความแม่นยำนั้นน่ายกย่องอย่างแท้จริง ดวงตาหลินเซวียนเปล่งประกายราวกับลืมทุกสิ่งไปแล้ว
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้เดินออกมา ชายหนุ่มผู้นี้อายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี เขามีดวงตาที่เจิดจรัสราวกับดวงดารา คิ้วเป็นรูปดาบ ลักษณะดูกล้าหาญไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งยังมีแสงจาง ๆ รอบตัวราวกับเทพสงคราม
ชายหนุ่มไม่ได้เผยพลังวิญญาณแต่ก็มีพลังอันทรงพลังออกมาจากดวงตา
“ศิษย์น้องเย่ เป็นยังไงบ้าง?” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น
“ศิษย์พี่หลัว!” เย่ฉิงได้ยินเสียงนั้นก็กระโดดขึ้นด้วยความดีใจทันที “อาจารย์มู่หรงได้รับศิษย์อีกคนหนึ่ง ข้าจะพาท่านไปพบเขา”
“โอ้? ข้ามีศิษย์น้องเล็กอีกคนแล้วหรือ?” หลัวซิงชานหัวเราะ
“หลินเซวียน มานี้สิ มาคารวะศิษย์พี่หลัวก่อน!” เย่ฉิงเรียกหลินเซวียน
แต่หลินเซวียนดูเหมือนจะไม่ได้ยินนาง ดวงตาของเขายังคงจดจ้องไปยังภาพบนกำแพง สิ่งนี้ทำให้เย่ฉิงเม้มปากก่อนจะเดินตรงไปตบเขา
“ไม่เป็นไร!” ใครจะทราบว่าศิษย์พี่หลัวเป็นคนหยุดการกระทำของเย่ฉิง และเดินเข้าไปหาหลินเซวียนด้วยตัวเอง