ตัวเอกพวกนั้นฉันฆ่าเองแหละ - ตอนที่ 66
มันใช่เวลาถึงสามวันสำหรับยีซาฮเยในการออกจากภาควิชาหน่วยสนับสนุนการล่าของเธอเพื่อเปลี่ยนมาเซ็นต์สัญญากับกิลด์ซอดัมแทน เธอได้ใช้เวลาทั้งสามวันนี้ในการจัดการเรื่องต่างๆทั้งในส่วนของภาควิชาและธุรกิจครอบครัวของเธอเอง ดูๆไปแล้วเธอนะอยากจะเป็นฮันเตอร์มากกว่าที่เธอคิดเสียอีกและมันก็เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอยู่ในทุกการกระทำของเธอ
แล้วอยู่ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของยูซอดัม เขาคิดว่าหากฮีซาฮเยเข้าร่วมกับเดอมาร์ตามเนื้อเรื่องดังเดิมแล้วหละก็ด้วยพื้นฐานความพรสวรรค์และความมุ่งมั่นของเธอแล้ว เธอคงจะได้รับมูกงและก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนกลายมาเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังในกับอีดงจุนเป็นแน่
ยูซอดัมรู้สึกโล่งใจที่เขาสามารถจะฉกตัวเธอมาได้ล่วงหน้า
– คุณมีสมาชิกกิลด์สามคนเรียบร้อยแล้วหรือครับ?
“ใช่แล้ว”
ริวจินซูก็เป็นคนที่ได้ให้ความช่วยเหลือกับยูซอดัมในการสร้างกิลด์อย่างกระตือรือร้น ยูซอดัมยังคงไม่สามารถที่จะรู้ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาได้อยู่ดี ว่าที่เขาได้ช่วยเหลือตนนี้เป็นเพราะว่ามันมีอะไรในก่อไผ่อะไรหรือเป็นเพราะความสัมพันธ์อันแสนยาวนาน 16 ปีของพวกเขา
– แล้วกับคุณวีฮุนนี้เป็นยังไงบ้างหละครับ?
“ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ ฉันคิดว่าพวกเราคงนับว่าอยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหละมั้งแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้นหนะสิ”
– คุณควรที่จะเข้ากับเพื่อนของคุณได้นะครับ
“นี้นายกำลังพูดถึงฉันอย่างนั้นเหรอ?”
– อย่างผมก็เข้ากันได้ดีกับเพื่อนทุกๆคนเลยนะครับ
ริวจุนซูเป็นคนที่สุภาพกับทุกคน มีข่าวลื่อด้วยว่าเขาพูดอย่างเป็นทางการแม้แต่กับแมวที่เข้าเลี้ยงไว้ที่บ้านแต่นี้มันดูเป็นเรื่องที่แม้แต่ตัวของยูซอดัมเองที่ได้รู้จักเขามานานกว่า 16 ปีก็ทำใจเชื่อไม่ลง ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันก็เป็นเรื่องจริงที่ริวจินซูได้เข้าหาทุกคนด้วยอัธยาศัยที่ดีแต่เขากลับไม่ได้สนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานของเขาเลย
เทเลอร์เองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขามากนักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันแล้วและหญิงสาวที่ในตอนนี้ทำงานอยูภายใต้ชื่อของ ‘เฮโลนี่’ ก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวบางอย่างกับริวจินซูส่วนสำหรับตัววีฮุนเองก็เช่นกัน ก็วีฮุนนะถูกบดบังด้วยความอิจฉาได้อย่างง่ายดายเลยนิ
มันพูดได้เลยว่าทักษะทางสังคมของริวจินซูนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมา ริวจินซูยังคงไม่รู้ว่าทุกๆรอยยิ้มที่สุภาพและแสดงถึงความเคารพของเขาไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเขาหรอกนะ เขาคงจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ถ้าหากว่ากิลด์ของเขาเป็นในเชิงธุรกิจแทนที่จะเป็นกิลด์ที่ใช้คุณค่ากับ ‘ประเพณี’ เช่นนี้
– ยังไงก็ตาม ผมก็อยากที่จะคุยกับคุณมากกว่านี้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอุปกรณ์ เพื่อที่คุณจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนะครับ
“นายมีเคล็ดลับดีๆอะไรอย่างนั้นเหรอ? ใช้เรื่องจำพวกวิธีในการที่จะได้อุปกรณ์เพิ่มเติ่มใช่มะ”
– ผมก็ไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรอกครับก็กิลด์ของผมไม่ได้รับการสปอนเซอร์ใดๆจากอุตสาหกรรมเลยนิครับ
“….”
ริวจินซูได้ปลุกพลังพิเศษของเขาขึ้นและได้ใช้มันเพื่อทำให้ตนเองได้รับโชคลาภมาจนถึงทุกวันนี้ เขาน่าจะมีเงินเยอะมากๆจนทำให้เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องได้รับการสนับสนุนด้านอุปกรณ์จากอุตสาหกรรมอุปกรณ์เลยสักนิด ไม่เหมือนกับยูซอดัมที่ยังคงรอคอยสปอนเซอร์จากที่อื่นๆ เขาคงจะได้ทำสัญญากับเวิร์คช็อปส่วนตัวอยู่ แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ตามกิลด์ของยูซอดัมก็ยังห่างไกลเกินไปจากการจะไล่ตามกิลด์เลย์ตันวัน
– แต่ยังไงก็ขอให้โชคดีนะครับ ผมจะติดต่อคุณอีกทีเมื่อผมมีเวลาสำหรับการร่วมกันเป็นสหภาพนะครับ
“โอเค”
ริวจินซู ในหลายๆแง่มุมแล้วนั้น เขาเป็นคนที่ใจกล้าและเป็นคนที่เพื่อนๆรับมือได้อย่างยากลำบากแต่ว่ามันก็ไม่ได้การพูดเกินจริงไปเลยว่าเขาจะเป็นคนที่ได้ช่วยเหลือยูซอดัมมากที่สุดในขั้นตอนต่างๆของการสร้างกิลด์ของซอดัม ไม่สิ ตามจริงแล้วมันดูเหมือนว่าวีฮูนจะมีจะช่วยเหลือมากกว่าอยู่หน่อยนะ
อย่างไรก็ดีมันไม่ได้เป็นส่วนที่สำคัญเลย
“หา? ไม่ใช่ว่านายควรที่จะสร้างกิลด์ขึ้นมาในทันเลยไม่ใช่หรือไงกัน?”
“ไม่หละ ฉันวางแผนไว้ว่าจะชะลอมันไว้อย่างน้อยที่สุดก็สักสองปีก่อนนะ”
“ทำไมหละ?”
“ก็เพราะว่าฉันไม่มีตึกกิลด์นะสิ…”
“อ้า…”
ฮาซุนยังถึงกับชะงักไปอย่างช่วยไม่ได้หลังจากที่เธอได้ยินคำพูดของยูซอดัม มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะว่าคนๆนี้ก็มารับสมัครคนสำหรับกิลด์ของตนเองแม้ว่ากิลด์ของเขาจะยังไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนเลยก็ตาม
ในช่วงของรอยแยกลึกลับครั้งล่าสุดนั้น ยูซอดัมได้รับเงินมากค่อนข้างมากและในตอนนี้เขาก็ไม่ได้ต้องจำเป็นที่จะต้องอาศัยพวกอุปกรณ์ราคาแพงอีกต่อไปแล้ว มันยังมีส่วนอื่นๆอีกมากที่เขาจะต้องนำเงินไปละลาย
จุดหลักสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับสำนักงานใหญ่กิลด์เลยก็คือสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถจะใช้ในการทดสอบหรือฝึกฝนพลังพิเศษสำหรับพลังที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนได้ มันคงจะต้องเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างจะหนักเอาการสำหรับการค้นหาสิ่งก่อสร้างที่จะทนมือทนเท้ากับพลังที่ยอดมนุษย์ปลดปล่อยออกมาได้
“งั้นในระหว่างสองปีนี้ฉันควรทำอะไรดีหละ?”
นี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเช่นกัน ในกรณีของยีซาฮเย ยูซอดัมสามารถที่จะสอนเพลงดาบให้กับเธอที่ยิมเจ้าประจำของเขาได้และชินฮเยจีก็จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยการรับเอามูกงมาจากพ่อของเธอแต่สำหรับกอมฮีแล้วเธอถูกระงับการใช้มูกงของตนเองไว้ด้วยข้อห้ามและไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ยูซอดัมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้เธอไปทำอะไรในระหว่างนี้ดี
“ก่อนหน้านี้เธอทำอะไรมาหละ?”
“ฉันก็ทำงานพาร์ทไทม์ในร้านคอมนะ แต่ว่าฉันถูกไล่ออกจากงานพาร์ทไทม์นี้แล้ว ก็กลุ่มลูกค้านะพากันคอยมาตอแยฉันและฉันก็ทนมันไม่ไหวนะสิ ฉันเลยลงมือหลักข้อไปนิดหน่อยและชายคนนั้นก็ไม่ยอมให้เรื่องมันจบลงง่ายๆ เขาไม่ยอมให้เรื่องมันจบเลยจริงๆ”
“…..”
เธอพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกแต่ยูซอดัมกลับไม่สามารถที่จะขำออก
ดังที่ผู้คนได้กล่าวกันไว้ว่าผู้คนทั้งหลายจากมูริมที่ได้ปกปิดมูกงของพวกเขาไว้ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้ความสามารถของตนเองได้ดังนั้นพวกเขาหลายต่อหลายคนจึงได้ไปทำงานในไซต์ก่อสร้างหรือไม่ก็พวกงานพาร์ทไทม์ กลุ่มคนเหล่านี้นั้นได้ห่างหายไปจากสังคมเป็นเวลานานมันเลยเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะปรับตัวให้เข้ากับช่วงเวลาในยุคปัจจุบันได้
มันจะน่ามหัศจรรย์มากเลยถ้าหากว่าพวกเขาสามารถจะใช้พลังของตนเองในการล่าได้นะ?
“อะไรเล่า? ทำไมเธอถึงได้จ้องมาที่ฉันแบบนี้?”
“ฉันก็แค่มองไปที่นายแบบปกตินั้นแหละ”
“จิจิ….”
เธอเดาะลิ้นของตนราวกับว่าเธอรู้ว่ายูซอดัมกำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันจะไปทำอะไรได้หละ? ฉันเองก็ไม่อยากตายแค่เพราะว่าตัวเองใช้มูกงออกมาด้วยเหตุผลโง่ๆหรอกนะ มันก็น่าหงุดหงิดนิดหน่อยแหละที่ใช้พลังไม่ได้นะแต่มันก็ยังดีกว่าช่วงแรกๆอะนะ”
ฮาซุนยังและยูซอดัมอยู่ที่กึมกังยิมในตอนนี้ พวกเขามาเพื่อยืนยันบางอย่างให้แน่ใจเกี่ยวกับ ‘ข้อห้าม’ ในตัวเธอ แม้ว่ากึมกังยิมจะเป็นสถานที่ฝึกฝนทำหรับยอดมนุษย์และฮันเตอร์ฝึกหัดแต่ว่าในวันนี้ยูซอดัมได้เช่าสถานที่ทั้งหมดเอาไว้แล้ว
“ให้ฉันได้เห็นข้อห้ามนั้นด้วยตาของฉันเองจะได้ไหม?”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นรอยสักที่อยู่ลึกลงไปตรงต้นคอด้านขวาของฉันเอง”
เธอคิดเรื่องนั้นไว้อยู่แล้ว ฮาซุนยังได้ปลดกระดุมเสื้อของเธอออกและดึงมันลงมาครึ่งหลังและเมื่อเธอม้วนผมของตัวเองขึ้นไป ลำคอขาวๆของเธอก็ปรากฎออกมาเต็มตา
บนผิวสีขาวนวลของเธอ มีรอยสักสีแดงอยู่บนผิวหนังของเธอ
รอยสักอันนี้ไม่เหมือนกับมูกงโดยปกติทั่วไป มันมีร่องรอยของบางส่วนของ ‘มานา’ อยู่บนมัน เหมือนกับว่ามูกงเองก็มีการใช้มานาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนด้วยเช่นกันแต่ว่าวิธีการของมันนั้นแตกต่างไปจากเวทมนตร์ที่ยูซอดัมได้เรียนรู้มาไปโดยสินเชิง
‘ห้องสมุดของแม่มดขาวค้นหามันที’
[เปิดใช้งานสกิลของห้องสมุดแม่มดขาว (E)]
[กำลังทำการค้นหา…]
[ผลลัพธ์การค้นหา : ไม่มี]
[ต้องการที่ค้นหาอย่างอื่นอีกหรือไม่?]
‘ไม่หละ ขอบคุณ’
อันดับแรกเลยมันไม่ได้เป็นสิ่งที่เหมือนกับเวทมนตร์ ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับอาคมหรือค่ายกลอย่างนั้นเหรอ?
“มันเป็นศาสตร์แห่งเต๋านะ”
“ฉันว่าแล้ว”
สิ่งที่พอจะบอกได้เกี่ยวกับสิ่งนี้ก็คือมันเป็นศาสตร์บางอย่างที่มาจากโลกแห่งศิลปะการต่อสู้เท่านั้นเอง กรอบการทำงานพื้นฐานของรอยสักนี้นั้นคล้ายคลึงกับเวทมนตร์เป็นอย่างมากแต่ว่าไม่เหมือนกับเวทมนตร์ที่ใช้วงเวทมนตร์หลากหลายรูปแบบในการควบคุมปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างเป็นระบบระเบียบ ศาสตร์แห่งเต๋าดูเหมือนว่าจะใช้ความหมายของมานาด้วยตัวของมันเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โดยสรุปแล้ว
‘ฉันไม่สามารถที่จะทำไรกับเรื่องนี้ได้เลย’
นี้มันแย่มากเลย หากว่ายูซอดัมประสบความสำเร็จในการลบผลของข้อห้ามที่อยู่บนตัวเธอที่นี้ได้หละก็ ฮาซุนก็สามารถที่จะเริ่มงานด้วยการเป็นฮันเตอร์แรงค์ C ได้โดยการสวมหน้ากากและทำการซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเธอเองเหมือนกับที่อีดงจุนได้ทำ
นั้นจะทำให้ยูซอดัมได้รับขุมพลังอีกอันหนึ่งให้เขาสามารถใช้งานได้นอกจากชินฮเยจีที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรจริงๆ ยีซาฮเยที่ยังคงเป็นแค่นักเรียนอยู่และกระทั้งเซเลสเต้เองก็เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ
ไม่ว่าเขาจะคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร เขาก็รู้สึกว่าการยกเลิกมันในตอนนี้จะทำให้เขาได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมาก
‘หรือว่าฉันควรที่จะไปต่างโลก ไปโลกที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ดีหละ?’
– เฮ้ แม่มด~
‘ฉันกำลังยุ่งอยู่ คอยเดียวก่อน’
– ฉันรู้เกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้นะ
‘อะไรนะ?’
ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะพอดี เสียงของเจ้ากระถางดอกไม้เข้าสู่สมองของยูซอดัมโดยตรง มันกลับกลายเป็นว่าถึงแม้ว่าห้องสมุดของแม่มดขาวจะไม่สามารถค้นหาข้อห้ามนี้ได้จากการคาดการณ์และงานวิจัยที่มี แต่กลับเป็นเจ้าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาตัวนี้แทนที่รู้เกี่ยวกับมัน ตัวตนที่รู้เกี่ยวกับเวทมนตร์เป็นอย่างดี
“เธอเรื่องศาสตร์แห่งเต๋าด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
– ช่ายย มันเป็นเทคนิคที่ถูกใช้โดยเหล่าปรมาจารย์
‘เธอรู้ได้ยังไงกัน?’
– ฉันไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็แค่รู้
คิดๆไปแล้วแม้ว่าจะเป็นในตอนที่พวกเราได้เจอกันครั้งแรกดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินนี้ก็รับรู้ได้ถึงเวทมนตร์และเรียกฉันว่าแม่มดนิ มันดูราวกับว่าเธอจะเกิดมาพร้อมกับความรู้บางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
‘เธอสามารถที่จะตีความมันได้ไหม?’
– อืมมมมม
‘ไว้ฉันจะซื้อเหล้ามาประเคนให้กับเธอเลยเมื่อเราเสร็จงานนี้แล้ว’
– ฉันจะลองดู!
หลังจากที่มันได้ออกมาจากช่องเก็บของ จิตวิญญาณสีเงินก็ได้เบ่งบานออกมาเหนือฝ่ามือของยูซอดัม ทันในนั้นเองเธอก็ได้เริ่มต้นที่จะวาดวงเวทย์ลงบนอากาศ ยูซอดัมได้แตะปลายนิ้วของตนเองลงบนรอยสักนี่
“อ้ากก”
ฮาซุนยังถึงกับส่งเสียงคร่ำครวญเมื่อมานาเริ่มที่จะไหลผ่านรอยสักของเธอ
[จุดศูนย์กลางของหน่วยประมวลผลเริ่มที่จะทำการตีความรูปแบบของเวทมนตร์ที่อยู่นอกเหนือไปจากห้องสมุดของแม่มดขาว]
[เวทมนตร์รูปแบบใหม่ได้ถูกระบุ]
[ประเมินแล้วว่าเป็นเวทมนตร์ในรูปแบบสัญญาณเตือนและรูปแบบการตรวจจับ]
[กำลังทำการบันทึกเวทมนตร์นี้ลงในห้องสมุดของแม่มดขาว]
ยูซอดัมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นข้อความของห้องสมุดแม่มดขาว เขารู้ดีว่าจิตวิญญาณดอกไม้สีเงินตนนี้ได้เชื่อมต่ออยู่กับห้องสมุดแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมีฟังก์ชันการทำงานคล้ายกับว่าตนเองเป็น ‘CPU’ ที่ถูกร่วมกับระหว่างแม่มดและจิตวิญญาณ นี่มันดูจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหรเลยจริงๆ
[ถ้าหากว่าทำให้เวทมนตร์นี้เสียหายหละก็ ตัวของเวทมนตร์จะส่งสัญญาณเตือนออกไป]
‘ถ้างั้นมันสามารถที่จะลบแค่ฟังก์ชันการทำงานเพียงอย่างเดียวได้รึป่าว?’
[คุณสามารถที่จะปิดความสามารถในการแจ้งเตือนได้เมื่อศูนย์กลางของหน่าวประมวลผลได้เสร็จสิ้นการตีความเวทมนตร์นี้อย่างสมบูรณ์]
[เวลาคงเหลือ 3 ชั่วโมงและ 17 นาทีก่อนที่จะทำการตีความเสร็จสมบูรณ์]
บางทีนี้คงจะข้อความที่เจ้าดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินต้องการพูดออกมาแต่เนื่องจากว่าในตอนนี้เธอกำลังทำการวิเคราะห์ด้วยสมาธิเต็มที่ เด็กสาวตัวน้อยที่บานออกอยู่ด้านบนของดอกไม้จิตวิญญาณได้ปิดตาของเธอลงในขณะที่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวดโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
“ฉันรู้สึกสบายตัวขึ้นยังไงก็ไม่รู้”
“อะไรนะ?”
“ก็การที่ต้องมาโชว์แผ่นหลังของตัวเองให้กับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้นั้นนั้นเป็นเรื่องที่ฉันคิดไม่ถึงเลยนายก็รู้ใช่ไหม”
“……”
มันไม่ใช่สิ่งที่คนในยุคปัจจุบันจะพูดออกมาง่ายๆแต่หากว่าคุณเป็นใครสักคนที่มาจากมูริมแล้วหละก็นั้นจะเป็นอีกเรื่องที่แตกต่างกันออกไปเลย…
“มันเป็นยังไงบ้างหละ? นายทำมันได้ไหม?”
“อ่าหะ ฉันว่าฉันจัดการกับมันได้ในอีกราวๆสี่ถึงห้าชั่วโมง”
“นี่นายไม่ได้โกหกใช่ไหม? นายทำมันได้แน่นะ?”
“ทำไมฉันต้องมาโกหกตัวหละ? ในเมื่อในอีกสี่ถึงห้าชั่วโมงฉันก็จะถูกจับได้หากว่าฉันโกหก”
“นั้นก็จริง แล้วฉันสามารถที่จะใช้มูกงได้ไหม?”
ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกตื่นเต้นและได้ถามออกมาราวกับว่าเป็นเด็กๆที่กำลังเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น ยูซอดัมตอบเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มอย่างไม่มีทางเลือก
“ใช่แล้ว และก็หยุดดิ้นไปมาสักทีแล้วอยู่นิ่งๆด้วย”
“ได้เลยค้า!”
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ
ยูซอดัมยังจะถ่ายเทมานาของตนเองออกไปอย่างต่อเนื่องในขณะที่เจ้าจิตวิญญาณนี้กำลังอยู่ในกระบวนการตีความเวทมนตร์นี้อยู่ มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่ห้องสมุดของแม่มดขาวหรือยูซอดัมก็ไม่สามารถที่จะทำมันได้
หลังจากเวลาได้ผ่านไปสักพักหนึ่ง…
ฮาซุนยังก็ได้เปิดปากของเธอขึ้น
“นี้นายรู้รึป่าว?”
“….”
“ว่าเมื่อ 40 ปีก่อนหรือว่า 20 ปีก่อนหากนับตามเวลาของโลกนี้อะนะ? ฉันนะเป็นเพียงแค่ขอทานในมูริมเอง ชาวโลกคนอื่นๆได้แสดงความสามารถและพรสวรรค์ของพวกเขาออกมาจนได้กลายมาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งแต่ว่าฉันนะแม้จะได้พยายามที่จะเข้าร่วมกับนิกายที่เก่าแก่หลายต่อหลายทีและเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาแล้วก็ตามฉันก็ทำได้แค่เหวี่ยงดาบไปมาบนถนนเท่านั้นเอง”
“อ่าหะ”
“นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสมญานามของฉันถึงได้ดูงี่เง่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของคนอื่นอย่างเช่น… ‘เจนนี่ดาบแห่งแทกุ’หรืออย่าง ‘มังกรเหลืองควอนฮวัง’ ตัวฉันนะเป็นแค่ ‘เจ้าหญิงแห่งดาบ’ ซึ่งเป็นความหมายที่ตรงตามตัวของมันเลยก็คือหญิงสาวที่มีดีแค่ดาบ เห้อ ฉันควรที่จะคิดสมญานามที่มันดูเท่กว่านี้นะ ในตอนนี้ฉันหละเสียใจกับมันจริงๆเลย”
“มันก็เท่ดีนะ แถมยังดูทันสมัยอีกไม่ใช่หรอไง?”
“เฮ้ ดูนายสิ นายนี้มันไม่ได้รู้อะไรเอาซะเลย สมญานามนะสามารถที่จะเอาไปใช้ได้ถ้าหากว่าทั้งโลกได้ยอมรับมันแล้วเท่านั้น นายรู้หรือป่าวว่ามันเป็นสิ่งที่มีเกียรติขนาดไหน? อ่อใช่ แล้วนายอยากให้ฉันหาสมญานามให้นายบ้างสักอันไหมหละ?”
“ไหนเธอพึ่งบอกว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถจะใช้ได้เมื่อทั้งโลกได้ยอมรับมันแล้วเท่านั้นไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ถ้าฉันยอมรับมันก็หมายความว่าโลกยอมรับมันไง”
เธอหัวเราะออกมาในขณะที่เธอได้พูดเรื่องมากมายให้ฉันฟัง
นับจากนั้นแล้วเรื่องราวของคุณฮาก็ได้เรื่องที่จะยาวออกไปเรื่อยๆ
เรื่องราวชีวิตที่สุดแสนจะดิ้นรนสำหรับเด็กสาวที่หมดตัวซึ่งตกไปยังมูริม
มันมีเวลาเหลืออีกมากก่อนที่จะเจ้ากระถางดอกไม้จะเสร็จสิ้นการตีความรอยสักข้อห้ามนี้
และมันเป็นเวลาที่นานเพียงพอที่จะให้หญิงสาวคนหนึ่งได้เปิดเผยเรื่องราวของเธอ เด็กหญิงที่ได้ตกลงไปยังมูริมออกมา
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง www.thai-novel.com หรือ www.amnovel.com หรือ mynovel.co แค่สามช่องทางนี้เท่านั้นนะครับ
……………………………………………………..
ณ เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาที่มีแนวยาวพาดผ่านทางตอนใต้ของเอเชีย
เทือกเขาที่มีความขาวถึง 2,400 กิโลเมตรซึ่งยังคงมีสถานที่บริเวณหนึ่งในนั้นที่ไม่ได้มีมอนสเตอร์ครอบครองเลยอยู่นับตั้งแต่ที่เกิดศึกมหาสงครามตั้งแต่เมื่อ 31 ปีก่อน มนุษยชาติยังไม่สามารถที่จะทำการกู้คือดินแดนแห่งนี้กลับคืนมาได้ แม้ว่าพวกเขาจะได้พยายามมาส่งทีมสำรวจเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะทั้งจากทั้งอินเดีย,เนปาล และจีนเพื่อที่จะเก็บกวาดมอนสเตอร์ที่อยู่ที่นั้น
มันมีกระท่อมขนาดเล็กหนึ่งหลังตั้งอยู่ที่ไหนสักที่ในเทือกเขาแห่งนี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าหลังคาของโลก
ในกระท่อมนี้เองมีหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ซอลจองยอน อาศัยอยู่
ไม่สิ ถ้าจะให้แม่นยำกว่านั้น เธอถูกขังไว้ที่นี่
ฟิ้ววววว!!
ในหิมาลัย หิมะจะโหมกระหน่ำเป็นเวลา 365 วันในตลอดทั้งปี หิมะพวกนี้ได้ตกลงมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น มันละลายและกลายมาเป็นเมฆหมอกอีกครั้ง เหตุผลนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดแต่ว่ามนุษยชาติเชื่อว่าที่ปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนั้นน่าจะเนื่องมาจากการผสานรวมกันระหว่างความเป็นจริงและดันเจี้ยนบางแห่งที่เกิดขึ้นในทันทีหลังจากมหาสงครามครั้งนั้น
ซอลจองยอนจ้องมองไปยังหิมะที่กำลังล่วงลงมา เธอไม่ได้รู้สึกว่ามันหนาวเลยต้องขอบคุณบาเรียป้องกันที่อยู่รอบกระท่อมแห่งนี้แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถที่จะออกไปจากที่นี้ได้เช่นกัน
“…..”
กาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มันมียุคสมัยที่ถูกเรียกกันว่ายุคไร้กฎเกณฑ์ มันเป็นยุคที่เหล่าปีศาจได้พากันเปิดเส้นทางมายังโลกมูริม
ในยุคนั้น เธอเป็นคนๆหนึ่งที่ทำหน้าที่สั่งการโลกทั้งใบ หัวหน้าของนิกายชอนมา ชอนมาซอลจองยอน
เธอมีความฝันที่อันใหญ่ที่เธอได้แบ่งปันมันให้กับเหล่าลูกศิษย์และคนรับใช้ของเธอ
แต่ในตอนนี้มันไม่เหลืออะไรอีกเลย
ในอดีตนั้นเธอได้ถูกส่งข้ามไปยังโลกอันแสนแปลกประหลาดที่ไม่มีใครสักคนยอมรับเธอ ยกเว้นก็แต่ชอนมากัลฮย็อกจุน ชายที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นคนที่มีพลังอำนาจของมาโดโดยสมบูรณ์ เป็นชายที่เกรี้ยวกราดต่อหน้าของคนอื่นๆ และอบอุ่นต่อหน้าเธอ สำหรับเธอที่เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิดแล้ว กัลฮย็อกจุนนั้นราวกับเป็นพ่อแท้ๆของเธอ
‘มองไปที่ดวงตาของเธอสิ พวกมันดูเหมือนกับว่าเป็นดอกบัวในหิมะเลย งั้นนับจากนี้ไปชื่อของเธอคือ ซอลจองยอน’
นับตั้งแต่นั้นมา นิกายชอนมาก็ได้กลายมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับซอลจองยอน
‘นับจากวันนี้ไป นิกายชอนมาจะไม่สามารถที่จะเอ่ยชื่อของมันต่อหน้าของสวรรค์ได้อีกต่อไป’
ในกระทั้งถึงตอนที่เดอมาร์ได้มาเยือนและทำลายนิกายของเธอ
แล้วประตูของกระท่อมแห่งนี้ก็ได้เปิดออกในขณะที่มีใครสักคนเข้ามาข้างใน มันเป็นตัวเดอมาร์เอง อีดงจุน
ดวงตาสีชมพูของซอลจองยอนค่อยๆหันมองไปทางเขา
“อาหารนะ”
“……”
ซอลจองยอนมองไปที่อีดงจุน ทำไมเขาถึงได้เก็บเธอไว้แต่กลับทำลายล้างนิกายของเธอทั้งหมดนะ?
“ฉันเจอเนื้ออาโวลที่เธอชอบด้วยแหละ(เนื่อหมูจากดวงจันทร์) มันยากนักที่จะหาได้จากที่โลกเพราะงั้นก็กินมันประหยัดๆด้วยนะ”
เหตุผลที่ว่าทำไมอีดงจุนถึงได้กลับมาที่โลกมนุษย์แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านของชาวโลกทั้งหมดก็ตาม เหตุผลที่เดอมาร์ทำแบบนั้นก็เพื่อ ซอลจองยอน
นิกายชอนมานั้นเป็นนิกายมารโดยสมบูรณ์มูริมดังนั้นเธอที่เป็นเจ้านิกายไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตต่อไปในมูริม ถ้าหากว่าตัวตนของเธอถูกเปิดเผยออกมาหละก็ชีวิตของเธอที่เหลือการตายไปคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ดังนั้นอีดงจุนจึงได้นำตัวซอลจองยอนมาที่โลก โลกที่ไม่มีใครสักคนเลยที่รู้ว่าเธอเป็นเจ้านิกายชอนมาและมันเป็นโลกที่เธอไม่ได้กระทำการชั่วร้ายหรืออาชญกรรมใดๆ
มันเป็นเพียงแค่โลกนี้เท่านั้นที่ซอลจองยอนสามารถจะอยู่รอดได้ อย่างไรก็ดีสำหรับซอลจองยอนแล้วมันเป็นโลกที่ไม่มีอะไรเลย
ซอนจองยอนไม่สามารถที่จะต่อต้านเขาได้ เธอถูกเอาชนะโดยเขาในการประลอง พลังงานคิภายในของหมดของเธอถูกผนึกเอาไว้และในตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรเลยเป็นแค่เพียงหญิงสาวสามัญทั่วไป แล้วส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงได้ไม่สามารถที่จะออกไปจากกระท่อมนี้ได้คุณคงจะคิดว่าเป็นเพราะว่าเธอเกรงกลัวพายุหิมะที่โหมกระหน่ำอย่างหนักด้านนอกใช่ไหมละ?
แต่ว่า…
อีดงจุนลำเลืองมองไปที่ซอลจองยอน
[สกิล ‘เสน่ห์ (SS)’ ของตัวเอกอีดงจุนถูกเปิดใช้งาน]
[ตัวละครรองซอลจองยอนได้ใช้สกิล ‘จิตใจโดยสมบูรณ์ของชอนมา (SS)’ ต่อต้านเอาไว้]
การต่อสู้กันของอำนาจทางจิตได้เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้นๆแน่นอนว่าอีดงจุนไม่ได้รับรู้การปะทะกันนี้เลยเพราะว่าสกิลของเขามันเป็นสกิลติดตัว แต่สำหรับซอลจองยอนแล้วนี้นับเป็นสถานการณ์ที่ล่อแหลมและยากต่อการรับมือเป็นอย่างมาก
“เธอได้แผลนั้นมาได้ยังไง?”
อยู่ๆ อีดงจุนก็รับรู้ได้ว่ามีเลือดไหลออกมาจากปลายนิ้วของซอล และพยายามที่จะเข้าไปใกล้เธอเรื่อยๆ แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้เข้าไปใกล้กว่านี้ ซอลจองยอนได้เปิดปากของเธอขึ้น
“ถ้าหากว่าแกเข้ามาใกล้กว่านี้หรือกล้าที่จะแตะต้องตัวฉันแล้วหละก็ ฉันจะฆ่าตัวตายซะ”
“…..”
แม้แต่ตัวของอีดงจุนเองก็ถูกบังคับให้หยุดลงด้วยคำพูดเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้นั้นก็ช่างง่ายดายสำหรับเขาแต่กับซอลยองจอนแล้วมันเป็นประตูที่ยากนักสำหรับเขาที่จะก้าวผ่าน ซองจองยอนยกปลายนิ้วของเธอขึ้นมาลากผ่านเส้นผมสีเงินแพลตตินั่มของตนซึ่งเปล่งประกายยิ่งกว่าสิ่งใดๆบนโลกใบนี้และได้ซ่อนใบหน้าของเธอเองไว้ที่ตักของตัวเอง
“ไปให้พ้น”
เธอไม่ต้องการที่จะพูดกับเขาอีกต่อไปแล้ว
อีดงจุนถูกบังคับให้หันหลังกลับไปหลังจากที่เขาได้วางอาหารลง
“ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะแสดงให้เธอได้เห็นโลกใบนี้นะ เป็นสถานที่ๆเธอสามารถจะใช้ชีวิตอยู่ได้เท่านั้นเอง”
ซอลจองยอนกัดไปที่ริมฝีปากของเธอในขณะที่เดอมาร์ได้หายไปหลังจากที่ได้คำที่ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวอีกครั้ง หากเป็นก่อนหน้านี้ เธอคงจะต้องตะโกนไปที่เขาและพ่นคำด่าที่ไร้สาระออกไปมากมายแต่ว่าด้วยเหตุผลบางอย่างในขณะที่เวลาได้ผ่านมาเรื่อยๆเธอไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้
ฟิ้ววววว!
บานหน้าต่างของกระท่อมสั่นไหว
มันเป็นหิมะที่ตกยามค่ำคืนเหมือนกับปกติ ซอลจองยอนได้นอนลงไปและจ้องมองไปยังไปยังโลกของหิมะสีขาวอันแสนว่างเปล่าเบื้องหน้าของเธอไปตลอดทั้งคืน