ดาบพิโรธสวรรค์ - ตอนที่ 96
ตอนที่ 96 พลังแห่งจิต
“ไม่นะ มันคือจ่าฝูงของด้วงหิน!” ใบหน้าเฟิงปู้ฟ่านเปลี่ยนสีทันที ทั้งจางเหาและหลิวหลานต่างตัวสั่นเทา
“หลีกทางไป!” หลินเซวียนยกดาบขึ้นพร้อมพลังสายฟ้าที่โคจรรอบด้าน
“น้องหลิน รีบหนีเร็ว ตัวจ่าฝูงของด้วงหินนั้นทัดเทียมกับขั้นเปิดชีพจรระดับเก้า นอกจากพลังป้องกันจะสูงแล้ว มันยังสามารถป้องกันวิชาขั้นสีดำได้อีกด้วย”
เฟิงปู้ฟ่านตะโกนขึ้นและคิดที่จะหนี
แต่ดูเหมือนหลินเซวียนจะไม่ได้ยิน ดวงตาของเขาเจิดจรัสก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้า
“ดาบดาวตก!”
พลังวิญญาณสีเขียวโคจรขึ้นรอบตัวเขาก่อนจะเสริมด้วยประกายแสงสีทองจากสายฟ้า จากนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งดาบในตัวของเขาเริ่มเปล่งแสง
มันราวกับอุกกาบาตที่ร่วงหล่นจากอวกาศ…
โฮกกกก!!
ร่างกายของด้วงจ่าฝูงแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ พลังวิญญาณรอบตัวของมันเริ่มสลายหายไป
จากนั้นไม่นาน รอยแตกได้ปรากฏขึ้นตรงกลางตัวของมัน อีกหนึ่งลมหายใจต่อมา ร่างของมันได้ถูกผ่าออกเป็นสองซีกทันที
“หลิน ศิษย์น้องหลิน…” เฟิงปู้ฟ่านตกตะลึงจนพูดไม่ออก จางเหาและหลิวหลานเองก็เช่นกัน
ด้วงจ่าฝูงนั้นเป็นสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพอย่างมาก ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการผ่ามันออกเป็นสองซีก อย่างน้อยก็ต้องใช้พลังโจมตีระดับมหาศาล!
หลินเซวียนร่วงลงบนกิ่งไม้ ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย
การโจมตีเมื่อครู่ เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ไม่เพียงแต่จะใช้วิชาดาบดาวตกแล้ว เขายังใช้การผสานธาตุระหว่างลมกับสายฟ้าเข้าไปด้วย
โฮ้!
การตายของด้วงจ่าฝูงนั้น ทำให้กลุ่มของด้วงหินที่เหลือเงียบไป แต่จากนั้นไม่นานพวกมันก็เริ่มเดือดพล่าน
ด้วงหินนับร้อยได้พุ่งเข้าไปที่ศพของด้วงจ่าฝูงอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นพลังวิญญาณได้พลั่งพลูออกมาจนพวกมันสู้กันเอง
“นี่มัน…” เฟิงปู้ฟ่านและคนอื่น ๆ ชะงักเพราะไม่รู้ว่าพวกมันกำลังทำอะไร
“พวกด้วงหินเหล่านี้กำลังแย่งศิลาอสูรในตัวหัวหน้า เจ้าสามารถหนีได้ตอนนี้แหละ!” เซียนสุราเอ่ยขึ้นข้างใน
หลินเซวียนยืนขึ้นบนกิ่งไม้และมองลงมา ศิลาอสูรขนาดเท่าลูกเกาลัดปรากฏขึ้นในตัวของตัวจ่าฝูง มันเป็นศิลาสีเขียวที่ส่องแสงเจิดจ้า
ฝูงด้วงหินกระโดดเข้าไปแย่งกันอย่างบ้าคลั่ง
“ไปกันเถอะ!” หลินเซวียนตะโกนออกมา
เฟิงปู้ฟ่านและอีกสองคนได้สติทันทีก่อนจะรีบตามหลินเซวียนไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งสองเส้นทางก็อยู่ในช่วงเวลาความเป็นตายไม่ต่างจากที่นี่
ฟานช่งนำกลุ่มของตนไปพบกับฝูงหมาป่าขนเพลิง หมาป่าขนเพลิงนับร้อยได้จู่โจมพวกเขาอย่างคลุ้มคลั่งเช่นกัน นอกจากนั้น ด้านข้างยังมีหมาป่าขนเพลิงตัวใหญ่ยืนอยู่ และมันกำลังปล่อยลูกไฟขนาดเท่าหัวมนุษย์ออกมา
ฟูม! ฟูม!
ลูกไฟนั้นราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กที่ปล่อยความร้อนไปรอบด้าน
“ศิษย์พี่ฟาน ช่วยข้าด้วย!” ศิษย์คนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างผวา
ฟานช่งหันไปมองและเห็นลูกไฟของหมาป่าขนเพลิงกำลังพุ่งไปทางศิษย์คนนั้น มันไหม้ร่างของเขาจนกลายเป็นขี้ถ้า
จากนั้นหมาป่านับร้อยได้บุกต่ออย่างบ้าคลั่ง
ไกลออกไปอีกเส้นทางหนึ่ง
หัวหน้าของกลุ่มนี้เป็นสตรีสวมชุดสีเขียวรูปลักษณ์งดงามกำลังถือพัดหยกอยู่ และกำลังต่อสู้กับกลุ่มมนุษย์อินทรี
“พี่หญิงฮูหมาน มนุษย์อินทรีมีมากเกินไป พวกเราควรยังไงดี?”
“มุ่งหน้าไปต่อ!” สตรีชุดเขียวเอ่ยขึ้น
จากนั้นพัดหยกในมือของนางได้เปล่งประกายสีเขียวเจิดจรัส และไม่นาน พัดทั้งใบเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
“ลมตัดวิญญาณ!”
สตรีผู้นั้นเล็งไปยังฝูงมนุษย์อินทรีตรงหน้า ทันใดนั้นลมพายุขนาดใหญ่ได้ก่อตัวขึ้น มันร่ายรำไปมาก่อนจะเข้าพัดทำลายทุกสิ่งรอบด้าน
มนุษย์อินทรีสี่ตัวได้ถอยหนีอย่างรวดเร็ว
ครึ่งวันต่อมา หลินเซวียนและกลุ่มของเขาได้มาถึงยังจุดศูนย์กลางของเมืองหลินซาน
อาคารบ้านเมืองต่าง ๆ ถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ตลอดทางมีเศษซากของมนุษย์และสัตว์อสูรอยู่มากมาย
หอเจดีย์ด้านหน้าพวกเขาอยู่ในสภาพยับเยิน สามชั้นด้านบนของมันถูกพังลงมา อีกทั้งตัวอาคารยังถูกทำลายไปเจ็ดถึงแปดจุด
ตรงประตูนั้นเต็มไปด้วยเศษซากหินและเลือด แต่ก็ยังเห็นตัวอักษรบนประตูได้ว่าเป็นหอสมุนไพรร้อยปี
“ที่นี่แหละ” หลินเซวียนและพรรคพวกค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ภายในหอสมุนไพรเองก็พุพัง มันถูกทำลายเกือบทุกส่วน พวกเขาได้หาที่ปลอดภัยเพื่อนั่งพักหายใจ
“โชคดีที่แม่ทัพเจิ้งลากพวกสัตว์อสูรออกไป มิเช่นนั้นคงไม่ง่ายที่จะเข้ามา” เฟิงปู้ฟ่านกล่าวขณะกินยาฟื้นพลัง
ถึงแม้พวกเขาจะไม่บาดเจ็บหนัก แต่ก็สูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย เมื่อเจอกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย พวกเขาดูจะสลดไปด้วย
ทั้งสี่คนกลืนยาฟื้นฟูพลัง จากนั้นจางเหาและหลิวหลานได้นั่งโคจรพลังเพื่อปรับลมหายใจ
หลินเซวียนเก็บขวดยาและนำแผนที่ออกมา
“ตามข่าวกรอง สมาชิกที่รอดตายของโถงสมุนไพรน่าจะซ่อนอตัวยู่ในห้องลับ และตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องค้นหาห้องลับ” หลินเซวียนถือแผนที่พร้อมมองไปรอบด้าน
ในตัวของเขา เสียงเซียนสุราได้ดังขึ้น “เสี่ยวเซวียน ใช้โอกาสนี้ ข้าจะสอนการใช้พลังจิตเบื้องต้นกับเจ้า“
หลินเซวียนมองไปยังคนทั้งสาม และเห็นว่าพวกเขากำลังพักฟื้นกันอยู่ จากนั้นเขาได้เอ่ยถามในใจ “อะไรคือการใช้พลังจิตงั้นหรือ?”
“พลังแห่งจิต คือพลังที่อยู่ในระดับขอบเขตแห่งวิญญาณ กล่าวง่าย ๆ ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแบ่งเป็นสองอย่าง หนึ่งคือวัตถุรูปธรรม อย่างที่สองคือสภาพวิญญาณ”
“พลังแห่งจิตของมนุษย์นั้นเปราะบางมาก เว้นแต่จะมีการบ่มเพาะพลังพิเศษ มันก็สามารถบรรลุการใช้พลังแห่งจิตได้”
“และเจ้าก็แตกต่างออกไป เจ้ามีจิตแห่งดาบอยู่ในตัว ดังนั้นพลังจิตจึงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป เมื่อพลังแห่งดาบของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น พลังแห่งจิตของเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นตาม”
“พลังจิตนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ข้าจะสอนการสำรวจแบบพื้นฐานและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน”
“ครั้งก่อนที่ข้าใช้ขอบเขตแห่งวิญญาณควบคุมพยัคฆ์ขาว มันก็เป็นหนึ่งในพลังจิตเช่นกันใช่หรือไม่?” หลินเซวียนถามกลับ
“ก็ไม่ผิด ครั้งก่อนนั้นเจ้าใช้พลังวิญญาณของตนข่มพลังวิญญาณของผู้อื่นโดยตรง ตอนนี้ข้าจะสอนวิธีใช้อย่างอื่น “
จากนั้นไม่นาน หลินเซวียนก็ได้รับคำชี้แนะของเซียนสุรา และเริ่มเพ่งกระแสจิตไปรอบด้าน
ภายใต้การรับรู้ของจิต ทุกสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้นมา ฉากทั้งหมดปรากฏขึ้นในใจของเขา อีกทั้งรายละเอียดทั้งหมดรอบตัวก็สามารถเข้าใจได้ชัดเจน
เขาพบว่าหลังเสาที่หัก มีประตูหินบานหนึ่งถูกหินหลายก้อนขวางไว้ หากไม่มองให้ดี จะไม่มีทางเห็นได้เลย
หลินเซวียนขยับปากเล็กน้อยก่อนจะเดินไป “หากข้าเดาไม่ผิด ตรงนี้น่าจะเป็นที่ซ่อน“
เฟิงปู้ฟ่านและคนอื่น ๆ ลืมตาขึ้นและเดินไปพร้อมขมวดคิ้ว
“ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราตอนนี้ มันยังเปิดประตูนี้ไม่ได้” เฟิงปู้ฟ่านกล่าว “ประตูหินนี้เป็นหินชนิดพิเศษ ข้าเกรงว่าต้องใช้ยอดฝีมือขั้นสมุทรวิญญาณขึ้นไปในการเปิด”
หลินเซวียนพยักหน้าเห็นด้วย หินนี้แข็งยิ่งกว่าเกราะของสัตว์อสูรด้วงหิน
“ไม่เป็นไร ยังมีกลุ่มอื่นอยู่ เมื่อพวกเขามาถึง พวกเราค่อยลงมือ” หลินเซวียนกล่าว “สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้คือฟื้นฟูพลังก่อน”
ทั้งสี่กลับไปนั่งยังจุดเดิมและเริ่มฟื้นฟูพลังต่อ
ผ่านไปครึ่งก้านธูป ร่างหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา