ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1043 ประมุขเสียชีวิต
หนึ่งกระบี่เบิกนภา ไม่มีสิ่งใดขัดขวาง
ถึงแม้จะใช้แค่กระบี่นี้ พวกจักรพรรดิเอกภพกำเนิดสามคนก็ไม่มีความคิดจะหยุดต่อสู้อีก จากไปในทันที
มิติที่เปิดออกไม่ปรากฏจิตทำลายล้าง แต่หยินหยางกลับแยกข้างกัน สี่ลักษณ์กำเนิด เหมือนกับเกิดโลกใบใหม่
‘นี่คือกระบี่หยกเบิกนภาหรือ สมคำร่ำลือจริงๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอใช้สายตาส่งประกายกระบี่ออกห่างและหายวับไป จากนั้นก็ละสายตากลับมา
ประมุขทักษิณจวงเซินยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง เขามีสีหน้าพิกลอยู่บ้างในขณะที่มองเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ เหมือนกับได้รู้จักพวกเขาเป็นครั้งแรก
เยี่ยนจ้าวเกอก็กำลังมองจวงเซินอยู่
ประมุขหรดีว่าไป๋เทา “จวงทักษิณ ท่าน…”
ผมสีขาวหิมะของจวงเซินลอยพริ้วตามลม “การได้ลายมือแห่งแผ่นดินมาและการฆ่าพวกท่านที่นี่เป็นคนละเรื่องกัน กษัตริย์เอกภพสุดท้ายให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน ข้าเองก็บอกไม่ได้ แต่สำหรับข้าจวงเซินแล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าอาจเป็นกระดูกหงส์อมตะสำคัญกว่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว”
จวงเซินเอ่ยอย่างราบเรียบอีกว่า “จักรพรรดิเอกภพยินดีจากไป เป็นเพราะว่าเขาสำเร็จเป็นเซียนจริงแท้ ยังคงมีความหวังอยู่ในใจ ขอแค่กษัตริย์ดินและกษัตริย์เร้นลับลงมือสะกดกษัตริย์กระบี่พร้อมกัน เขาก็ยังมีโอกาส”
แต่ว่าหลังจากผ่านการต่อสู้ในวันนี้ จวงเซินก็รู้แล้วว่าเขาไม่มีโอกาสเหมือนจักรพรรดิเอกภพกำเนิด
จักรพรรดิเซียนจริงแท้ยังคงสูงส่ง
ถึงแม้ว่าจวงเซินจะยอมรับว่า ด้วยความสามารถและพลังแฝงของเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋สองพ่อลูก ขอแค่ไปถึงระดับประมุขในหมู่คนพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ก็ไม่ต้องเกรงกลัวจักรพรรดิเอกภพกำเนิดอีกแล้ว แต่นั่นถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องใช้เวลา และเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้น
กระนั้นสำหรับเขาจวงเซิน เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ในตอนนี้สามารถงัดข้อกับประมุขผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาได้แล้ว
พ่อลูกคู่นี้ คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด
ขอแค่คิดถึงเรื่องหนึ่ง จิตใจขอจวงเซินก็กลายเป็นหนักอึ้ง เพราะเขามีความรู้สึกอัปมงคลว่าวันนี้หากเอาชนะไม่ได้ วันหน้าก็ยิ่งเอาชนะไม่ได้
ยอดฝีมือที่มาถึงระดับนี้ย่อมมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ไม่มีทางยอมให้ผู้ใดง่ายๆ แต่ว่าการเกิดความรู้สึกอัปมงคลกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนในระดับในปัจจุบันหายากยิ่ง ไม่ใช่จะเกิดขึ้นเฉยๆ โดยเฉพาะตอนมองเมฆแปลงกำเนิดบนศีรษะของเยี่ยนตี๋ นี่ยิ่งทำให้เขาจนปัญญาโดยสิ้นเชิง
ถ้าหากบอกว่าสามารถนำกระดูกหงส์อมตะของถังหย่งฮ่าวมาจากเขาโถงทอง และได้ครอบครองจิตจริงแท้ของเมฆคุณธรรม เช่นนั้นเขาก็ฝึกฝนห้าจริยะร่วมกันได้
ห้าจริยะก่อนกำเนิดเมื่ออยู่ด้วยกัน สรรพวิชาไม่อาจกล้ำกราย ดำรงอยู่พร้อมฟ้าดิน ฟ้าดินสิ้นสูญข้าค่อยสิ้นสูญ
หนึ่งในความสามารถด้านการป้องกันที่สุดยอดที่สุดของสำนักเต๋านี้มีพลังป้องกันน่าทึ่งถึงขีดสุด ถึงแม้จะได้เพิ่มมาแค่จริยะเดียว แต่เทียบกับสี่จริยะที่คุ้มครองจวงเซิงอยู่ในตอนนี้แล้ว มันแข็งแกร่งกว่าไม่รู้เท่าไร
ทว่าแปลงกำเนิดอันเป็นอันดับแรกในห้ากำเนิดแรกเริ่มซึ่งเป็นการสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ กล่าวได้ว่าสามารสะกดการอยู่ร่วมกันของห้าจริยะได้!
นี่ทำให้ผู้คนทอดถอนใจว่าฟ้ากลั่นแกล้งกัน
จวงเซินถอนใจยาว ก่อนจะมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ที่มาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจบความแค้นระหว่างเรา ไม่ใช่เจ้าตาย ก็เป็นข้าม้วย เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ อยู่เหนือความคาดหมายของข้าโดยสมบูรณ์ แต่ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างเดียวกัน”
เขากล่าวอย่างแช่มช้าอีกว่า “เจ้าแกร่งเจ้าสังหารข้า ข้าแกร่งข้าสังหารเจ้า นอกจากนี้แล้ว ก่อนข้าจะมาก็คิดไว้แล้วว่าจะไม่จากไป”
เยี่ยนตี๋ยามนี้เอ่ยขึ้น “ท่านมีความตั้งใจเช่นนี้ เขากว่างเฉิงของข้าจะให้เกียรติของจอมยุทธ์แก่ท่าน”
เขาลอยขึ้นมาถึงด้านหน้าจวงเซิน “บุตรชายข้าสังหารบุตรชายท่าน ท่านคิดแก้แค้น ผู้เป็นบิดาเช่นพวกเราสองคนมาจบเรื่องนี้ด้วยตัวเองเถอะ”
พวกแขกที่มาร่วมพิธีบนเขากว่างเฉิงเกิดความปั่นป่วนเล็กน้อย
เยี่ยนตี๋ตั้งใจจะตัดสินเป็นตายกับประมุขผู้หนึ่งด้วยตัวคนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนกลับไม่สงสัยว่าเยี่ยนตี๋จะมีความสามารถนี้หรือไม่ การต่อสู้เมื่อก่อนหน้าได้พิสูจน์ไปเรียบร้อยแล้ว
คนส่วนใหญ่ประหลาดใจที่เยี่ยนตี๋ยินยอมทำเช่นนี้ในสถานการณ์ที่พวกจักรพรรดินี เฉาเจี๋ย และหลิวเจิงกู่อยู่ด้วย และเขากว่างเฉิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ทว่าพวกจักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงกับเฉาเจี๋ยไม่ประหลาดใจ กลับพยักหน้าเล็กน้อย
ประมุขอิสานหลิวเจิงกู่มองพวกจักรพรรดินีเจี่ยหมิงคง “หากไม่ใช่จักรพรรดิเอกภพลงมือ จักรพรรดินีคงจะไม่ปรากฏตัวกระมัง”
“หลังการต่อสู้นี้ ข้าจะอวยพรในพิธีเปิดสำนักของเขากว่างเฉิง” จักรพรรดินีมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ปฏิเสธคำถามของหลิวเจิงกู่
ลูกหลานของอาจารย์ กษัตริย์กระบี่ย่อมดูแล แต่ไม่มีทางประจบเอาใจ หากไม่ผ่านการเคี่ยวเข็ญก็เติบโตไม่ได้ และแน่นอนว่าเป้าหมายของการเคี่ยวเขญก็คือการเติบโต ไม่ใช่การหาที่ตาย
ในตอนที่การคุกคามซึ่งอยู่เหนือขีดจำกัดมาถึง กระบี่เล่มแรกบนโลกซ้อนโลกที่ถูกเก็บใส่ฝักมาหลายปีก็อาจจะเปิดคมขึ้นมาอีกครั้ง ตนไม่ได้อยู่โลกซ้อนโลก ก็ไหว้วานให้คนอื่นมาช่วยแทนได้
จักรพรรดินีคิดถึงความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อนจึงลงมือช่วยเหลือ ถือเป็นกรณีเดียวกัน หากไม่ใช่ตัวตนเช่นจักรพรรดิเอกภพกำเนิดลงมือ จักรพรรดินีก็จะไม่ลงมือ
เพียงแต่ว่าพอเห็นลายมือแห่งแผ่นดินที่ยังคงมีแสงสว่างอยู่ในตอนนี้ ในใจของจักรพรรดินีก็เต็มไปด้วยความชื่นชม คิดไม่ถึงว่าต่อให้นางไม่ปรากฏตัว เยี่ยนจ้าวเกอกับเขากว่างเฉิงก็ยังต่อสู้ได้
นี่ทำให้นางรู้สึกชมเชยเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกมาก เหล่าลูกศิษย์ของกษัตริย์กระบี่ก็มีความคิดเดียวกัน
จวงเซินหันไปมองเยี่ยนตี๋ กล่าวอย่างแช่มช้า “ประเสริฐ”
เยี่ยนตี๋พยักหน้า จากนั้นก็ฟันดาบหนึ่งใส่จวงเซิน
จวงเซินพุ่งเข้ามาต้าน ทันทีที่สองดาบประสาน สะเก็ดไฟก็กระจายว่อน
กระแสปราณในกลุ่มเมฆโกลาหลบนศีรษะของเยี่ยนตี๋แยกออกเหมือนกับดอกบัวเบ่งบาน
เมื่อสู้อย่างดุเดือด เมฆแปลงกำเนิดก็พลันขยายเป็นก้อนใหญ่ ห่อหุ้มคนทั้งสองไว้ ด้านหน้าทุกคนจึงเหลือเพียงกลุ่มเมฆขมุกขมัวพร่าเลือน ที่ด้านในมีแสงส่องระยิบระยับ
เยี่ยนจ้าวเกอหยุดพิธีบวงสรวงมรรคามารดาเอกภพ เงยหน้ามองเมฆแปลงกำเนิดที่อยู่กลางอากาศ
จวงเซินถูกเมฆแปลงกำเนิดห่อหุ้มไว้ ไม่อาจดับสิ้นแล้วคืนชีพได้ แต่ว่าเมฆแปลงกำเนิดซึ่งอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่อาจให้การคุ้มครองเยี่ยนตี๋ได้เช่นกัน
วิธีการต่อสู้ของเยี่ยนตี๋คือลักษณะที่เขาเคยชิน ตัดสินเป็นตาย แข็งปะทะแข็ง กำหนดผลแพ้ชนะในหนึ่งการต่อสู้ ไม่คิดจะค่อยๆ สู้กับอีกฝ่าย
คำพูดที่ว่าจวงเซินป้องกันแข็งโจมตีอ่อนเป็นแค่การเปรียบเปรยเท่านั้น เพราะสำหรับยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าส่วนใหญ่ การโจมตีของประมุขในหมู่คนผู้หนึ่งล้วนอันตรายถึงชีวิตตลอดกาล
กลุ่มเมฆโกลาหลมองจากด้านนอกดูเงียบสงบและอ่อนโยน ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ แต่ทุกคนล้วนทราบดีว่าการต่อสู้ที่อยู่ด้านในจะต้องดุเดือดมาก
ในที่สุดกลุ่มเมฆก็แผ่ออก ดอกบัวที่ขมุกขมัวบานออกอีกครั้ง มีแสงสว่างพร่างพราวลอยขึ้นมาจากด้านใน แล้วกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า
เงาคนสายหนึ่งยืนอยู่ด้านในเสาแสง เส้นผมสีขาวพลิ้วไหว ใบหน้างดงาม ต้นจักรพรรดิสีทองต้นหนึ่งบนศีรษะมีกิ่งใบขึ้นเต็มไปหมด เป็นประมุขทักษิณจวงเซินนั่นเอง!
คนบนเขากว่างเฉิงรู้สึกสับสน ทว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เจี่ยหมิงคง และหลิวเจิงกู่กลับยิ้มออกมา
วินาทีต่อมา ต้นจักรพรรดิสีทองบนศีรษะของจวงเซินก็เหี่ยวแห้งไปอย่างรวดเร็ว กิ่งใบหร่วงล่นลงมา กลายเป็นพิรุณแสงสีทองที่สาดไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ครอบคลุมท้องนภาเอาไว้
บัดนี้เขตตะวันอาคเนย์กับเขตเพลิงทักษิณต่างมีอาณาเขตครึ่งหนึ่งอาบอยู่ในพิรุณแสงสีทอง โดยมีพรมแดนของทั้งสองเขตเป็นศูนย์กลาง
เงาร่างของเยี่ยนตี๋ยามนี้ลอยขึ้นจากเมฆแปลงกำเนิด บรรลุถึงด้านหน้าจวงเซิน
จวงเซินริมฝีปากขยับเล็กน้อย ทว่าเขายังไม่ทันจะส่งเสียง คนก็กลายเป็นพิรุณแสง สลายออกจากกันทันใด
ในตอนนี้บนสถานที่แห่งนี้ ประมุขผู้หนึ่งสิ้นชีวิตลงแล้ว
………………..