ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 85
ตอนที่ 85 วันนัดประลอง
“ไม่พอ?” หลินเซวียนขมวดคิ้ว ‘ความแข็งแกร่งของเราตอนนี้สามารถเอาชนะผู้อยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับแปดได้ แต่มันยังไม่เพียงพองั้นหรือ?’
“ขั้นพลังของจางเฉียนอยู่ระดับแปดและใกล้จะบรรลุแล้ว อีกอย่าง เขายังมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ถึงแม้เขจะสู้กับยอดฝีมือขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
“และในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้ปรากฏตัวเลย กล่าวได้ว่าเขาอาจจะบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าไปแล้ว และจะเข้าสู่การทดสอบเป็นศิษย์สายตรงอีกไม่นานนี้”
“ทดสอบศิษย์สายตรง?” หลินเซวียนผงะ เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมคนอื่นถึงมองเขาแบบนั้นมาตลอด เพราะจางเฉียนนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
“ข้าจะสอนวิชาดาบที่ช่วยป้องกันตัวให้ตอนนี้ ถึงแม้มันจะไม่เพิ่มพลังโจมตี แต่ก็ช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น” อาจารย์มู่หรงกล่าว
“วิชาดาบป้องกันตัว?” หลินเซวียนใจเต้นแรงทันที ‘เพราะอาจารย์อยากจะสอนวิชาเรานี้เอง ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงเรียกพบแค่เรา’
“มันยังมีเวลาอีกหนึ่งวันที่จะฝึกฝน และมันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้า”
มู่หรงเฉียนหลิงได้แสดงวิชาดาบป้องกันตัว พลังวิญญาณของนางกลายเป็นคลื่นสีม่วงห่อหุ้มร่างกาย
ปราณดาบนั้นเป็นพลังโจมตีที่ร้ายกาจ แต่หากนำมาใช้ป้องกันก็มีประสิทธิภาพไม่น้อย
หลินเซวียนจดจ้องรายละเอียดทั้งหมดและเขาก็จำวิถีของดาบได้อย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนพรสวรรค์ด้านดาบของเจ้าจะไม่เลวเลย!” มู่หรงเฉียนหลิงเผยอาการประหลาดใจ
เมื่อลามู่หรงเฉียนหลิงแล้ว หลินเซวียนก็กลับมายังที่พักอีกครั้ง เขาเริ่มศึกษาวิชาดาบป้องกันตัวทันที
วิชาดาบนี้เรียกว่า ปราณดาบคุ้มภัย มันจะแบ่งออกเป็นสามระดับ ระดับหนึ่งปราณดาบกลายเป็นสีเขียว ดาบธรรมดานั้นยากที่จะทะลวงเข้ามา ระดับที่สอง ปราณดาบกลายเป็นสีม่วง มันสามารถป้องกันการโจมตีระดับเดียวกันได้ อีกทั้งยังมีโอกาสจะโต้กลับคู่ต่อสู้
ระดับที่สาม ปราณดาบเปลี่ยนเป็นสีแดง สามารถป้องกันวิชาระดับสูงได้ และช่องว่างระหว่างขั้นต้องไม่เกินกว่าสองขั้น
กล่าวคือ หากหลินเซวียนสามารถฝึกมันได้ถึงระดับสีแดง เขาจะป้องกันการโจมตีของยอดฝีมือขั้นเปิดชีพจรระดับเก้าได้ หากใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ บางทีอาจจะตอบโต้กลับได้
“ปราณดาบของอาจารย์มู่หรงเป็นสีม่วง ดูเหมือนนางจะฝึกถึงระดับสอง เราไม่รู้ว่านางใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะได้ระดับนั้น?” หลินเซวียนค่อย ๆ ปิดตาลง
ตามเคล็ดวิชา หลินเซวียนค่อย ๆ เดินพลังวิญญาณบนเส้นทางลึกลับในร่างกาย ขณะเดียวกัน จี้ดาบของเขาก็เรืองแสงเล็กน้อย
ภายใต้การเรืองแสงระยิบระยับของจี้ดาบ เขาได้เดินพลังวิญญาณอย่างราบรื่น และจนสามารถสร้างปราณดาบคุ้มภัยได้
วิ้ง!
บนร่างของเขา ปราณดาบสีเขียวอ่อนได้โคจรรอบตัวทันที หากดูไกล ๆ จะเหมือนกับร่างของงูกำลังเลื้อยอยู่รอบตัวตลอดเวลา
หลินเซวียนยกนิ้วขึ้นมาทำเป็นรูปดาบ และเร่งพลังให้รุนแรงขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาได้หุบมือและนั่งลงขัดสมาธิ นี่เป็นครั้งแรกในการใช้ปราณดาบคุ้มภัย และผลของมันยอดเยี่ยมมาก แต่เขาก็ยังไม่ค่อยพึงพอใจนัก ในความคิดของเขา อย่างน้อยมันต้องไปให้ถึงระดับสองหรือถึงระดับหนึ่งแบบสมบูรณ์
ในช่วงเวลาพัก เขาค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับมันอย่างถี่ถ้วน ด้วยความช่วยเหลือของจี้ดาบในตัว เพียงครึ่งวัน เขาก็สามารถฝึกจนสามารถเปลี่ยนสีเขียวอ่อนให้กลายเป็นสีเขียวเข้มได้ กล่าวได้ว่าเขาบรรลุระดับหนึ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว
‘หากอาจารย์มู่หรงทราบ เราเกรงว่านางจะต้องร้องอุทานออกมาแน่’ มู่หรงเฉียนหลิงฝึกตั้งครึ่งเดือนกว่าจะได้ระดับนี้ แต่หลินเซวียนใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น ช่องว่างระหว่างพวกเขาแตกต่างกันอย่างมาก ทราบหรือไม่ มู่หรงเฉียนหลิงเคยเป็นศิษย์สายตรงมาก่อน และพรสวรรค์ของนางนับว่ายอดเยี่ยม แต่เมื่อเทียบกับหลินเซวียน พรสวรรค์ของนางดูเหมือนจะด้อยกว่าเขา
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะจี้ดาบในตัวของเขาด้วย มันทำให้หลินเซวียนกลายเป็นอัจฉริยะด้านดาบ
ตอนนี้พลังป้องกันของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เขาลองใช้ดาบโจมตีตัวเองดู ผลคือดาบกระเด็นออกไปทันที
หลินเซวียนครุ่นคิดต่อ ‘หากเราเสริมพลังสายฟ้าเข้าไปด้วยมันจะเป็นเช่นไร?’
เขาไม่สามารถฝึกให้ถึงระดับสองได้ในเวลาแค่นี้ ดังนั้นจึงลองใช้พลังสายฟ้าของตนดู เขารีบนำพลังสายฟ้าภายในตัวออกมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งดาบ
ด้านนอก ปราณดาบได้มีประกายแสงสีทองผสมอยู่ด้วย อีกทั้งยังส่งเสียง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ อยู่ตลอดเวลา
แต่หลินเซวียนกลับไม่ได้ดีใจ เพราะเขาพบว่าทั้งสองพลังนั้นแทบจะเข้ากันไม่ได้ เขาหาได้ท้อไม่ หลินเซวียนเริ่มศึกษาอีกครั้งและลองใช้ในทางอื่นดู
ท้ายที่สุดเขาก็ได้พบวิธีใช้มัน นั่นก็คือใช้สายฟ้าตอนป้องกันการโจมตีสำเร็จ
ด้วยวิธีนี้ คู่ต่อสู้จะไม่ทันเตรียมตัว นอกจากจะทำให้ตกใจแล้ว คู่ต่อสู้ยังจะถูกไฟฟ้าช็อตจนชาไปชั่วขณะ การตอบโต้กลับด้วยวิธีนี้นับว่าได้ผลไม่น้อย
หลังจากพยายามฝึกฝนอย่างหนัก เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันใหม่ได้มาถึงพร้อมแสงอาทิตย์ที่แหวกหมู่เมฆออกมา
ถึงแม้สภาพอากาศจะหนาวเย็น แต่บรรดาศิษย์ชั้นในต่างอยู่ในอารมณ์ร้อนรุ่ม
วันนี้คือวันที่หลินเซวียนและจางเฉียนจะได้สู้กันแล้ว ศิษย์ชั้นในหลายคนได้มารวมกันที่ลานประลองเป็นตาย
หลินเซวียนเดินมากับหลัวซิงชานและเย่ฉิงขณะไปรอที่ประตู
ระหว่างทางพวกเขาพบสายตามากมาย ทั้งความอยากรู้อยากเห็น ความเห็นอกเห็นใจ การดูถูก และการเยาะเย้ย
“พี่หลัวมาเช้าจังนะ!” หลิงเจ๋อเดินเข้ามาทักทายพร้อมมองหลินเซวียนอย่างเย็นเยือก
“นี่คือชายที่จะสู้กับพี่จางงั้นเหรอ? สภาพคงทุเรศไม่น้อยหลังจากขึ้นเวที!” หลิงเจ๋อและกลุ่มของเขาหัวเราะทันที
“หลีกทาง!” หลินเซวียนเผยใบหน้าเย็นเยือกขณะตะคอกกลับ
“กล้าขึ้นเสียงกับข้างั้นหรือไอ้หนู?” หลิงเจ๋อมองอย่างไม่พอใจ
เขาต้องการจะฆ่าหลินเซวียนมานาน ตอนนี้หลินเซวียนกำลังจะขึ้นเวทีประลองเป็นตาย เขาจึงอยากจะเห็นความสิ้นหลัง ความกลัว ความเสียใจจากหลินเซวียน แต่ผลที่ได้นั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก เพราะนอกจากหลินเซวียนจะสงบแล้ว เขายังกล้าตะคอกกลับ
“หลิงเจ๋อ อย่าไปสนใจมันเลย มันมีเวลาชีวิตเหลือไม่มาก ตอนนี้คงจะเป็นบ้าไปแล้วล่ะ” คนในกลุ่มเอ่ยขึ้น
“ฮึ! ไอ้หนู ข้าจะยิ้มให้ทันทีที่เจ้าตาย!” หลิงเจ๋อเดินจากไปพร้อมหัวเราะกับคนในกลุ่ม
“น้องหลิน เจ้า…” หลัวซิงชานและเย่ฉิงคิดกล่าวบางอย่างแต่ก็หยุดไว้ พวกเขาแนะนำหลินเซวียนหลายต่อหลายครั้ง แต่ผลตอบกลับมาก็คือไม่
“มั่นใจเถอะว่าข้าจะชนะ!” ดวงตาหลินเซวียนเผยรัศมีดาบออกมาก่อนที่ทั้งสามจะเดินเข้าไปยังลานประลอง