ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ - ตอนที่ 61
ฉันสามารถที่จะที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่เหม็นอับแสนคุ้นเคยของเชื้อลาที่ลอยอบอวนอยู่ในอากาศ
“นี้มันเป็นเพียงแค่โลกในจินตนาการของฉันแน่หรือเนี่ย?”
ห้องสมุดแห่งนี้นั้นเกิดจากทักษะที่ถูกแสดงให้เห็นภายในจิตใจของตัวฉันเองและในขณะที่ฉันได้มองดูไปโดยรอบห้องสมุดที่ดูราวกับว่ามีตัวตนอยู่จริงๆนี้ด้วยความอย่างรู้อยากเห็นนั้นเอง ฉันก็ได้รับข้อความมาจากระบบ
[จดหมายแต่ละแผ่นของแม่มดทั้งโลกได้มารวมตัวกันและได้กลายเป็นหนังสือ และหนังสือทั้งหลายได้มารวมอยู่ด้วยกันจึงได้กลายเป็นความรู้]
[ยินดีต้องรับเข้าสู่ห้องสมุดของแม่มดขาว ห้องสมุดที่ถูกสร้างขึ้นจากภูมิปัญญาของเหล่าแม่มดทั้งหลายทั่วโลก]
[สิทธิในการเข้าห้องสมุดในปัจจุบันของคุณคือ ‘F’ และมีคุณสมบัติที่มากเพียงพอสำหรับการร้องขอสิทธิในการเข้าสู่ห้องสมุดระดับถัดไป]
[โปรดค้นหาความรู้ที่คุณต้องการที่นี้]
ถึงแม้ว่าห้องสมุดแห่งนี้จะมีตัวตนขึ้นมาและสามารถที่จะรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนมันก็ยังคงมีข้อจำกัดสำหรับฉันอยู่ดี เพราะว่าสิทธิของฉันในห้องสมุดแห่งนี้ยังคงเป็นเพียงแค่แรงค์ F
ถ้าหากว่าฉันฝืนเพื่อที่จะให้ตนเองได้รับห้องสมุดแรงค์ E มาหละก็ฉันจะได้รับผลกระทบจากกลายเป็นแม่มดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
อย่างไรก็ตาม หนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้เข้าสู้ห้องสมุดแห่งนี้ตั้งแต่แรกก็เป็นเพราะห้องสมุดแรงค์ E นั้นแหละ
– ฉันด้วย~
ฉันได้อัญเชิญเจ้ากระถางดอกไม้ออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงของมัน ดอกไม้สีเงินที่แสนสวยงานได้ปรากฎขึ้นมาบนมือซ้ายของฉัน แป๊บเดียวหลังจากนั้น เด็กสาวตัวน้อยก็ได้เผยตัวเองออกมาจากดอกไม้ตูมดอกที่ใหญ่ที่สุดในกระถาง เธอหาวพร้อมกับบิดร่างกายของตัวเองไปมาในขณะที่กำลังมองมาที่ฉัน
– ฉันร้ากห้องสมุด~
“ไปกันเถอะ”
ฉันเดินตรงไปยังสถานที่ที่ฉันได้เห็นเมื่อครั้งที่แล้วแต่ไม่สามารถที่เข้าไปได้ มันเป็นประตูที่เชื่อมต่ออยู่กับห้องสมุดแรงค์ E
ฉันกลืนน้ำลายลงไปและวางมือของตนเองลงบนลูกบิดประตู ฉันยังจำคำเตือนที่ปรากฏขึ้นมาให้ครั้งที่แล้วได้มันเป็นได้กล่าวเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเขาจะได้รับผลกระทบทางด้านร่างกายและจิตใจเมื่อเกิดการกลายเป็นแม่มดแต่ตัวฉันในตอนนี้ไม่ได้มีร่องลอยของความลังเลใจหลงเหลืออยู่เลยเพราะว่าฉันได้คิดถึงปัญหานี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
เอี้ยด!!
ตรงหน้าของฉันมันเป็นชั้นหนังสือมากมายเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆนับไม่ถ้วนซึ่งดูราวกับว่าเป็นชั้นหนังสือจริงๆได้เข้ามาสู่สายตาของฉัน ฉันค่อยๆเดินไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
แล้ว…เสียงหลายสิบ,หลายร้อย,หลายพัน และหลายหมื่นเสียงก็ได้ดังขึ้นไปทั่วทั้งห้องฉับพลัน
– ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าก็ยอมรับผิดไปแล้วนิ! ทำไมกัน ทำไมถึงต้องฆ่าข้าด้วย!
– เจ้ากล้าที่จะพูดเรื่องที่น่าละอายอย่างการกลับไปได้เช่นไรกัน?
– เจ้าจะต้องตายเพื่อที่เจ้ากลายมาเป็นผู้ช่วยเหมือนพวกเราได้!
– เจ้าจะต้องกลายมาเป็นหนังสือเหมือนดังเช่นพวกเรา!
[สกิล ‘เพ่งจิต (S)’ ถูกเปิดใช้งาน]
ด้วยความช่วยเหลือของสกิลเพ่งจิต เสียงมากมายเหล่านั้นได้หายไปในทันที
“เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน?”
เสียงที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยความอาฆาต ทั้งชีวิตที่ผ่านมาฉันได้พบเจอกับสิ่งต่างๆมากมายจากในสนามรบมาแต่ฉันไม่เคยเลยที่จะได้เจอกับเรื่องแบบนี้มาก่อน
อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกหนาวไปทั่วทั้งแผ่นหลัง มันราวกับว่าตัวฉันกำลังดูหนังผีตัวคนเดียวภายในห้องมืดๆหรือถ้าจะเทียบให้ตรงกว่านั้นมันเหมือนกับว่าฉันเป็นตัวละครพวกนั้นที่กำลังอยู่ภายในบ้านผีสิง
– มันโอเค~
ถ้าหากว่ามันไม่ใช่เสียงของเจ้ากระถางดอกไม้แล้วหละก็ ฉันคงได้วิ่งเผ่นป่าราบออกไปห้องแห่งนี้จริงๆแน่ ตัวฉันในตอนนี้ไม่หลงเหลือแล้วซึ่งภาพลักษณ์ของฮันเตอร์ผ่านศึกที่ใช้ชีวิตในสนามรบมานานถึง 16 ปี อีกต่อไป
“เธอพูดถูกแล้ว ไปกันเถอะ มันจะต้องไม่เป็นไร”
มันเป็นเส้นทางที่มีเพียงแค่แสงสลัวๆลอดมาทางช่องว่างของฉันหนังสือแต่ละชั้น มันมีหนังสือจำนวนมากเรียงรายอยู่ในชั้นพวกนี้แต่ว่าหนังสือเหล่านี้ไม่ได้มีชื่อผู้แต่งอยู่บนปกของมัน ฉันใช้เวลาไปเกือบเป็นชั่วโมงในการเดินผ่านชั้นหนังสืออันสุดท้ายไปในขณะที่มองผ่านหนังสือพวกนี้ไปอย่างช้าๆ
แล้วเวลาที่นี้มันเดินเร็วเท่ากับข้างนอกหรือป่าวนะ? เพราะว่าในโลกใบนี้ฉันสามารถที่จะใช้สกิลเพ่งจิตได้ตลอดเวลามันก็น่าจะคล้ายกับการที่ทำให้โลกข้างนอกนั้นหยุดนิ่งเลยนิ
– เฮ้ แม่มด
“……!”
ในขณะที่ฉันเดินดูไปรอบๆทันใดนั้นเองฉันก็สัมผัสได้ว่า…ชั้นหนังสือทั้งหมดที่อยู่ภายในห้องๆนี้กำลังล้อมรอบฉันอยู่
‘มันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหรกัน?’
ในทันใดนั้นเอง ฉันได้ดึงเอาดาบอีเทอร์ของตัวเองออกมาและเปิดการใช้งานมัน เจ้ากระถางดอกไม้ที่ปกติแล้วมักจะช่วยเหลือฉันจากภายในช่องเก็บของตอนนี้กำลังนั่งอยู่ด้านบนมือซ้ายของฉันด้วยการทำแบบนี้เองมันทำให้เธอสามารถที่จะร่ายเวทมนตร์ออกมาได้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น
ฉันอยากที่จะได้ทดสอบความแข็งแกร่งของเธอแต่แล้วหนังสือภายในชั้นหนังสือที่อยู่ล้อมรอบทั้งหมดก็ได้บินขึ้นไปในท้องฟ้าและเริ่มที่จะรวมเข้าด้วยกัน หนังสือที่รวมเข้าด้วยกันเหล่านี้ได้เริ่มที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกลายมาเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ยักษ์และได้จะตกลงมาที่ตรงหน้าของฉัน
[ห้องสมุดแรงค์ E และแรงค์ที่เหนือไปกว่านี้มีเพียงแค่แม่มดที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถจะเข้าไปได้]
[ไม่งั้นแล้วก็จักต้องเป็นบุคคลที่ควรแค่แก่การที่จะกลายเป็นแม่มด]
[เจ้าใช่แม่มดหรือไม่? หากเจ้าไม่ใช่แม่มดหละก็เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นแม่มดรึป่าว?]
“ไม่ทั้งคู่แหละ ฉันแค่จะเข้าไปเท่านั้นเอง”
[ถ้างั้นแล้วเจ้าจำเป็นที่จะต้องได้รับการทดสอบ]
[เนื้อหาการทดสอบนั้นง่ายดาย]
[ข้าคือระบบแม่มดที่มีหน้าที่จัดการสิทธิในการเข้าถึงคลังหนังสือในแรงค์ E]
[ล้มข้าลงให้ได้แล้วเจ้าจะได้ผ่านไป]
ปกหนังสือของหนังสือที่มีขนาดเทียบเท่ากับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ด้านหน้าของฉันนี้ได้เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับมัน ลวดลายต่างๆมากมายได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฉันก่อนที่ชื่อของหนังสือจะถูกสลักลงไป
[โลกมนุษย์]
“โลกมนุษย์?”
คำถามนั้นอยู่ในใจฉันได้เพียงช่วงสั้น
ก่อนที่ห้องขนาดมหึมาจะได้ถูกเปิดออก หญิงสาวที่มีเส้นผมสีขาวอยู่ในชุดสีขาวได้เดินออกมาจากห้องแห่งนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงพลังงานที่เหมือนกันกับพลังงานที่ฉันสัมผัสได้จากมานาในร่างของตนเองออกมาจากตัวเธอ ที่ด้านหลังของเธอ หน้าของหนังสือขนาดยักษ์ที่พลิกไปมาในที่สุดก็ได้หยุดลง
[เด็กเลี้ยงแกะ]
ทันทีที่หน้าหนังสือได้หยุดลงฉันสามารถที่จะสัมผัสได้ว่าพื้นที่โดยรอบตัวของฉันได้เริ่มมีการบิดเบี้ยวเกิดขึ้น ฉันสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเดียวกันเลยกับเมื่อตอนที่ฉันเดินทางไปต่างโลก
วิ้งงงงง!
ด้วยสายลมที่เยือกเย็นซึ่งได้ปะปะเข้ามาที่ทั่วทั้งร่างของฉัน ฉันก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เสียแล้ว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่ฉันอยู่มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่กำลังไล่ตีมอนสเตอร์แกะขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าตัวเขาเองหลายเท่า ที่ด้านหลังของเขาเองก็มีหมาป่าหลายสิบตัวเดินตามเขาราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่
“เดวก่อนนะ เดวก่อน เด็กเลี้ยงแกะมันควรที่จะเป็นแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?”
โดยที่ไม่ได้มีสัญญาณเตือนใด เด็กชายได้ตะโกนขึ้น
– หมาป่า! ไปกัดเขาซะ!
“อะไรนะ? เชี่ย-!”
ตึก ตึก!
ตามคำสั่งของเด็กคนนั้น หมาป่าหลายสิบตัวเริ่มที่จะวิ่งตรงมาที่ฉัน เจ้ากระถางดอกไม้ได้ช่วยเหลือยฉันด้วยเวทมนตร์สายลมบางอย่างในขณะที่ฉันได้ปกคลุมมานาของตนเองลงไปที่ดาบอีเทอร์
‘ฉันไม่รู้ว่านี้มันเรื่องเชี่ยอะไรกัน แต่ว่าถ้าหากว่าฉันเอาชนะเธอได้ฉันแน่ใจเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องโอเคแน่นอน!’
แต่ว่า
ทันใดในโลกก็ได้สั่นสะเทือนขึ้นมาและร่างกายของฉันก็ได้จมลงไปในพื้นดิน
ไม่สิ ถ้าที่บอกไว้แม่นยำกว่านั้นก็คือราวกับว่าโลกได้ขยับขึ้นมากปกคลุมตัวฉัน
“นี้มันเชี่ยอะไรกันวะเนี่ย?”
ฉันได้เหวี่ยงดาบอีเทอร์ของตัวเองออกไปทางด้านหมาป่าทั้งหลาย มอนสเตอร์หมาป่าเหล่านี้นั้นมีระดับราวๆแรงค์ E เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าการฆ่าพวกมันคงจะเป็นเรื่องง่ายแต่อยู่ๆก็ได้มีหิมะตกลงมาจากท้องฟ้าและภายในเวลาไม่กี่วินาทีหิมะเหล่านี้ก็ได้สูงเลยเข่าฉันขึ้นมาแล้ว
[สุนับแห่งแฟลนเดอร์ส]
ชื่อหนังสือได้เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง หมาป่าทั้งหมดได้ถูกแช่แข็งจนตายลงและแกะทั้งหลายก็ได้อาละวาดไปทั่ว
แบะๆๆๆ!!!
กลุ่มของแกะที่บ้าคลั่งพร้อมด้วยตัวอักษร 王 ที่สลักไว้บนท้องของพวกมันได้พุ่งตรงเข้ามาที่ฉัน
“กึก!”
ตึง!
ฉันได้กัดฟันของตนเองในขณะที่ได้กลิ่งหลบออกไปจากเส้นทางที่แกะพวกนั้นได้พุ่งเข้ามา ระดับของแกะพวกนี้นั้นอยู่ราวๆแรงค์ D ซึ่งเป็นแรงค์ที่สูงกว่าของหมาป่าพวกนั้นแต่ว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรที่มีความแตกต่างเป็นพิเศษเกี่ยวกับพวกมัน
ฉันได้กระโดดขึ้นไปและตัดคอของแกะตัวหนึ่งออกหลังจากนั้นฉันก็ได้ทิ้งตัวลงด้านหลังของมันและกลิ้งออกไป ด้วยการใช้แรงส่งที่ได้จาการกลิ้งตัวฉันได้กระโดดพุ่งตัวไปทางมอสเตอร์อีกตัวหนึ่งและแทงไปอกของมัน
แกะสองตัวได้พุ่งตรงเข้ามาที่ฉันจากทั้งสองด้าน พวกมันวิ่งมาด้วยขาทั้งสองข้างจากนั้นก็ได้กำหมัดของพวกมันแน่นและเหวี่ยงหมัดของพวกนั้นออกมาเพื่อที่จะอัดฉัน แต่ต้องขอบคุณที่เจ้ากระถางดอกไม้ได้สร้างแท่นกระโดดไว้ตรงพื้นให้กับฉันด้วยเวทมนตร์ของเธอแล้ว ฉันจะออกแรงกระทืบไปที่แท่นกระโดดและบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
ฉันได้สอดส่องสายตาของตนเองสำรวจไปที่พื้นดินโดยรอบ ฉันก็ได้เห็นว่ามีฝูงของแกะเป็นหลายร้อยตัวพุ่งไปมาเต็มพื้นที่นี้ไปหมด ฉันไม่สามารถที่จะรับมือกับจำนวนที่มาขนาดนี้ได้ไม่ว่าฉันจะใช้วิธีไหนก็ตาม
‘ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันคงจะต้อง…’
ในเสี้ยวพริบตาที่ฉันจะเอาระเบิดออกมาจากช่องเก็บของและขว้างพวกมันลงไปนั้นเอง หิมะได้หยุดตกลงและฉันก็ได้พบว่าตนเองกำลังอยู่ภายในป่า
“นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
แล้ว หญิงแก่ๆคนหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นมาไม่สิ…มันไม่ใช่คน มันเป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกับว่าเป็นหญิงแก่ต่างหาก
– เจ้าสนใจที่จะลองแอปเปิลนี้สักหน่อยไหมหนุ่มน้อย
หญิงแก่คนนี้ได้เสนอแอปเปิลให้กับฉันแต่ฉันคิดว่ามันจะต้องมีพิษแน่ดังนั้นฉันจึงได้ขยับข้อมือของตนเองและฆ่าเธอด้วยดาบอีเทอร์
– เจ้าสารเลวชั่วร้าย! กินมันนนน!
เธอได้ขว้างแอปเปิลมาทางฉัน
‘…..!’
ฉันรีบกลิ่งหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ในจุดแอปเปิลลูกนั้นได้ตกกระทบก็ได้เกิดระบิดขึ้น แรงระเบิดของมันรุนแรงยิ่งกว่าระเบิดอีเทอร์ที่ฉันใช้ซะอีก
ฉันอยู่ในจุดที่ห่างไกลออกไปจากการระเบิด ฉันได้รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วฟันลงไปที่หญิงชราคนนี้
เก๊ง!
บริเวณโดยรอบได้เปลี่ยนไปอีกครั้งในคราวนี้มันได้กลายเป็นป้องปราการในยุคกลาง ป้อมปราการแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยนัทแคร๊กเกอร์(ผู้แปล : ตัวที่คล้ายกับตุ๊กตาไม้ที่ใส่ชุดทหารสีแดงแล้วปากมันขยับขึ้นลงเอาไว้ใช้ถั่วเข้าไปทั้งเปลือกเพื่อกะเทาะเปลือกถั่วออกนะครับ) ที่มีความสูงอย่างน้อยๆก็ 5 เมตร
– โอ้วมันคือวอลนัท! กัดไปที่ก้นของชายคนนั้นนน!!!
“ม่ายยยย”
ตึง! ตึง! ตึง!
มัทแคร็กเกอร์เริ่มที่จะวิ่งตรงมาที่เขาด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว ฉันไม่ได้ต้องการที่จะนั่งรอให้พวกมันมาเปิดตูดตนเองหรอกนะดังนั้นแล้วฉันเลยพุ่งตรงไปยังนัทแคร็กเกอร์ตนหนึ่ง ฉันได้กระโดดที่แขนของมันและกระโดดพุ่งต่อไปที่ไหล่ของเจ้าหุ่นตัวนี้เพื่อที่จะได้พุ่งต่อไปยังจุดที่แม่มดได้ยืนอยู่แล้วทำการบิดเบือนโลกแห่งนี้ไปเรื่อยๆ
บนพื้นดิน นัทแคร็กเกอร์ได้เหวี่ยงแขนของมันเพื่อที่จะโจมตีฉันแต่ว่ามันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
‘คุณลูกค้า! ได้โปรดทำอะไรสักอย่างเพื่อให้โลกบ้านี้มันหยุดเปลี่ยนไปเรื่อยๆสักทีสิครับ!’
<นั้นเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ>
<สถานที่แห่งนี้ได้เกิดจากการที่จิตนาการของตัวคุณเองกับความเป็นจริงได้ประสานกันค่ะ>
<ฉันไม่สามารถที่จะทำการแทรกแซงกับโลกแห่งความเป็นจริงของคุณได้ค่ะ>
‘นี้เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกัน?’
มันไม่ได้ใช้เวลานานมากนักก่อนที่ฉันจะเข้าใจว่าคุณลูกค้าต้องการที่จะสื่ออะไรออกมา
ในจังหวะนั้นเองเมื่อฉันคิดว่าฉันจะจับแม่มดตนนี้ได้ โลกก็ได้พลิกกลับด้านจากขึ้นเป็นลง
แล้ว
ชึกชักชึกชัก!
รถไฟใต้ดินไปผ่านด้านข้างของฉันไป
มีตึกสูงมากมายหลายสิบชั้นที่ตั้งอยู่ด้านหน้าและรถยนต์หลายสิบคันที่ผ่านตึกพวกนั้นไป ฉันได้หลบพวกมันไปด้วยการเคลื่อนที่ได้ด้านข้างแต่แล้วรสบัสขนาดใหญ่ก็ได้ตกลงมาจากท้องฟ้า ไม่สิ มันไม่ได้กำลังตกลงมามันเป็นเพราะว่าทางหลวงทั้งหมดได้ตั้งฉากขึ้นไปยังท้องฟ้าคล้ายกับว่าเป็นกำแพงต่างหาก
ที่แห่งนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย
พื้นที่แห่งนี้นั้นคล้ายกับโลกแห่งความเป็นจริงแต่มันมีบางส่วนของพื้นที่ซึ่งถูกบิดเบื้อนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น
<ในสายตาของแม่มดตนนี้แล้ว สถานที่แห่งนี้คือมิติที่ห้าของโลกแห่งความเป็นจริง>
<มีสมาธิเข้าไว้นะคะคุณซอดัม>
<ถ้าหากว่าคุณถูกโจมตีในพื้นที่แห่งนี้หละก็ ส่วนหนึ่งของจิตใจคุณจะกลายมาเป็นแม่มดค่ะ>
‘งั้นฉันควรจะทำยังไงดี? ในเมื่อเธอบอกว่าเธอไม่สามารถที่จะแทรกแซงที่แห่งนี้ได้นิ’
<แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งเกิดจากโลกแห่งความเป็นจริงและจินตนาการได้ประสานเข้าด้วยกัน ก็อย่าลืมไปสิค่ะว่าที่แห่งนี้ยังคงเป็นโลกในจิตนาการของคุณเองอยู่นะคะ>
<คุณสามารถที่จะทำในสิ่งที่แม่มดทำได้ทุกอย่างเลยค่ะ>
‘อะไรนะ?’
ในจังหวะนั้นเอง
ผู้ดูแลสิทธิแรงค์ E ก็ได้พยายามที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง มันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่ด้วยอะไรบางอย่างฉันกลับรู้สึกถึงมันได้
ดังนั้นแล้วฉันได้เพ่งสมาธิด้วยทั้งหมดที่ฉันสามารถที่จะทำได้ในตอนนี้
แล้วฉันถึงกับประหลาดใจ แม่มดตนนั้นได้เซไปจากจุดเดิม พื้นที่แห่งนี้ยังคงเป็นเหมือนเดิมฉันไม่ได้ถูกย้ายไปยังโลกแห่งเทพนิยายอื่นๆอีกต่อไป
‘ฉันก็ไม่ได้แน่ใจมากนักแน่แต่ดูเหมือนว่าฉันคงได้ทำอะไรบางอย่างไปแน่ๆ’
งั้นเริ่มแรกเลยทำไมฉันไม่เอาดาบอีเทอร์และระเบิดมากมายมาที่โลกแห่งนี้หละ?
ทำไมฉันจะต้องไปพยายามสู้ด้วยความสามารถทางด้านเวทมนตร์และร่างกายในโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ระดับสูงด้วยหละ?
มันเป็นการกระทำที่โง่เขลาของฉันเอง
ฉันได้ลอยขึ้นไปยังอากาศและสะบัดมือไปมา ตึกที่อยู่ตรงหน้าของฉันได้เอียงไปในทิศทางที่ฉันต้องการแล้วฉันก็ได้กระโดดไปที่มันและขี่มันไปทางแม่มด
โดยที่เธอไม่ได้ขยับเขยื้อนมือของตนเองเลยสักนิด แม่มดได้แยกตึกที่ฉันกำลังเหยียบอยู่ออกเป็นสองส่วนทำให้ฉันล่วงลงไปยังพื้นเบื่องล่าง มันมีอุโมงรถไฟใต้ดินขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านใต้ดังนั้นแล้วการลงจอดของฉันเลยไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตนเองคิดไว้
ยังไงซะแม่มดตนนี้ก็ยังทรงพลังมากกว่าฉันอยู่ดี
เธอสามารถที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่มีตัวตนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระแต่ฉันสามารถที่จะทำได้เพียงแค่การจัดการพื้นที่แห่งนี้ด้วยการทำท่าทางผ่านมือของตนเอง
ตึกขนาดใหญ่ได้ตกลงมาเหนือหัวของฉันแต่ฉันไม่ได้วิ่งเพื่อที่จะหลบมัน ฉันสามารถที่จะหลบหลีกมันได้ด้วยการจัดเส้นทางของสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้
‘โอ้ว นี้มันสะดวกสะบายเสียจริง!’
ฉันคิดเช่นนั้นเพียงชั่วขณะ
– สถานนีแห่งนี้คือ….
– ทางออกอยู่ทางด้านซ้ายมือ
– หากว่าคุณต้องการจะไปยังสถานีชัมชิล,ซาดัง หรือสถานีชินโดริม…
– โปรดใช้เส้นทางที่สองของสถานีแห่งนี้
“หะ?”
ทันใดนั้นเองรถไฟใต้ดินก็ได้หยุดลงกลางอากาศพร้อมกับตึกมากมายที่กำลังตกลงมาที่ฉัน ฉันได้กระโดดไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกมัน มองดูไปที่สถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ตึกพวกนั้นกับรถไฟใต้ดินนี้จะต้องชนกันอย่างแน่นอน
ในท้ายที่สุด…
ตูม!
ตึง! ตึง!
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองฉันก็ได้หลบมันด้วยการเหยียบบันไดที่มุ่งขึ้นไปในอากาศพร้อมกับหลบเศษซากที่ล่วงหล่นลงมาจากการปะทะ ฉันสามารถที่จะเห็นได้ว่าตึกที่แม่มดตนนี้ได้ใช้เป็นยืนอยู่เธอได้สร้างระยะห่างระหว่างพวกเรามากขึ้น
เธอได้ควบคุมพื้นที่ทั้งหมดโดยรอบของเธอเพื่อที่จะออกห่างจากตัวฉัน เธอสามารถที่จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้ถ้าหากว่าฉันนั้นเหนื่อยเกินไปและก้าวพลาดขึ้นมา
แต่เธอจะรู้ไหมนะ?
ว่าความจริงแล้วระยะของพื้นที่ที่ฉันสามารถจะควบคุมได้นั้นน้อยนิดเป็นอย่างมาก
– สถานีนี่คือสถานนี่รถไฟขนส่งความเร็วสูง ของรถไฟรถขนส่งความเร็วสูง
[อ้าาาาาาา]
แต่มันยังอยู่ในขอบเขตที่ทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของของบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่อยู่แล้วได้
ตูม!
รถไฟขนส่งได้ปะทะเข้ากับด้านข้างของเธอและส่งเธอลอยออกไปยังท้องฟ้า
[คุณมีคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าสู่ห้องสมุดแรงค์ E เรียบร้อยแล้ว]
ข้อความได้เด้งขึ้นมาราวกับว่าจะฉลองให้กับความสำเร็จของฉัน
“หา?”
ฉันได้หันหลังกลับไปเนื่องจากความรู้สึกที่ว่าถูกจ้องมองด้วยอะไรสักอย่างมาจากทางด้านหลังของตนเอง
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
“…..!”
โลกมนุษย์ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
เมื่อหญิงสาวที่มีเส้นผมสีขาว พร้อมกับดวงตาที่ขาวใสได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหนของตัวเธอเอง หญิงสาวที่มีผิวสีดำที่ยืนอยู่ด้านขวาของเตียงนอนเธอได้เข้ามาหาที่ด้านข้างของเธอ
“คุณเห็นคำทำนายที่เป็นลางร้ายหรือค่ะ?”
“…ไม่ค่ะ มันโอเคดี”
เธอเป็นผู้พยากรณ์ เยคาเตรินา ผู้พยากรณ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้ ความสามารถในการ ‘พยากรณ์’ ของเธอไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการได้รับมาผ่านทางอีเทอร์แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ยอดมนุษย์แรงค์ SS ที่คุ้มกันผู้พยากรณ์ อัลฟ่า มองดูไปที่เยคาเตรินาดัวยสีหน้าที่จริงจังอยู่บนใบหน้าของเธอ
เยคาเตรินามักจะตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยน้ำตานองหน้าของตนเองเสมอ ในความฝันของเธอ เธอสามารถที่จะเห็นถึงอนาคตที่ไม่มีใครสักคนรู้ได้ เธอเป็นผู้พยากรณ์ที่มักจะส่งคำเตือนให้กับโลกใบนี้เมื่อเธอได้เห็นถึงอนาคตที่น่าสะพรึงกลัว
‘มันเป็นอันตรายอย่างมาก’
‘ห้ามทำเช่นนั้น’
‘คุณไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น’
คำพยากรณ์ของเยคาเตรินาเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน 100% เธอไม่เคยทำนายผิดพลาดเลยสักครั้งดังนั้นแล้วอัลฟ่าจึงได้มอบหมายหน้าที่ให้มาปกป้องเยคาเตรินาจากสมาคมฮันเตอร์
“อนาคตแบบไหนกันที่เธอได้เห็นในครั้งนี้? ฉันควรที่จะต้องโทรเรียกสภาพยากรณ์รึป่าว?”
สภาพยากรณ์เป็นกลุ่มของผู้คนที่สามารถคาดเดาได้ว่าความฝันของเยคาเตรินานั้นสื่อถึงอะไรและเกิดขึ้นที่ไหน
แต่เยคาเตรินาได้ส่ายหัวของเธอ
“มันโอเคดี ฉันคิดว่าภัยพิบัติได้รับการแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว”
“คุณว่าอะไรนะครับ?”
เธอไม่ได้เข้าใจมันทั้งหมดแต่เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง มีใครบางคนได้รับจัดการกับปัญหานี้ไปแล้ว
‘อนาคตที่น่าสะพรึงกลัว’ มันเป็นคำที่เหมาะสมกับภัยพิบัติในความฝันของเธอที่สถานที่ทุกแห่งหนในโลกใบนี้ได้บิดเบี้ยวและกลับหัวกลับหาง
มันมีคนสองคนได้ยืนอยู่ในสถานที่อันแสนน่ากลัวเช่นนั้น หญิงสาวอยู่ในชุดสีขาวกับชายหนุ่มที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆคนที่เธอเชื่อว่าเป็นฮันเตอร์ได้กำลังทำการต่อสู้กับอีกฝ่ายท่ามกลางภัพพิบัตินี้
ในท้ายที่สุด ฮันเตอร์คนนั้นก็สามารถที่จะเอาชนะแม่มดตนนั้น คนที่เธอเชื่อว่าเป็นตนเหตุของหายนะทั้งหมดนี้ลงได้
‘ในจังหวะสุดท้าย มันชัดเจนเลยว่าชายคนนั้นมองมาที่ฉัน’
การที่จะได้เจอกับใครสักคนในคำพยากร์ความฝันนะเหรอ? มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี ฉันคิดว่าเขาสบตากับฉันแน่นอน
‘อาจจะอะนะ…’
เธอได้ยกมือที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นมาและลูบไปที่ใบหน้าของเธอ
‘เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสามารถในการพยากรณ์บ้านี้ก็ได้’