ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ - ตอนที่ 16
ในช่วงเวลาที่ฉันได้อยู่ที่สถาบันเวทมนตร์วิเวียนด้าสำหรับหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ความจริงที่น่ามหัศจรรย์มาหนึ่งสิ่งว่า
ข้าวที่นี้นั้นโคตรอร่อยเลยหละ
มื้อเที่ยงวันนี้ฉันซัดไปสามจานหลังจากที่พึงจะมาถึงโรงอาหารวิเวียนด้าไม่นาน
ฉันมองไปที่เหล่าขุนนางที่กำลังกลืนอาหารในจานของพวกเขาลงไปอย่างยากลำบาก
หากเปรียบเทียบตัวฉันกับคนอื่น ๆ บนโลกใบนี้แล้วหละก็ ฉันคงเป็นคนที่มีสัมผัสการรับรสที่เหมือนคนปกติทั่ว ๆ ไปในขณะที่เหล่าขุนนางทั้งหลายพบว่าอาหารที่นี่นั้นไม่น่าพึงพอใจเอาซะเลย
มันเป็นอกไก่เลี่ยน ๆ ,สเต็กที่มีความสุขระดับมีเดี่ยม และชีสเค้กที่เมื่อได้กินเข้าไปแล้วสติแทบจะหลุดลอยไปดาวอังคาร
โรงอาหารแห่งนี้นั้นให้บริการในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์และคุณสามารถที่จะเอาอาหารมาใส่จานคุณได้มากเท่าที่คุณต้องการแต่ไม่มีใครสักคนด้านข้างฉันที่ทำแบบนั้นดังนั้น
ปกติแล้วฉันจะใช้เวลาอยู่ที่นี้นานมากพวกเพื่อที่จะได้กินอาหารหลาย ๆ รอบแทนการตักทีเดียวพูนจาน
และวันนี้ก็เหมือนอย่างเคยในตอนที่ฉันได้เดินไปเติมจานที่เจ็ดของฉัน ฉันได้เห็นนักเรียนคนที่ได้มาถึงในตอนที่สายแล้วเพื่อที่จะกิน
อาราเซลลี ไลน์แคร
เธอเข้ามาที่โรงเรียนด้วยการเป็นนักเรียนระดับท็อป แต่โชคร้ายที่เธอต้องไปเผชิญหน้ากับฟิโอเลนคนที่ขัดขวางเธอไว้ในทุก ๆ ทาง และแม้กระทั้งในตอนนี้เหล่าศาสตราจารย์ทั้งหลายก็ได้หันหลังให้กับเธอแล้ว
เธอดูอ่อนแอเป็นอย่างมากและแม้แต่การเคลื่อนไหวของเธอก็ยังเชื่องช้าเพราะงั้นแล้วฉันเลยสงสัยว่านี้มันใช่เด็กคนเดียวกันกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนจริงรึป่าวเนี่ย
“เธอ ตอนนี้มันเลยเวลาแล้วนะ”
“อ้า…”
อาราเซลลีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ให้กับคำพูดของเชฟแล้วหยิบจานของเธอออกไป
ยังไงก็ตาม เธอเป็นคนที่ฝ่าฝืนกฎของช่วงเวลาการรับประทานอาหารเองดังนั้นแล้วมันเลยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ
เธอผงกหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วหันหลังกลับ
‘เยี่ยม…’
ฉันไม่ต้องใส่ใจเธอ
แต่เพราะอะไรบางอย่างฉันกลับรู้สึกเสียใจกับเธอนิดหน่อยแหะ
เด็กน้อยที่เป็นเหยื่อของตัวเอก
“อาราเซลลี”
“…ค่ะ?”
เธอหันหัวของเธอกลับไปในตอนที่เธอได้ยินเสียงฉัน
แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย
เป็นเพราะว่าภายใต้ดวงตาที่ซ่อนอยู่ของเธอมันยังคงมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ลุกโชนอยู่
เยี่ยม จะเป็นไปได้ยังไงกันหละที่คนเราจะกลายมาเป็นคนตายซากได้หลังจากผ่านมาแค่เดือนเดียว?
ถึงแม้ว่าจะได้สูญเสียความมั่นใจจำนวนมากไป แต่อาราเซลลีก็ยังคงเป็นอาราเซลลี
เป็นคนที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศคนที่จะกลายมาเป็นจอมเวทย์ในตำนาน
“บังเอิญว่าฉันเอาข้าวมาเยอะไปหน่อยนะ มากินนี้แทนไหม”
ฉันยืนจานของฉันไปให้เธอ
ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดไปจริง ๆ นะ
ฉันเอามาเกินกว่าสิบจานซะอีกถ้านับเจ็ดจานที่ฉันกินไปก่อนหน้านี้ด้วยนะ
“อ้า…”
ฉันไม่รู้ว่าอาหารพวกนี้จะถูกปากเธอหรือป่าวแต่นั้นก็ยังดีกว่าที่จะทนหิวหละนะ
ในจังหวะที่เธอกำลังลังเลว่าจะรับจานนี้ไปดีหรือไม่ ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า
“รายงานเรื่อง ‘หลักการวงจรที่หก’ ที่เธอเคยเขียนไว้มันก็ดีนะ แค่ขัดเกลาอีกนิดมันก็จะ ‘งดงาม’ เลยหละ”
มันรู้สึกตงิด ๆ นะกับสิ่งที่ฉันพึ่งไปพูดไป
นี่ฉันใช่คำว่า ‘งดงาม’ กับรายงานเนี้ยนะ?
ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าในความเป็นจริงฉันไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดว่ามันเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับอะไรกันแน่
อย่างไรก็ตาม
<หลักการวงจรที่หกจะได้เสร็จสมบูรณ์โดยตัวละครรองอาราเซลลีในอีกสามเดือนนับจากนี้>
นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้พูดออกไปแบบนั้น
“ข….อบคุณค่ะ”
“ใช่แล้วหละ เธอควรจะกินมันเยอะ ๆ และเรียนตั้งในเรียนให้มากขึ้นนะฉันไปก่อนหละ”
ฉันหันกลับไปและออกไปจากโรงอาหาร
ด้วยเหตุผลบางประการ ฉันกลับรู้สึกไม่ค่อยดีเอาซะเลย
……………………………………………………..
หัวข้อหลักที่ฉันได้สอนในคลาสของฉันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เวทมนตร์การต่อสู้ และแทนที่จะสอนไปในทางทฤษฎี ฉันเน้นการสาธิตแบบจริง ๆ ซะมากกว่า
ทำไมทำงั้นนะหรือ?
ก็เพราะว่าฉันไม่เข้าใจทฤษฎีไงหละ
และนักเรียนที่นี้ก็เป็นมนุษย์เช่นกันจากเหตุผลทั้งหมดแล้วพวกเขาจะต้องชอบการลงมือปฏิบัติจริงมากกว่าการอ่านหนังสืออยู่แล้วนะซิ
ด้วยเหตุผลนี้ ฉันเลยเป็นศาสตราจารย์ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมเลยหละ
ฉันสันนิฐานได้ว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมครูสอนพละถึงเป็นที่นิยมมากที่สุดในโรงระดับประถมยังไงหละ
“ศาสตราจารย์! ในที่สุด เวลบัน ก็ยิงมานาได้แล้วครับ!”
‘บ้าน่า’
ในบางครั้งก็มีนักเรียนบางคนที่สร้างความประหลาดใจให้กับฉันหลังจากคาบการบรรยายของตัวฉันเองเพราะว่าพวกเขาได้ใช้เวทมนตร์ที่ดูเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดจากการรวมของวิทยาศาสตร์
มันเหมือนกับที่ว่า ทำไมกล้องอีเทอร์ที่ใช้เก็บอุปกรณ์ของฉันที่ทำมาจากวิทยาศาสตร์แต่กลับดูเหมือนว่ามันเป็นของที่เกิดจากการรวมกันของเวทมนตร์แทน
แต่มันจะโอเคแน่หรือที่จะเผยแพร่วิทยาศาสตร์ในโลกของเวทมนตร์แบบนี้หนะ?
<มันจะไม่มีทางที่จะไม่มีปัญหาแน่นอนแต่มันก็ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความเสียหายที่ตัวเอกทำให้กับโลกใบนี้แน่นอน>
มันน่าโล่งในที่ได้ยินเป็นแบบนั้น
งั้นแล้วฉันเลยกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะขโมยเวทมนตร์ไปจากที่นี่ได้และปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าหากฉันถูกจับได้
ยังไงซะฉันก็ไม่ได้จะกลับมาที่นี่อยู่แล้ว
ฉันค่อย ๆ หันกลับไปมองที่นักเรียนสี่คนที่กำลังฝึกฝนเวทมนตร์ที่ด้านข้างอย่างช้า ๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาหรือความบังเอิญที่อาราเซลลี,กูริม,เมซลอน และฟิโอเลนได้มาลงเรียนในคลาสของฉันกับทุกคนเลย
ดังนั้นแล้วในตอนที่ทำการบรรยายในคลาสมันเลยทำให้ฉันเครียดขึ้นมาเลยหละ
เพราะว่าฉันกำลังพยายามที่จะคาดเดาความสามารถในการต่อสู้ของฟิโอเลนออกมานะสิ
‘มันเป็นไม่ได้เลยที่จะยิงเขา’
ในตอนนี้มันมีวงจรเวทมนตร์ขึ้นที่ 4 บนหัวใจของฟิโอลอนไปเรียบร้อยแล้ว
ขั้นที่ 4 และวงจรเวทมนตร์ที่สูงกว่านี้จะถูกเรียกว่า ‘การร่ายเวทย์’ และสามารถที่จะเปิดการใช้งานได้ในทันที
ถ้าอ้างอิงกับคำพูดในยุคปัจจุบันหละก็ มันคงต้องพูดว่าเขาได้ ‘โหลด’ เวทมนตร์ไว้แล้ว
นักเวทย์ส่วนมากมีแนวโน้มที่จะร่ายเวทย์ป้องกันที่สามารถที่จะร่ายออกมาได้ในทันทีเมื่อได้รับการโจมตี
ตั้งแต่ที่ฉันไม่ได้มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องจากเจาะทะลุการป้องกันด้วยปืนของฉัน ฉันเลยยังไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายกับเขาตั้งแต่เริ่มแรก
เพราะถ้าฉันล้มเหลวในการที่จะฆ่าเขาแล้วหละก็ ฉันจะต้องเผชิญหน้ากับจอมเวทย์เลเวล 70 แบบตรงไปตรงมา
และที่มากไปกว่านั้นคือถ้าฉันไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ ฟิโอเลนที่เป็นลูกรักของพวกศาสตราจารย์ทั้งหลายและเป็นพ่อเทพบุตรในสายตาของเหล่าเด็กสาวในโรงเรียนซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะรับมือกับคนทั้งหมดนั้นด้วยตัวฉันเองได้
กลับมาคิดอีกที ฟิโอเลนในตอนนี้ก็ยังคงอยู่ท่ามกลางเด็กสาวเช่นกัน
“ไม่ใช่แบบนั้น การใช้วงจรเวทย์เกลียวตัดต้องทำแบบนี้”
“ตายแล้ว…”
ในตอนที่ฟิโอเลนจับไปที่แขนของเด็กนักเรียนหญิงและแกล้งทำเป็นสงบนิ่งในขณะที่ให้มานากับเธอ แก้มของเธอได้แดงขึ้น
นี้พวกเธอชอบผู้ชายแบบนี้จริง ๆ ดิ?
ฉันไม่สามารถมันเข้าใจได้เลยแต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะว่ามันเป็นพล็อตซ้ำซากเรื่องของตัวเอกอะนะ
ฉันกำลังจินตนาการไปว่าเด็กสาวพวกนั้นจะฆ่าฉันยังไงถ้าพวกเธอกลายมาเป็นศัตรู
ฟิโอเลนเป็นพวกคนประเภทที่ชอบโชว์ออฟดังนั้นถ้ามีนั้นเรียนคนใดที่มีปัญหาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามเขาจะวิ่งตรงไปหาคนพวกนั้นและสอนพวกเขาโดยการใช้ความรู้จากในอนาคต
ในความเป็นจริงมันก็ไม่ผิดที่จะพูดว่านี้มันไม่ใช่คลาสของฉันแต่เป็นคลาสของฟิโอเลน
แน่นอนว่า ไอ้เจ้าฟิโอเลนนี้มันสอนแต่เด็กสาวเท่านั้นแหละ
และต้องเป็นเด็กสาวที่สวยด้วยนะ
ด้วยความที่ตัวเขาเป็นอัจฉริยะ
ที่มีอายุ 17 ปี เขาได้จัดการกับเวทมนตร์ที่แม้แต่ศาสตราจารย์ก็ยังคิดว่ามันยาก
โดยการผสมผสานความรู้จากอนาคต เขาใช้เวทมนตร์ได้ราวกับว่าเขาสร้างมันขึ้นมาเองในทันที
ฟิโอเลนมีความเก่งกาจในเวทมนตร์และมันเป็นธรรมชาติที่ในตอนนี้เขาจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับอาราเซลลี
เสียงอุทานดังออกมาเมื่ออาราเซลลียิงลูกศรสีขาวจากปลายนิ้วของเธอไปด้วนหน้าของเธอในระยะ 50 เมตร
นี้เป็นเพราะว่าเธอได้เล็งมันอย่างรวดเร็วและยังยิงไปแม่นยำอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทันใดนั้นเองฟิโอเลนก็ได้สร้างลูกศรที่มีขนาดใหญ่กว่าขึ้นมาสามอันและยิงไปเป้าหมายที่ละนัด
เพราะแบบนี้เองเลยทำให้ความสนใจเปลี่ยนกลับมาที่เขาอีกครั้งหนึ่ง
“ฉันคิดว่าฟิโอเลนเก่งกว่าอีกนะเนี่ย”
“ลูกศรของเขาทรงพลังมากกว่าฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะยิงมันออกมาได้สามนัดภายในครั้งเดียว”
การแสดงออกทางสีหน้าของอาราเซลลีกลายเป็นคล้ำลงอย่างเป็นธรรมชาติ
โดยปกติแล้วฉันจะไม่เข้าไปยุ่งแต่ครั้งนี้ฉันได้ก้าวออกไปข้างหน้า
สงสารเธองั้นหรอ?
หรือว่าจะเขาข้างเขา?
ไม่มีทางซะหละ
เกมส์ของการสังเกตการอันยาวนานได้จบลงแล้ว
นับจากตอนนี้ฉันตั้งใจที่จะ ‘สร้างเส้นทาง’ เพื่อที่จะล่าแล้ว
อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ
ภาพลักษณ์และความมั่นใจของฟิโอลอนในสายตาของคนอื่น ๆ จะต้องถูกทำลายลงไปซะ
“ฟิโอลอน ในการสนามรบนะนายต้องการที่จะใช้มานาอย่างสูญปล่าวขนาดนั้นเลยหรอ?”
“อะไรนะครับ”
ดวงตาของฟิโอลอนเบิกกว้างเพราะว่าเขาไม่ได้คาดคิดไว้ว่าฉันจะเล็งเป้าไปที่เขา
แล้วการแสดงออกของเขาก็กลับมาสงบนิ่ง
สำหรับหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้ระวังตัวจากฉันตลอดเวลา มันน่าจะเป็นเพราะว่าในความทรงจำของเขาก่อนที่จะได้ย้อนเวลากลับมามันไม่มีฉันอยู่ที่นี้
ตั้งแต่ที่เข้าย้อนกลับมาจาก 20 ปีข้างหน้าในอนาคตเขาไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะจำศาสตราจารย์ทุก ๆ คนดังนั้นเขาเลยคิดว่าฉันน่าจะเป็นศาสตราจารย์คนที่ไม่ได้แสดงตัวตนออกมา
“นายใช้มานาไปมากกว่าสิบเท่าของที่ควรจะใช้เพื่อจัดการกับเป้าหมายเดียวเท่านั้น ถ้ามันไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดพลังของของตัวนายเองแล้วมันเพื่ออะไรหืม? นี่นายกำลังจะไปอวดเวทมนตร์ของนายต่อหน้าศัตรูในสนามรบจริง ๆ งั้นหรอ?”
“ผมแค่ฝึกฝนเพื่อที่จะใช้มันปราบศัตรูที่ผมได้พบอย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่ามันเป็นเพียงมีแค่เป้าหมายเดียว ผมก็จะฝึกมันเหมือนกับว่ามันเป็นสิบเป้าหมายครับ”
“มีประสิทธิภาพ? นี่นายคิดจริง ๆ หรือว่าเวทมนตร์ของนายมีประสิทธิภาพ?”
ฉันได้ชี้ไปที่เป้าอย่างช้า ๆ
“ใช่พลังทำลายของมันแข็งแกร่งมาก แต่ว่ามันใช้เวลากี่วินาทีในการที่จะร่ายเวทมนตร์นั้นออกมาหละ?”
“…มันใช้ไปหกวินาที”
มันเร็วพอแล้วหละ
แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติมันยังไม่พอ
“หกวินาทีนี้มากพอที่จะให้ผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงสักคนสมารถเข้าถึงตัวนายได้จากในระยะ 50 เมตร แล้วถ้ามันเป็นจอมเวทย์หรืออัศวินหละ? หัวของนายจะยังอยู่ติดกับตัวอีกไหม?”
“นี่มัน…”
“ดูไปที่อาราเซลลี จาการร่ายเวทย์ที่โจมตีไปบนเป้าหมายมันใช้เวลาน้อยกว่าสองวินาทีซะอีก”
ผู้ช่วยวิวลิสจากทางด้านข้างพูดเสริมขึ้นมาว่า
“อาราเซลลีมีประสิทธิภาพมากกว่าไม่ใช่แค่ในเรื่องของความแม่นยำเท่านั้นแต่ยังมีประสิทธิภาพในเรื่องของปริมาณการใช้มานาด้วยเช่นกัน”
ฉันไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรหมือนกันแต่มันก็น่าจะจริงนะ
“การสู้รบไม่ใช่การแสดง ไม่ต้องคิดว่าศัตรูจะคอยยืนยิ้มต้องรับรอพวกเธอแสดงเวทมนตร์ที่ตื้นขืนพวกนี้”
ทุก ๆ คนรอบฉันเริ่มที่จะเห็นด้วยความความคิดเห็นของฉัน
“ตามจริง ฉันเริ่มที่จะรู้สึกอายเล็กน้อยแล้วละสิที่ฉันดันคิดไปว่าเวทมนตร์ของฟิโอเลนดีกว่า”
“นายพูดถูกเลย การต่อสู้…เยี่ยม มันไม่เหมือนการนั่งในห้องเล็ก ๆ อ่านหนังสือและเขียนทฤษฎีเวทมนตร์”
ยังไงซะฉันก็มีภาพลักษณ์ของนักเวทย์สายต่อสู้ที่โดดเด่นอยู่แล้วไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามดังนั้นฉันจะใช้มันให้เป็นประโยชน์
แม้ว่ามันจะเป็นภาพลักษณ์ที่จอมปลอมก็ตาม
เหล่าศาสตราจารย์ส่วนมากที่อยู่ที่นี้ไม่ได้มีประสบการณ์ต่อสู้จริงเลยต้องของขอบคุณที่เป็นอย่างนั้นความคิดที่ฉันได้แสดงออกไปเลยดูเหมือนว่ามันน่าจะเป็นไปได้
จริง ๆ แล้ว ฉันไม่ได้รู้จริง ๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์เป็นอย่างดีหรอกแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดไปจากที่ฉันพูดนิ
ในขณะที่การแสดงออกของอาราเซลลีค่อย ๆ กลับมาสดใสขึ้นกลับกันการแสดงออกของฟิโอเลนกลับเริ่มที่จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ไอ้ห่านี้ แกน่าจะมีอายุมากกว่าฉันอย่างน้อยก็ 8 ปีนะ แต่แกกลับไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้เลยหรือไง?
นี้แกไม่สามารถที่จะรับความพ่ายแพ้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย?
“…ศาสตราจารย์ คุณพิสูจน์ได้ไหมว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง?”
ฉันรู้เลย
เขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับความภาคภูมิใจของเขาเองที่ถูกทำให้มัวหมองและกับชื่อเสียงของเขาในสวนฮาเรมของเขาเอง
“ใช่สิ ฉันต่อสู้บนสนามรบมานานตั้ง 15 ปีเชียวนะ”
“ประสบการณ์มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือที่คุณพูดนะมันถูกหรือป่าว”
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ฉันคงกำลังคิดกันว่า ‘โอ้วไม่นะ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะพูดแบบนั้นออกไปกับคนที่เป็นศาสตราจารย์เลยนะ’
การตอบสนองนี้ของทุกคนเกิดขึ้นในทันทีแต่ตัวเอกคงจะไม่มีเวลามาตอบสนองกับมันเพราะว่าฉันกำลังจะเพิ่ม ‘แครอท’ เข้าไปเป็นเหยื่อล่อเพิ่ม
“ในเมื่อฉันเป็นศาสตราจารย์มันดูจะไม่เป็นมืออาชีพสำหรับฉันที่จะดวลกับนายด้วยตัวเอง…ดังนั้นแล้วคิดยังไงเกี่ยวกับดันเจี้ยนเมลก้าหละ?”
เมลก้าดันเจี้ยน
มันเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนของวิเวียนด้าและศาสตราจารย์ได้ร่วมทีมกันเพื่อโจมตีดันเจี้ยนไปด้วยกัน
การแข่งขันระหว่างแต่ละภาควิชาเวทมนตร์และแต่ละชั้นปีนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก
มันเป็นเพราะว่าถ้าคุณทำได้ดีในดันเจี้ยนคุณจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับแนวหน้าหรือไม่ก็ได้รับการเสนอให้ไปเป็นเด็กฝึกงานที่หอคอยเวทมนตร์
กล่าวได้อีกนัยหนึ่ง คือ ดันเจี้ยนเมลก้าเป็นเหมือนเวทีคัดเลือกสำหรับนักเรียนคนที่ไม่มีเส้นสายใด ๆ
แน่นอนว่าฟิโอเนลรู้ดีว่าดันเจี้ยนเมลก้านั้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่และต้องระวังทุก ๆ ‘สถานการณ์ที่ไม่ได้คาดไว้’ ที่จะเกิดขึ้นข้างใน
เพราะว่าเขาเป็นคนที่ย้อนกลับมาจากอนาคตไง
“ดันเจี้ยนเมลก้าหรอ?”
“ใช่ ถูกแล้วหละ ฉันจะกับคู่กับอาราเซลลีคนที่แสดงประสิทธิภาพได้ดีกว่าเธอตรงนี้เอง”
มุมปากของฟิโอเลนยกขึ้น
ช่ายเลย ฉันคิดเรื่องนี้มามากแล้ว
ฉันรู้มันดีเลยหละ
บางทีเขาอาจจะทนไม่ไหวแล้วมั้ง?
เขาต้องตื่นเต้นมากแน่ ๆ เลยเมื่อคิดว่ากำลังต่อสู้กับฉันอยู่ คนที่ทำให้เขาอับอายและได้รับชัยชนะด้วยความภาคภูมิใจ
นี้มันเป็นการแข่งขันที่ตัวเขาเองไม่สามารถที่จะแพ้ได้เพราะเป็นคนที่ย้อนเวลากลับมา
มีแค่คนที่ย้อนเวลาเท่านั้นที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในดันเจี้ยน
“โอเค”
เมื่อมองไปที่ฟิโอเลนที่กำลังพยักหน้าด้วยความมั่นใจฉันได้แต่แอบหัวเราะอยู่ภายใน
เพราะว่า
[ตัวเอกฟิโอเลนได้เริ่มที่จะเข้าไปแทรกแซงกับเนื้อเรื่องของ ‘สัตว์นรกแห่งดันเจี้ยนเมลก้า (3)’]
[การเปลี่ยนแปลงได้ถูกตรวจพบในเนื้อเรื่องส่วนนี้]
อนาคตที่ฉันเห็นมันต่างออกไปนะสิ