ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 81
ตอนที่ 81 ฝ่ามืออัสนี
เมล็ดพันธุ์แห่งดาบของเขาได้กลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ดูดกลืนสายฟ้าสีทองทั้งหมดในร่าง
กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ละครั้งที่สายฟ้าถูกดึงออกมาจากตัวหลินเซวียนนั้น มันจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างมาก กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม และมันทำให้หลินเซวียนต้องทรมานจนเลือดตาแทบกระเด็น
แต่ผลของความเจ็บปวดนี้ก็แลกมาด้วยผลลัพธ์ที่ดี พลังวิญญาณของเขากลับมาเป็นสีฟ้าดังเดิม อีกทั้งเมล็ดพันธุ์แห่งดาบยังใหญ่ขึ้นด้วย
“ฮืม? การดูดซับพลังสายฟ้านี้ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งดาบแข็งแกร่งขึ้นด้วยหรือ?”
หลังจากหลินเซวียนทำทุกอย่างหมด เขาก็ได้วิ่งกลับไปยังสำนักซวนเทียน
สองวันผ่านไป เขาก็มาถึงยังประตูทางเข้าสำนัก
“ใครกัน?” ศิษย์ที่เฝ้ายามอยู่ตะโกนขึ้น
หลินเซวียนได้เผยตัว เขายิ้มและแสดงตราในมือ
“ศิษย์ชั้นใน!” ผู้เฝ้าประตูประหลาดใจอย่างมาก เขารีบทำการคารวะพร้อมกล่าวด้วยเสียงเคารพ “คารวะศิษย์พี่!”
หลินเซวียนก้าวผ่านประตูพร้อมถอนหายใจ สามเดือนก่อนเขาต้องพยายามอธิบายอย่างยากลำบากกับศิษย์เหล่านี้ แต่ปัจจุบันหลังจากเข้าไปยังสำนักชั้นในได้แล้ว เขาก็กลายเป็นศิษย์พี่คนพวกนี้ทันที
หลินเซวียนเดินเข้าไปสำนักอย่างภาคภูมิใจ
ภายในสำนัก หน้าลานที่เงียบสงบ มีสตรีผู้หนึ่งกำลังเดินวนไปมาอย่างกังวลใจพร้อมบ่นพึมพำ
“ศิษย์น้องหลินคนนี้หายไปสามวันแล้ว เราไม่รู้ว่าควรจะถามศิษย์พี่หลัวอีกดีหรือไม่? หากวันนี้ยังไม่มา เราจะไปรายงานอาจารย์มู่หรง!”
สตรีผู้นั้นคือเย่ฉิง นางกลับมาถึงสำนักเมื่อสามวันก่อน แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินเซวียน ระหว่างช่วงเวลานี้ นางได้ติดต่อศิษย์พี่หลัวเพื่อถามว่าหลินเซวียนกลับไปหรือไม่ แต่คำตอบก็คือไม่มีใครมายังเมืองอวิ๋นหลาน
สิ่งนี้ทำให้เย่ฉิงยิ่งวิตกกังวลมากกว่าเดิม นางคาดว่าหลินเซวียนคงประสบอุบัติเหตุเข้าแน่
หลังจากกระทืบพื้น เย่ฉิงได้หันหลังพร้อมจะพุ่งออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
แต่เพียงไม่นานนางก็อุทานออกมา “ศิษย์น้องหลิน เจ้ากลับมาแล้ว!”
หลินเซวียนชะงัก เขาไม่คาดคิดว่าเย่ฉิงจะมารออยู่หน้าบ้าน แต่ไม่นานเขาก็พอจะคิดออก มันเป็นเพราะเย่ฉิงที่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา เมื่อนึกได้เช่นนี้เขาจึงรู้สึกอุ่นใจ
“เหตุใดพี่หญิงเย่ถึงมาอยู่ที่นี่? ท่านต้องการอะไรหรือเปล่า?” หลินเซวียนแกล้งทำเป็นโง่
“เจ้า!” เย่ฉิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าหายไปไหนมาตั้งสามวัน ข้าคิดว่าเจ้าถูกสัตว์อสูรกินไปแล้ว!”
หลินเซวียนเหงื่อแตกและไม่รู้จะอธิบายยังไง “ข้าหลงทาง“
เย่ฉิงย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นท่าทีของหลินเซวียนไม่เป็นอะไร นางจึงทำได้แค่กัดฟันแน่น
“ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้อาจารย์มู่หรงมีอะไรจะสอน อย่ามาสายล่ะ” หลังจากนั้นเย่ฉิงก็จากไป
“สอน?” หลินเซวียนรู้สึกดีใจ แต่เดิมเขาต้องการจะไปหาอาจารย์มู่หรงให้ชี้แนะอยู่แล้ว
เมื่อกลับเข้าไปในบ้าน หลินเซวียนก็นอนพักผ่อนทันที แม้ว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาจะยังอยู่ในสภาพที่ดี แต่การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการต่อสู้เอาเป็นเอาตายก่อนหน้านี้ มันทำให้วิญญาณและสมองของเขาเหนื่อยล้าอย่างมาก
หากตึงเกินไปอีกนอกเขาอาจจะระเบิดได้ มีเพียงการพักผ่อนเท่านั้นที่เป็นหนทางที่ดีที่สุด
ในกลางดึกสงัด หลินเซวียนกำลังนอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง เขายื่นมืออกมาและนำแหวนจากชายชุดดำมาดู
เขาส่งกระแสจิตเข้าไปภายในนั้นทันที
มิติภายในแหวนนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก และของก็ไม่ได้มีมากมาย ‘ดูเหมือนชายชุดดำผู้นี้จะไม่ได้มั่งคั่งเท่าไหร่นัก เพราะเขาเองก็เป็นแค่ลูกน้องเท่านั้น’
มันมีเพียงขวดยาฟื้นฟูสองสามขวด ดาบธรรมดาบสองเล่ม และวิชาที่เป็นเล่มสีดำหลายเล่ม
หลินเซวียนเปิดดู หนึ่งในนั้นคือวรยุทธ์ธรรมดา เขาไม่สนใจจึงโยนทิ้งไป อีกเล่มหนึ่งเป็นวิชาฝ่ามือ หลินเซวียนนึกถึงฝ่ามือของชายชุดดำ แล้วมันร้ายกาจดี ดังนั้นเขาจึงเปิดอ่าน
วิชานี้เรียกว่า ฝ่ามืออัคคี มันเป็นวิชาขั้นสีดำระดับต่ำ หลังจากฝึกฝนจนบรรลุ มันจะทำให้ฝ่ามือร้อนแรงราวกับเปลวไฟ มันทรงพลังและทำลายสิ่งของธรรมดาได้
ถึงแม้หลินเซวียนจะไม่มีคุณสมบัติไฟ เขาก็มีพลังสายฟ้าอยู่ เขาสามารถเปลี่ยนสถานะของฝ่ามือนี้เป็นฝ่ามืออัสนีได้
เขาต้องการวิชาที่ปรับใช้ได้ทุกเหตุการณ์ และการฝึกฝนวิชาต่อสู้อย่างอื่นก็เป็นสิ่งที่ดีต่อทักษะดาบของเขาด้วย ยิ่งกว่านั้น ดาบยังเป็นเพียงส่วนเสริมของแขน
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นของวิชา ก่อนอื่นให้ใช้ฝ่ามือชุบอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อ งเพื่อให้สามารถทนต่อความร้อนของเปลวไฟได้ เมื่อฝ่ามือไม่กลัวไฟที่มีอุณหภูมิสูง ก็สามารถฝึกกระบวนท่าได้
กระบวนท่านั้นแบ่งออกเป็นสามระดับ ระดับแรกนั้นคือการเปิดพลังไฟให้เชื่อมต่อกับฝ่ามือ กล่าวคือทำให้มือมีอุณภูมิสูงขึ้น ระดับที่สอง เงาฝ่ามือปกคลุมท้องฟ้า หลังการฝึกฝน ผู้ใช้จะสามารถปล่อยเงาของฝ่ามือได้ในพริบตา เงาของฝ่ามือจะจับตัวเป็นก้อน แต่ไม่กระจัดกระจายพร้อมกับความร้อนที่รุนแรง
ระดับที่สาม มันเรียกว่าฝ่ามืออัคคีอย่างเต็มตัว ฝ่ามือคือไฟ ไฟคือฝ่ามือ หลังจากฝึกฝนจนถึงระดับนี้ แม้แต่ดาบธรรมดายังละลายได้
เมื่ออ่านจบ หลินเซวียนก็เริ่มทำความเข้าใจ เขาลองเปรียบเทียบกับวิชาฝ่ามือนี้ดู และแทนพลังไฟเป็นสายฟ้า หลินเซวียนยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่เขาก็คิดว่ามันคงจะไม่แตกต่างกันมาก
เมื่อนึกได้เช่นนี้เขาก็อยากจะลองดู
สายฟ้าภายในเมล็ดพันธุ์แห่งดาบถูกโคจรไปที่ฝ่ามือ จากนั้นสายฟ้าจำนวนมากก็ไหลตามมา
‘สายฟ้าและเราคือหนึ่งเดียว เราพอเข้าใจเงื่อนไขแรกแล้ว ตอนนี้ต้องฝึกกระบวนท่า’ เขาจดจำกระบวนท่าทั้งหมดก่อนจะออกไปยังลานกว้างสำนักเพื่อฝึกฝน
บนฝ่ามือของหลินเซวียนมีประกายสายฟ้าไหลเวียนไปมา ทุกจังหวะที่เคลื่อนไหว มันจะมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นเบา ๆ ผลของมันนับว่าน่าตกใจ หลินเซวียนพยายามเหวี่ยงฝ่ามือดู เขาได้พบว่าตนเองเชี่ยวชาญระดับที่หนึ่งแล้ว
ความเป็นจริง มันยกเว้นแค่หลินเซียนเท่านั้น กล่าวได้ว่ามันยากสำหรับผู้อื่นที่จะเชี่ยวชาญได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ เพราะคนอื่นได้ใช้พลังวิญญาณของตนเอง ไม่ใช่ไฟของจริง แต่สายฟ้าของหลินเซวียนนั้นดูดซับมาจากโลก และเป็นสายฟ้าของจริง
สิ่งนี้ทำให้เขาเชี่ยวชาญวิชาการต่อสู้รวดเร็วจนผิดปกติ โดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับพลังสายฟ้า
“เงาฝ่ามือปกคลุมฟ้าดิน!” มือของหลินเซวียนสร้างเงาสีทองตรงหน้าขึ้นมาทันที
ในระดับที่สาม เปลี่ยนฝ่ามือให้กลายเป็นสายฟ้า สิ่งนี้เขาต้องไตร่ตรองสักสองสามวัน
“เราจะเรียกมันว่าฝ่ามืออัสนีก็แล้วกัน” หลินเซวียนเปลี่ยนชื่อให้ฝ่ามือ จากนั้นก็ฝึกต่อเพื่อเสริมพลังให้ฝ่ามือนี้อย่างต่อเนื่อง
เขาฝึกไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่า แสงอาทิตย์ได้โผล่ขึ้นมาจากทิศตะวันออกแล้ว
หลินเซวียนหยุดเคลื่อนไหวและหันไปมองดวงอาทิตย์ เขาค่อย ๆ โคจรพลังคงกระพันในร่างกาย เมื่อแสงตะวันส่องมา มันมีแสงพลังสีม่วงฉายมารอบตัวเขา แสงสีม่วงนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกฝนของผู้ฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นนักสู้จำนวนมากจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกในเวลานี้และฝึกฝนทักษะของพวกเขา
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า หลินเซวียนก็หยุดโคจรพลังคงกระพัน เขาต้องกลับไปทานอาหารเช้าและไปหาอาจารย์มู่หรง วันนี้คือครั้งแรกของเขาที่จะได้ฝึกฝนกับอาจารย์ แน่นอนว่าในใจเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น