ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 80
ตอนที่ 80 พลิกสถานการณ์
ทันใดนั้น ฝ่ามือก็ปิดทางหนีของหลินเซวียน
ฝ่ามือสีแดงเพลิงราวกับสุริยันได้ถูกกดลงเหมือนกับภูเขา
อาศัยแค่ก้าวอัสนี หลินเซวียนไม่สามารถหลบได้แน่นอน
“มีเพียงทางเดียว” หลินเซวียนเบิกเนตรกว้าง ถึงแม้เขาจะฝึกฝนมันทุกวัน แต่ก็ใช้มันเพียงน้อยครั้ง
“ดาบดาวตก!”
หนึ่งคน หนึ่งดาบ กลายเป็นลำแสงที่ทอดยาวราวกับดาวตกที่ส่องสว่าง
ฟูม!
ตู้ม!
อากาศระเบิดออกราวกับว่ามันถูกแบ่งครึ่งและสูญญากาศได้ก่อตัวขึ้นในรัศมีห้าก้าว
แสงสว่างวาบขึ้นและร่างของพวกเขาก็ปรากฏตัวราง ๆ
ตั้งแต่ท่อนแขนจนถึงหน้าอก มันเป็นรอยดาบเพลิงโลหิตฟันยาวลงมา ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเขาถูกเปิดออกจนเห็นกระดูก
เมื่อครู่ ดาบของหลินเซวียนเกือบจะผ่าเขาออกเป็นสองซีก
ใบหน้าชายชุดดำบิดเบี้ยว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยอาการหวาดผวา เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้ตกตะลึง ครั้งนี้เขาลงมืออย่างจริงจังแต่กลับได้บาดแผลหนักกว่าครั้งก่อน
หากเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงแม้เขาจะสังหารหลินเซวียนได้ เขาก็ต้องบาดเจ็บหนัก
หลินเซวียนเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน ถึงแม้เขาจะฟันชายชุดดำสำเร็จ แต่ก็ถูกฝ่ามืออัคคีนั้นด้วย กระดูกซี่โครงเขาหักหลายซี่ อีกทั้งภายในยังบาดเจ็บสาหัส
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงภัยคุกคามจนเกือบตาย
หลินเซวียนยืนขึ้นพร้อมชี้ดาบไปยังชายชุดดำตรงหน้า เวลานี้เขาไม่อาจแสดงความอ่อนแอได้ และต้องเข้มแข็งไปจนกว่าจะจบ เพราะมันจะทำให้ศัตรูประหม่า มิเช่นนั้นชายชุดดำคงจะโจมตีมาอีกแน่นอน
แน่นอนว่าเมื่อเห็นหลินเซวียนชี้ดาบมา ชายชุดดำก็ถอยออกไปถึงสองก้าว
“กลัวงั้นหรือ?” หลินเซวียนหัวเราะ เขาเห็นร่องรอยของความกลัวในดวงตาชายชุดดำ ผู้ที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปดกำลังกลัวผู้เปิดชีพจรระดับหก เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อหากไม่ได้มาเห็นด้วยตา
เมื่อเห็นหลินเซวียนเย้ยเยาะ ชายชุดดำก็กลับมาโกรธอีกครั้ง แต่เขายังคงมีความกลัวอยู่ในใจ ทุกอย่างเมื่อเทียบกับชีวิตของตัวเองแล้วย่อมไม่อะไรสำคัญไปกว่า
แน่นอนว่าเหมือนหลินเซวียนไม่คิดจะปล่อยเขาไป เพราะหากทำเช่นนั้นก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า สักวันเขาจะต้องย้อนกลับมาทำร้ายแน่นอน
“ไม่ต้องคิด ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าหนีหรอก” ร่างของหลินเซวียนสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเจิดจรัสราวกับดวงดาว ท่าทีของเขาไม่ต่างจากดาบชั้นดีที่กำลังจะออกจากฝัก
ทันใดนั้นม่านตาชายชุดดำก็แข็งกระด้างทันที เขาประหลาดใจในการตัดสินของหลินเซวียนอย่างมาก อีกทั้งยังรู้สึกตกตะลึงกับแรงกดดันที่แปลกประหลาด
แรงกดดันนี้มันเย็นเยือกจนทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
“เจตนารมณ์แห่งดาบ! แต่มันยังห่างไกลจากขั้นเริ่มต้น!” ชายชุดไม่มีกะจิตกะใจจะสู้อีก ตัวเขาสั่นราวกับลูกแมวใกล้จะตาย
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาดูลึกลับอย่างแท้จริง ครั้งแรกเขาถูกตัดแขนเพียงแค่ดาบเดียว แม้นั่นจะเกิดจากความประมาทก็ตาม แต่การโจมตีครั้งที่สองนั้นเขาโจมตีอย่างเต็มที่ แต่กลับถูกฟันกลับอีก และสุดท้ายเจตนารมณ์แห่งดาบ…
“ต้องหนีเท่านั้น!” นี่เป็นความคิดเดียวในหัวของชายชุดดำ
หลินเซวียนค่อย ๆ ยกดาบขึ้น พลังวิญญาณเริ่มเปล่งแสงสีทองอีกครั้ง
ชายชุดดำไม่รอช้าที่จะหันหลังหนี เขาเห็นว่าคลื่นพลังในมือของหลินเซวียนไม่ใช่ดาบ แต่เป็นสายฟ้าจากสวรรค์ทั้งเก้าที่พร้อมทำลายทุกสิ่งในโลก
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนที่ชายชุดดำจะสิ้นลม ดวงตาของเขายังมีความกลัวฉายอยู่ภายใน
หลินเซวียนปักดาบลงบนพื้นก่อนจะกระอักเลือดออกมา เขาเดินไปยังชายชุดดำเพื่อดึงแหวนเก็บของออกมาจากนิ้ว
การต่อสู้ครั้งนี้อันตรายที่สุดตั้งแต่เขาเริ่มก้าวเข้าสู่โลกของการต่อสู้ ไพ่ตายที่มีทั้งหมดถูกใช้จนเกลี้ยง มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจสังหารชายชุดดำได้
“นี่คือพลังของผู้ที่อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปดสินะ?” หลินเซวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงจางเฉียน ‘ในฐานะศิษย์มีฝีมือของสำนัก เราเกรงว่าจางเฉียนจะต้องเก่งกว่าชายชุดดำคนนี้อีก’
“แต่เรายังมีเมล็ดพันธุ์แห่งดาบ ตราบใดที่สามารถเข้าใจมั่นได้อย่างถ่องแท้ การสังหารจางเฉียนจะไม่ใช่ปัญหาอีก” หลินเซวียนไม่ได้กลัว แต่มันเต็มไปด้วยความคาดหวัง มีเพียงคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น ถึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากเก็บดาบ หลินเซวียนได้กินยาฟื้นฟูพลัง จากนั้นค่อยหาที่เงียบ ๆ พักฟื้น
พลังคงกระพันในร่างของเขาโคจรอย่างรวดเร็ว หลังจากทำให้ขั้นเปิดชีพจรระดับเจ็ดเสถียรได้ เขาก็เริ่มฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปหนึ่งวัน
ในเมืองอวิ๋นหลาน หลิงเจ๋อเดินออกมาอย่างวิตกกังวล ชายชุดดำที่ส่งไปนั้นหายไปทั้งวัน และยังไม่มีข่าวคราวใด สิ่งนี้จึงทำให้เขาไม่อาจสงบได้
“เราจะกังวลอะไร? ไอ้หนูนั่นอยู่แค่ขั้นเปิดชีพจรระดับหกจะหนีได้หรือ?” หลิงเจ๋อพยายามปลอบใจตัวเอง
แต่ยิ่งนานเข้าเขาก็วิตกอีก “หรือเขาจะปล่อยให้มันหนีไปได้จริง ๆ ?”
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ หลิงเจ๋อไม่เคยคิดว่าชายชุดดำจะถูกหลินเซวียนสังหาร เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้
“ลืมมันเถอะ เราจะทราบเองเมื่อเขากลับมา” ท้ายที่สุดหลิงเจ๋อก็ไม่อาจเมินเฉยได้ เขาเลือกที่จะกลับไปยังสำนักซวนเทียนเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของหลินเซวียน
ครึ่งวันหลังจากนั้น วิหคปีศาจได้พาหลิงเจ๋อและลูกน้องอีกสองคนกลับไปยังสำนักซวนเทียน
……
ภายในป่า หลินเซวียนค่อย ๆ ลืมตา บาดแผลในร่างของเขาดีขึ้นเจ็ดถึงแปดส่วน แม้แต่กระดูกที่หักก็ผสานกันและกลับมาเป็นปกติ
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกทึ่งในพลังคงกระพันขึ้นมาอีกครั้ง ในความคิดเขา มันไม่มีวิชาบ่มเพาะพลังวิญญาณใดยอดเยี่ยมไปกว่าวิชานี้แล้ว
จากนั้นหลินเซวียนยังไม่ได้รีบร้อนกลับสำนัก เขาพยายามนึกถึงสงครามเมื่อวานนี้ และซึมซับประสบการณ์
“วิชาดาบอัสนีแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็เริ่มตามพลังของเราตอนนี้ไม่ทันแล้ว” หลินเซวียนนึกถึงตอนอยู่สำนักชั้นนอก วิชาดาบอัสนีนั้นเป็นท่าโจมตีหลักของเขา แต่หลังจากขั้นพลังเพิ่มขึ้น รวมถึงวิชาดาบอัสนีฉบับที่เขาฝึกยังไม่สมบูรณ์ มันจึงทำให้เขาปล่อยพลังของมันได้ไม่น่าพึงพอใจนัก
“ก้าวอัสนีต้องพัฒนาขึ้นไปอีก และวิชาดาบดาวตกยังคงเป็นวิชาไม้ตายที่ดีที่สุด” หลังจากหลินเซวียนไตร่ตรองดูแล้ว เขาก็พบว่าตนยังขาดวิชาโจมตีอยู่
“กลับไปครั้งนี้เราจะต้องหาวรยุทธ์เพิ่ม และฝึกมันให้เชี่ยวชาญในทุกทาง” หลินเซวียนจับคางครุ่นคิด
ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาคือคุณสมบัติสายฟ้า มันถูกกลั่นเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับวิชาที่เกี่ยวกับสายฟ้า แต่ตอนนี้เขามีเมล็ดพันธุ์แห่งดาบที่มีคุณสมบัติสายฟ้าแล้ว และมันก็มีเหลือเฟือด้วย
ยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกว่าพลังคงกระพันมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง อาทิเช่นรวมพลังเข้ากับการฟื้นฟู จนมันสามารถฟื้นฟูได้รวดเร็วขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
“มันสามารถย้ายพลังสายฟ้าในร่างกายให้เข้าไปในเมล็ดพันธุ์แห่งดาบ แล้วเปลี่ยนพลังวิญญาณให้กลับมาเป็นธาตุปกติได้หรือเปล่านะ?” เมื่อนึกได้เช่นนี้ หลินเซวียนจึงคิดจะลองดู
อย่างแรกเขาเริ่มกระตุ้นเมล็ดพันธุ์แห่งดาบ เพื่อดูว่ามันสามารถดึงพลังสายฟ้าในตัวกลับไปได้หรือเปล่า
จากนั้นก็ได้เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นกับร่างกายของเขา