ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ - ตอนที่ 55
มันควรที่จะมีตัวเอกเพียงแค่เดียวในแต่ละโลก ระบบได้บอกกับเขาได้แล้วว่าที่โลกนั้นมีตัวเอกอยู่แล้วในตอนที่เขากำลังล่าตัวเอกอียอนจุนอยู่
อียอนจุนไม่ได้เป็นตัวเอกในโลก ‘ยุคปัจจุบัน’ เขาเป็นตัวเอกในโลกที่พังทลายไปแล้วจากด้านในของดันเจี้ยนแรงค์ S ที่มีชื่อเรียกว่า ‘ยอดภูเขาหิมะเพาโลเนียสามพันปีก่อนแห่งความขมขื่น’ ด้วยความที่เป็นตัวเอกนั้นเองที่ทำให้อียอนจุนได้รับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการได้รับพรของโลกเมื่อไหรก็ตามที่เพื่อที่จะให้เขาจะได้เอาชนะวิกฤตินั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเขายังมีทักษะสุดโกงที่มีชื่อเรียกว่า [เป็นจุดสนใจ (A)]
ระบบได้บอกกับเขาไว้แล้วเช่นกันว่าถ้าหากอียอนจุนเคลียร์ดันนี้ในครั้งนั้นและหลบหลีออกไปยังโลกได้ ช่วงเวลาแห่งบทส่งท้ายจะเข้ามาเร็วขึ้นเพราะว่าตัวเอกทั้งสองคนจะปะทะและต่อต้านกันเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมระบบถึงออกเป้าหมายให้ฆ่าอียอนจุนั้นเป็นเพราะว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขา อีดงจุน
<ด้วยความสามารถของคุณในปัจจุบัน โอกาสที่คุณจะชนะในการต่อสู้กับตัวเองอีดงจุนคือ 0.0000…>
‘ฉันรู้แล้วน่า…ได้โปรดหยุดเถอะ’
<…0000001%>
‘ยัยบ้….’
โดยโอกาสที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงขีดสุดเช่นนี้แล้ว ยูซอดัมนั้นมีโอกาสมากกว่าที่จะจมยานบินด้วยการใช้ก้อนหินแค่ก้อนเดียวมากกว่าการเอาชนะอีดงจุนได้ซะอีก
ซอดัมขมวดคิ้วขึ้น ร่างกายของเขายังคงตึงเครียดอยู่แต่แล้วข้อความใหม่จากระบบก็เด้งขึ้นมา
<แต่หากว่าวัดจากวิธีการใช้ที่คุณได้ใช้เป็นปกติมาเป็นพื้นฐานแล้วด้วยการใช้กลยุทธ์พวกนั้นแทนการต่อสู้ซึ่งๆหน้า โอกาสของคุณที่จะสำเร็จได้ถูกเพิ่มขึ้นเป็น 16% ไม่สิ-ใช้จะให้แม่นยำที่สุดในตอนนี้ก็คือ 19% ค่ะ>
‘อะไรนะ?’
<ฉันแน่ในค่ะว่าคุณจะต้องมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมบางอย่างในหัวของคุณในตอนนี้ใช่ไหมคะ?>
ซอดัมแสดงออกถึงความงุนงงออกมาทางใบหน้าของเขาในขณะที่เขากำลังฟังคำพูดของระบบซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นไม่เหมือนกับตัวเธอเองในปกติ
‘แต่ ฉันไม่ได้มีอะไรสักอย่างในหัวตอนนี้เลยนะ’
<นั้นไม่เป็นความจริงเลยค่ะ การคำนวณของฉันอยู่บนพื้นฐานของ ‘โชคชะตา’ มันจะต้องมีบางอย่าง…บางอย่างแน่นอนค่ะ>
‘…….?’
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคุณลูกค้าซอดัมก็ได้มองไปที่อีดงจุนแล้วเบื้องหน้าของเขา ก็ได้มีหน้าต่าง ‘พล็อตเรื่อง’ ปรากฏขึ้นมา
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
< พล็อตเรื่อง>
“นี้เจ้าไม่มีความคิดที่จะโกนหัวของตัวเองบ้างหรือไง?”
การกลับมาของผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ปกครองคนนี้ได้มีการเชื่อมต่ออยู่กับจิตวิญญาณแห่งเดอมาร์!
…แต่ว่าฉันได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่แบบคนทั่วไปสำหรับทั้งชีวิตของฉันเองแล้ว
“ได้โปรดเป็นพ่อของหนูนะคะ จนกระทั้งหนูเรียนจบด้วยเถอะ”
เป็นเพราะว่าฉันมีลูกสาวไงหละ
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
‘อืม…….’
พล็อคเรื่องคลุมเครือมาก มันยากที่จะดึงเอาข้อมูลใดๆจากพล็อตเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ
‘แล้วอะไรคือความหมายของเดอมาร์หละ? และนอกไปจากนี้แล้วเขายังมีลูกสาวด้วยอย่างนั้นเหรอ?’
ยูซอดัมได้มองที่หน้าต่างเลเวลที่ลอยบนหัวของอีดงจุน
‘เอื้อก!’
[เลเวล 500]
ใช่แล้ว…มันเป็นเลย 500 ตัวโตๆ
‘…แรงค์ SS นี่เลเวลเท่าไหรนะ?’
<เลเวล 200 ค่ะ>
‘แล้ว…แรงค์ SSS หละ?’
แรงค์ SSS ในตำนานซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกมนุษย์
<เลเวล 350 ค่ะ>
‘ชิบหายแล้วไง! นี้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันเนี่ย?’
ยูซอดัมเกือบที่จะก้าวถอยหลังกลับไปเพราะความกลัวโชคยังดีที่เขาได้หยุดตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะได้แบบนั้นด้วยเวลาไม่นาน
อีกด้านหนึ่ง อีดงจุนสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่างจากตัวของยูซอดัม
‘ฉันไม่สามารถที่จะรู้สึกถึงอะไรจากตัวชายคนนี้ได้เลย’
สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งจะต้องมีพลังงานธรรมชาติไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของพวกเขา พวกพลังพิเศษจากคนบนโลกก็เป็นการฉีดแหล่งพลังงานจากภายนอกที่เรียกว่า ‘อีเทอร์’ เข้าสู่ร่างกายของพวกเขาในขณะที่เหล่าผู้หวนคืนจากมูริมเหมือนกับอีดงจุนมีพลังงานที่คล้ายกันกับสิ่งที่ยูซอดัมเรียกว่า ‘เวทมนตร์’ อยู่
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้อีดงจุนไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงพลังงานแม้แต่เพียงแค่นิดเดียวจากร่างกายของยูซอดัม
‘ไม่ใช่ว่าเขาไปถึงสภาวะที่เรียกว่า ‘เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ’ แล้วหรอกนะ?’
ด้วยการที่ใช้เทคนิค ‘เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ’ มันก็เป็นไปได้สำหรับผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่มีระดับสูง…ไม่ใช่แค่สูงธรรมดานะแต่เป็นสูงในสูงในสูงเลยถึงจะปกปิดพลังงานในร่างกายของตนเองให้ดูเหมือนกับเป็นเพียงแค่คนธรรมดาโดยสมบูรณ์ได้แต่อย่างไรก็ตามไม่มีคนไหนในพวกคนแบบนั้นที่จะสามารถที่จะทำมันต่อหน้าของอีดงจุนได้
อีดงจุนเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของมูริมที่ได้รับสมญานาม ‘เจ้าแห่งตำนาน’ ด้วยการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แห่งธรรมะซึ่งได้รับการส่งต่อกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมูริมดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะดูไม่ปกติเมื่อคนเช่นเขานั้นไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงพลังธรรมชาติในร่างกายของชายตรงหน้าตนเองได้เช่นนี้
‘ฉันแทบที่จะไม่สามารถสัมผัสถึงพลังงานของเขาได้เลย…’
ไม่ว่าจะที่มูริมหรือที่โลกเขาก็มักจะคิดเสมอว่าตนเองเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ในตอนนี้ต่อหน้าต่อตาของเขาเองมันมีตัวตนที่สามารถจะคุกคามเขาได้
‘ฉันจำเป็นที่จะต้องฆ่าเขาทิ้งถ้าหากว่าฉันต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา’
อีดงจุนส่งพลังงานที่สัมผัสไม่ได้ไปที่ปลายนิ้วของตน การที่จะฆ่ายูซอดัมนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับเขาที่เป็นปรมาจารย์ของศาสตร์การใช้ดาบซึ่งเป็นศาสตร์ลึกลับในเส้าหลิน
แต่ว่า
‘……..!’
ในเสี้ยววินาทีที่เขาได้ตัดสินใจที่จะฆ่าชายคนนี้ที่อยู่เบื้องหน้าของเขา…
‘ฉันไม่สามารถที่จะฟันเขาได้’
สกิลของอีดงจุน [สถานการณ์จำลอง (SSS)] และ [สัมผัสที่หก] ของเขากำลังแสดงให้เขาเห็นว่าแม้ว่าเขาจะเหวี่ยงดาบพลังงานไร้รูปของตนออกไปทางยูซอดัมแล้ว แต่ชายคนนี้ก็ยังคงหลบหลีกความตายของตนเองได้อยู่ดีด้วยการหายไปราวกับว่าตัวตนของเขาเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
‘ทำไมหละ?’
ระยะห่างระหว่างเขากับชายคนนั้นอย่างมากที่สุดก็แค่ 3 เมตรถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตรวจจับชายคนนี้ได้ เขาก็ยังได้มาหาชายคนนี้ได้มาหาชายคนนี้โดยเฉพาะด้วยความตั้งใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาได้เห็นซอดัมในคลิปเหล่านั้นอย่างมากที่สุดชายเบื้องหน้าเขาก็คงจะเป็นเพียงแค่นักรบขั้นที่หนึ่งหรือไม่ก็ขั้นที่สอง แต่ว่าทำไมกันหละทำไมเขาถึงไม่สามารถที่จะฟันโดนชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาได้?
‘หืม! หรือว่าเขาจะมีสกิลซ่อนเร้นพวกนั้น?’
ในขณะที่อีดงจุนกำลังวุ่นวายกับความคิดของตนเองแบบนั้น
ยูซอดัมได้เปิดปากของตนเองออก
“ก่อนหน้านี้ คุณพูดถึงมูริมใช่ไหม?”
เวลาได้ผ่านไปเพียงแค่ห้าวินาทีเท่านั้นนับตั้งแต่ที่อีดงจุนได้ถามคำถามนั้นกับยูซอดัมด้วยช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีนั้นเองความคิดนับไม่ถ้วนได้วิ่งไปมาผ่านในหัวของพวกเขาทั้งสองคนและในตอนนี้เองที่พวกเขาทั้งคู่ได้ทำการประเมินความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วมันก็ถึงเวลาที่จะตรงไปสู่หัวข้อหลักเสียที
ซอดัมตัดสินใจที่จะเชื่อระบบของ ‘มาตรการหลบหนีฉุกเฉิน’ และพยายามที่จะพูดกับอีกฝ่าย
“ผมแน่ใจว่าที่คุณมาเจอผมก็เพราะว่าผมได้แสดงศิลปะการต่อสู้ต่อหน้าสาธารณชนซึ่งอาจจะดูคล้ายกับศิลปะการต่อสู้จากมูริมแต่ว่าผมคิดว่านี้อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันไปเองมากกว่านะครับ ใช่แล้วผมก็เป็นผู้หวนคืนต่างมิติแต่ว่าผมก็ไม่ได้เป็นผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ของมูริมครับ”
“ก็เหมือนกับที่คุณรู้ ผู้หวนคืนต่างมิติส่วนมาแล้วจะไปในโลกเดียวกันกับคุณซึ่งเป็นมูริมแต่ว่าผมไปในโลกอีกใบหนึ่ง”
คำพูดทั้งหมดของเขานั้นเป็นทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ยูซอดัมไม่ได้เป็นผู้หวนคืนต่างมิติแต่ว่าเป็นนักเดินทางข้ามมิติถึงแม้ว่าเขาต้องการที่ซ่อนความจริงที่ว่าเขาได้ในต่างมิติมาเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นต่อหน้าของอีดงจุนได้
ในกรณีแบบนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการบอกบอกอีดงจุนไปว่าพลังที่เขาใช้นั้นอาจไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกแต่ว่าพลังนั้นเพียงแค่คล้ายคลึงกับศิลปะการต่อสู้ของมูริมเท่านั้นเอง
“ดังนั้นแล้วนายกำลังจะบอกว่านายไม่ได้มีพันธะผูกพันกับกฎใดๆอย่างนั้นสินะ? ที่ฉันพูดนั้นถูกใช่ไหม?”
ซอดัมเดาว่า ‘กฎ’ ที่อีดงจุนพูดออกมาต้องเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับ
‘ห้ามไม่ให้ใช้หรือสอนศิลปะการต่อสู้ออกไป’
‘ห้ามให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน’
สองข้อห้ามนี้คงจะเป็นสิ่งที่จำเป็นจะสำหรับเหล่าผู้หวนคืนจากมูริมทั้งหลายต้องปฏิบัติตาม ข้อห้ามพวกนี้นั้นน่าจะถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเอกที่อยู่ตรงหน้าของเขา
ถ้าหากว่าอีดงจุนตัดสินใจที่จะโจมตียูซอดัมที่นี้ในตอนนี้เพื่อที่จะหยุดเขาจากการใช้พลังของตนเองบนโลกแล้วหละก็มันคงไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้
‘…ถ้าเป็นงั้น ฉันเดาว่าฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการหนีไปยังต่างโลก’
แต่ซอดัมคาดว่าอีดงจุนจะไม่ทำร้ายเขาเพราะว่าหากว่าการใช้พลังอื่นจากต่างมิติที่โลกนั้นเป็นปัญหาหละก็เขาคงจะห้ามเพียงแค่การ ‘ห้ามไม่ให้ใช้หรือสอนศิลปะการต่อสู้ออกไป’ ในขณะที่ยังอนุญาตให้คนของเขาได้สร้างความสัมพันธ์กันได้
เขาเดาว่านี้จะต้องเป็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับมูริมซึ่งหมายความว่าการใช้งานพลังจากต่างโลกนอกเหนือจากที่มูริมนั้นจะต้องไม่มีปัญหาอะไร
“แน่นอนหากนายไม่ใช่คนที่มาจากมูริมนั้นก็หมายความว่ากฎของพวกเราไม่มีความหมายกับนาย ฉันต้องขอโทษด้วยที่จู่ๆก็ทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้”
เหมือนที่คาดไว้อีดงจุนไม่ได้ทำอะไรกับยูซอดัมซึ่งหมายความว่าการคาดการณ์ของเขานั้นถูกต้อง
“อย่างไรก็ตามนับจากวันนี้ไป…”
“คุณพ่อ!”
เด็กสาวมัธยมในเครื่องแบบของสถาบันผู้มีพลังพิเศษได้วิ่งตรงมาที่อีดงจุน เธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าของดงจุนและจับที่ไปแขนของเขาในขณะที่ทำหน้ายู่
“คุณพ่อมาหยุดทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือคะ? พวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ!”
“มันมีบางเรื่องที่พ่อจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับชายคนนี้หนะ นี้ลูกไม่เห็นว่าเรากำลังพูดคุยกันอยู่หรือไงเจ้าลูกคนนี้นิ?”
“อ้า หนูขอโทษค่ะ ขอโทดจริงๆนะค้า”
เธอหมุนตัวไปทางยูซอดัมและกล่าวขอโทษออกมา
ยูซฮดัมได้กล่าวกับเธออย่างเร่งรีบ
“ไม่ๆ มันไม่เป็นไรหรอก ฉันเป็นคนที่สนิทกับพ่อเธอมากๆเลยหนะเพราะงั้นแล้วมันโอเคอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า ลูกสาวของนายนี้น่ารักมากเลยนะ”
“…”
“อย่างนั้นเหรอคะ? ยินดีที่ได้พบคุณนะค้า หนูชื่อว่าชินเฮจีค่ะ”
“ใช่แล้วๆ ฉันชื่อยูซอดัมนะนอกจากนี้แล้ว…เธอสกุลชินงั้นเหรอ?”
ชินเฮจียิ้มอย่างเก้ๆกังๆให้กับคำพูดของยูซอดัมและในตอนนั้นเองอีดงจุนก็ได้แทรกขึ้นมา
“มันมีเหตุผลบางอย่างนะ”
“โห้ โอเค”
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบสงัดได้ลงมาเยือนระหว่างคนทั้งคู่และแล้วชินเฮจีก็ได้เปิดปากของเธอขึ้นอีกครั้ง
“อ้า! หนูว่าหนูเคยเห็นคุณยูซอดัมมาก่อนหน้านี้จากทางทีวีนะคะ! ว้าว!”
ไม่เหมือนกับอีดงจุน ด้วยนิสัยของชินเฮจีนั้นค่อนข้างที่จะเป็นคนง่ายๆ เธอเลยสามารถที่จะพูดคุยกับยูซอดัมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
หลังจากที่เธอจะรู้สึกตัวว่าตัวเองติดลมเกินไป เธอก็ได้หันหน้าไปยัง ‘พ่อ’ ของเธอ
“พวกเราไปกันเถอะค่ะ! คุณฮันเตอร์ยูซูยังกำลังรอพวกเราอยู่นะคะ?”
‘ยูซูยัง?’
มันเป็นชื่อของฮันเตอร์แรงค์ S คนหนึ่งในเกาหลีแถมยังคนๆนี้ยังเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วยแต่แม้ว่าหลังจากที่ได้ยินชื่อนั้นแล้วดงจุงก็เพียงแค่สีหน้าตายด้านเท่านั้น
“อะไรจะขนาดนั้น”
ทันใดนั้นเองข้อความก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของซอดัม
[สกิล ‘นักล่าตัวเอกเลเวล 3’ ถูกเปิดใช้งาน]
[กำลังแสดงบางส่วนของสกิลและความสามารถของตัวเอก]
[ตัวเอกอีดงจุนมีความสามารถติดตัว [สเน่ห์ (S)] และสกิลติดตัว [เคลิบเคลิ้ม (SS)]]
ซอดัมรู้ว่าเดอมาร์(ธรรมะ)นั้นเป็นของพระชาวพุทธแต่สำหรับพระแล้วการที่จะมี ‘#ฮาเรม’ เป็นหนึ่งในแฮชแท็กพวกนั้นได้ทำให้เขาแน่ใจได้เลยว่ามันต้องเป็นเพราะสกิลพวกนี้แน่
ต้องชื่นชมความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจของเขาเช่นเดียวกันกับสกิลติดตัวของเขาเองที่ทำให้เหล่าสาวสวยมากมายดูเหมือนว่าจะแห่มีรุมล้อมเขาราวกับว่าเป็นแมลงวันตอม**เต็มไปหมด
‘ถ้าอย่างนั้นแล้วเรื่องลูกสาวของเขาหละ?’
ยูซอดัมเดาว่าอีดงจุนนั้นคงอยู่ในช่วง 20 ปลายๆถึง 30 ต้นๆ สำหรับชายหนุ่มที่ยังมีอายุไม่เยอะเช่นนี้แล้วการที่จะมีลูกสาวโตได้ขนาดนี้เช่นชินเฮจีได้นั้นนับว่าแปลกมาก
ซอดัมค่อยๆมองไปที่เด็กสาวที่เรียกตัวเธอเองว่า ‘ลูกสาว’
และแล้วข้อความจากคุณลูกค้าอีกอันก็ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวเขา
<พวกเราพบว่ามีสกิล ‘สิบสามดาบแห่งพุทธธรรม’ อยู่ด้านในตัวละครรอง ‘ชินเฮจี’ ค่ะ>
‘……วอท?’
ซอดัมค่อยๆเงยหน้าของตัวเองขึ้นมาและมองไปที่อีดงจุน เขาได้พยักหน้าให้กับซอดัมด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์บนหน้าตาของเขา
“พวกเราต้องไปแล้วในตอนนี้ ฉันมีนัดกับลูกสาวไว้นะ”
บางทีอีดงจุนคงคิดว่าคงไม่มีใครสักคนที่จะรู้ในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปหรอกในความเป็นจริงแล้วซอดัมก็คงจะไม่รู้เหมือนกันถ้าหากไม่ใช่ว่า ‘ระบบนักล่าตัวเอก’ นั้นบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“…อ้าเข้าใจแล้ว ไปดีมาดีนะครับ”
เดอมาร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ หนึ่งเดียวที่ได้สร้างกฎทั้งสองข้อขึ้นมาที่ทำให้ผู้หวนคืนจากมูริมทุกคนต้องปฏิบัติตาม
‘เขามีฮาเรมแถมยังแม้แต่สอนศิลปะการต่อสู้จากมูริมให้กับลูกสาวของตนเองอีกด้วยแหะ’
ตัวเอกอีดงจุนเองนี้แหละที่เป็นคนที่แหกกฎที่เขาตั้งไว้เองทั้งสองข้อ
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
“เจ้าได้เจอกับสูงสุดหนึ่งเดียวคนนั้นนะเหรอ?”
“ใช่แล้วครับ”
ไม่กี่วันให้หลังฉันก็ได้นัดเจอกับผู้หวนคืนที่ฉันได้เจอตอนที่อยู่สนามกีฬาชัมชิลอยู่ช่วงหนึ่ง
เขาสูดหาดใจเข้าลึกๆและถอนหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘เดอมาร์สูงสุด’ จากปากของฉัน
“แถมเจ้ายังเดาว่า ข้อห้ามเหล่านั้นที่ได้ผูกรังเราไว้ยังสร้างขึ้นโดยเขาอีกด้วยนะเหรอ”
“ตามนั้นเลยครับ นอกจากนี้แล้วคุณเคยบอกว่ามีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นนอกเหนือจากอีดงจุนด้วยใช่ไหมครับ?”
“ถูกแล้วหละครับ เราเรียกคนผู้นั้นว่าชอนมาสูงสุด…มันอาจจะฟังดูไม่คุ้นหูยิ่งนักสำหรับคนในยุคสมัยปัจจุบันแต่ว่ามันยังมีอยู่อีกหนึ่งคนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหุบเขาอันยิ่งใหญ่แห่งมูริม ข้าแน่ใจว่าเขาได้มาพร้อมกับเราในตอนที่พวกเราได้ข้ามมายังโลกใบนี้แล้วแต่ว่าข้ายังไม่เคยจะได้ยินถึงข่าวคราวใดๆจากตัวตนเช่นนั้นเลย”
มันไม่ใช่การแสดงศิลปะการต่อสู้ตามทีวีหรืออะไรพวกมันแต่ว่าการที่มาได้ยินบางสิ่งที่เหมือนกับชอนมา…เช่นนี้แล้วคงจะมีคนพวกนี้อยู่จริงๆสินะ
“ยกเว้นชอนมาที่กำลังซ่อนตัวอยู่เดอมาร์สูงสุดถึงว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมูริมสินะครับ?”
“นั้นถูกต้องแล้วแต่ว่าภายใต้เขาแล้วยังมีเหล่าผู้คนที่ได้รับการขนานนามว่า ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’ อยู่”
“โปรดช่วยอธิบายเกี่ยวกับคนพวกนั้นในแบบที่ง่ายที่สุดที่ผมจะสามารถเข้าใจมันได้ทีเถอะครับ”
“อืม…ทั้ง 9 คนนี้ก็คล้ายกับฮันเตอร์แรงค์ A ถ้าหากว่าเทียบเดอมาร์กับชอนมาเป็นแรงค์ S นะครับ”
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้ง 9 คนนี้อยู่ที่โลกซึ่งเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าเดอมาร์
“แล้วถ้าหากว่ามีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้ทั้งเก้าคนนี้ร่วมมือกันหรือไม่ก็นักรบทั้งหมดจากมูริมร่วมมือกันพวกเขาจะสามารถเอาชนะเดอมาร์ได้หรือป่าวครับ?”
“ข้ามิไม่กล้าที่จะ…เดอมาร์เป็นผู้มีพระคุณของพวกเราที่ได้อนุญาตในพวกเรากลับมาที่โลกได้ครับ”
“มันเป็นเพียงแค่เรื่องสมมุติเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากไปหรอกน่า”
คิมดูฮักมีสีหน้าที่อึดอัดใจแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงแล้วพยักหน้าของตนเอง
“ข้าไม่สามารถที่จะกล่าวได้อย่างแน่ใจได้นักเพราะว่าทักษะของข้านั้นยังไม่ได้ดีพอแต่บางทีมันน่าจะเป็นไปได้ที่จะฆ่าเขา ปัญหาก็คือว่า ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’ นั้นได้ซ่อนตัวอยู่ไหนสักที่บนโลกใบนี้และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำพาพวกเขามารวมตัวกันครับ”
อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกว่าดาวเคราะห์ที่ถูกเรียกว่าโลกมนุษย์ใบนี้นั้นกว้างใหญ่ว่าที่ฉันเคยคิดว่ามันเป็นขึ้นมาทันทีเลย
ฉันรู้สึกว่าราวกับว่าเป็นกบที่หนีออกมาจากบ่อน้ำได้สำเร็จ ฉันเคยคิดว่าฉันได้สำรวจไปรอบบ่อน้ำได้ดีพอที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีได้ดีพอแล้ว
แม้ว่าโลกที่อยู่ภายนอกบ่อน้ำจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ฉันไม่เคยได้เห็นมาก่อน มันก็ยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะออกไปจากบ่อน้ำนี้
“โอเคๆ ขอผมถามอีกสักหนึ่งคำถามนะครับ”
“ช้าก่อนๆ เจ้าจะให้ตำแหน่งภายในกิลด์ของเจ้ากับข้าจริงๆใช่ไหม?”
“แน่นอนครับ ผมไม่ใช่คนที่จะมากลืนน้ำลายตัวเองหรอกครับ”
“แต่ว่าข้าคิดว่าเจ้ากำลังทำมันอยู่ในตอนนี้นะ”
“แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีทางหรอกครับ งั้นผมขอถามเลยนะครับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติแหกกฎหละครับ?”
คิมดูฮักตอบกลับด้วยสีหน้าราวกับว่าเขากำลังพูดประมาณว่า ‘มิใช่ว่ามันชัดเจนอย่างนั้นหรือ?’
“คำสั่งฆ่านะครับ”
“…..!”
“เหล่าผู้หวนคืนทุกๆคนจากมูริมล้วนมีศัตรูของเขาเอง”
ฉันรีบที่จะควบคุมไม่ให้มุมปากของตัวเองยกขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของเขาแม้ว่าฉันจะไม่ได้แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เขาพูดนี้ก็ตาม
แม้ว่าคิมดูฮักที่เป็นสุดยอดปรมาจารย์ในมูริมสามารถที่จะใช้ได้เพียงแค่คำว่า ‘น่าจะ’ และ ‘หรือ’ ในคำพูดของเขาเท่านั้น ทำให้เขาไม่แน่ในเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก คิมดูฮักเป็นคนที่เทียบได้กับยอดมนุษย์แรงค์ A แต่ถ้าหากพูดในรูปแบบของเลเวลนั้นเขามีเลเวลมากที่สุดก็แค่ 115 เท่านั้นในขณะที่เลเวลของอีดงจุนนั้นคือ 500 พูดง่ายๆก็คือความแข็งแกร่งของทั้งคู่นั้นเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไม่ว่าจะใช้แผนไหนก็ตามที่เขาคิดได้ในตอนนี้อัตราความสำเร็จของมันก็แทบที่จะเป็นศูนย์
‘อีดงจุน…’
เขามีอายุ 32 ปี มีลูกสาวอายุ 17 ปีชื่อชินเฮจี เขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดาด้วยการเป็นพนักงานตำรวจระดับต่ำ แน่นอนว่าทั้งอายุและหน้าที่การงานของเขาล้วนเป็นเพียงข้อมูลปลอม
เขามีฮันเตอร์จำนวนมากวนเวียนอยู่รอบตัวเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าฮันเตอร์สาวสวย พัคซึงโฮได้แจ้งเขามาแล้วเช่นกันว่าอีดงจุนมักจะทานมื้อเย็นร่วมกับนักดาบจากจีนเป็นประจำ
โชคไม่ดีเลยที่ข้อมูลส่วนมากมักคลุมเคลือส่วนใหญ่ของข้อมูลพวกนี้เป็นเพียงแค่คำพูดจากคนที่เห็นเหตุการณ์ มันไม่มีแม้แต่รูปถ่ายหรืออะไรก็ตามที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างพวกนี้
และแค่เพราะว่าหลักฐานพวกนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’ รวมไปถึงนักรบทั้งหมดจากมูริมจะลุกฮือขึ้นมาสู้กับอีดงจุนอีกทั้งโอกาสที่พวกเขาจะชนะนั้นยังไม่ขึ้นไปถึง 100% อีกด้วย
ในตอนนี้ฉันได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณลูกค้าถึงได้บอกกับฉันว่าฉันมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการฆ่าอีดงจุน 16% ก่อนหน้านี้นั้นฉันไม่ได้มีข้อมูลใดเกี่ยวกับเขาเลยแต่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างอีดงจุนและเหล่าผู้คนทั้งหลายจากมูริมที่มีความบาดหมางกันตั้งแต่เริ่มอยู่แล้วนั้น ฉันสามารถที่จะคิดได้หลายทางเลยหละที่จะใช้ในการฆ่าเขา
แต่มันยังไม่ถึงเวลา สิ่งที่ฉันต้องการคือโอกาส 100% ที่จะชนะไม่ใช่แค่ 15%
‘เพื่อที่จะทำแบบนั้นแล้วฉันจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่านี้ด้วยการล่าเหล่าตัวเอกทั้งหลายจากมิติอื่นๆ แล้วฉันก็จำเป็นที่จะต้องสร้างค่ายฝึก,ขยายขุมกำลังของตัวเองและไปเจอกับ ‘3 ราชัน และ 6 จักรพรรดิ’’
มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องรีบร้อนอะไร เวลาในการโจมตีตัวเองคนนี้จะเริ่มต้นขึ้นมาโลกเข้าสู่บทส่งท้ายของอีดงจุนแล้วเท่านั้น
การล่าอีดงจุนนั้นก็เหมือนกันการต่อสู้แบบยืดเยื้อนั้นแหละ