ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1072 ที่อยู่ของเฟิงอวิ๋นเซิง
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเสียงของจักรพรรดิแพรก็เบะปาก ความกังวลก่อนหน้าของตนไม่ใช่ไม่มีเหตุผลจริงๆ
ถ้าหากจักรพรรดิแพรออกหน้าให้แก่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังดำเนินการแก้แค้นเขากว่างเฉิงจริงๆ เช่นนั้นเขากว่างเฉิงก็ต้องเผชิญภัยพิบัติที่ไม่ด้อยไปกว่าการมาถึงของจักรพรรดิเอกภพ เหมือนในพิธีเปิดกสำนักบนโลกซ้อนโลกเมื่อก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งสมควรบอกว่าเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงกว่าพิธีเปิดสำนักเมื่อก่อนหน้าเสียอีก อย่างน้อยๆ จักรพรรดิเอกภพไม่มีอาวุธเซียน แต่จักรพรรดิแพรกลับมี
มาตรแม้นว่าจักรพรรดิแพรจะทะนงในสถานะของตัวเอง ไม่ใช้อาวุธ แต่สถานการณ์ก็ยังเลวร้ายเหมือนเดิม
ตอนเผชิญกับจักรพรรดิเอกภพในพิธีเปิดสำนัก ถึงอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอกับเขากว่างเฉิงก็ลำบากลำบนวางแผน เตรียมตัวบนทะเลหวงเจียมาหลายปี
ต่อให้จักรพรรดินีกับพวกเนี่ยจิงเสินและไป๋เทาไม่มา เยี่ยนจ้าวเกอก็มีลายมือแห่งแผนดินคอยสนับสนุน
ทว่าถ้าตอนนี้จักรพรรดิแพรสร้างปัญหา ลายมือแห่งแผ่นดินกลับไม่บังเกิดผลกับเขา
แต่หลังจากเมิ่งหว่านได้ยินคำถามของจักรพรรดิแพร นางก็ไม่ได้รีบร้อนตอบ
นางหันไปมองเฉินหมิงอิง
เทียบกับบิดาบังเกิดเกล้าที่จู่ๆ ก็โผล่มาต่อหน้าตน และเทียบกับมารดาที่ตนไม่เคยมีความทรงจำใดๆ นางรู้เพียงในตอนที่หลับใหลอยู่ใต้ดิน เฉินหมิงอิง อาจารย์ผู้มีพระคุณของนางผู้นี้เป็นคนชุบเลี้ยงและสั่งสอนนางมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จึงเหมือนกับครอบครัวของนางมากกว่า
เฉินหมิงอิงปฏิบัติกับเมิ่งหว่านเสมือนผู้ให้กำเนิดเสมอมา บนโลกใบนี้เกรงว่าจะไม่มีใครเข้าใจเมิ่งหว่านไปมากกว่านางแล้ว ดังนั้นแค่มองดวงตาของเมิ่งหว่าน เฉินหมิงอิงก็ทราบแล้วว่านางมีความคิดในใจ เพียงแต่นางต้องการทราบความคิดของเฉินหมิงอิงก่อน
หลายปีผ่านไป นางพักอยู่ที่หอคลื่นโหม เป็นสมาชิกคนหนึ่งของหอคลื่นโหม ความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวกับที่นี่ยิ่งมายิ่งมากขึ้น เดิมทีนางไม่ใช่ผู้จงรักภักดี ไม่อย่างนั้นคงไม่สวามิภักดิ์กับหอคลื่นโหมแต่แรก
เมื่อผ่านไปหลายปีเข้า เงาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในใจของนางยิ่งมายิ่งจางลง ตอนคิดถึงอดีตก็มีแต่ความรู้สึกเศร้าสร้อย ไม่ใช่ความเคียดแค้น
เฉินหมิงอิงมองเมิ่งหว่าน ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “หว่านเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ต้องการให้เด็กน้อยมู่เกอลำบากกระมัง”
“ท่านอาจารย์เฉียบแหลมยิ่ง ในตอนที่ศิษย์สู้กับศิษย์พี่เฟิง แม้ว่าข้าจะเสียมงกุฎจันทราไป แต่ว่าก็ได้ใช้พลังเต็มที่ ไม่มีเรื่องใดต้องละอาย” เมิ่งหว่านใช้น้ำเสียงเรียบเฉย “การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการสะสางอยางหนึ่ง และต้องขอบคุณศิษย์พี่เฟิง ศิษย์จึงได้รู้ว่าท่านอาจารย์ยังอยู่บนโลก ได้รู้ว่าท่านอยู่ที่หอคลื่นโหม ปัจจุบันจึงมาพบท่านได้ ศิษย์ไม่คิดจะแก่งแย่งกับเขากว่างเฉิงอีกแล้ว”
เฉินหมิงอิงพยักหน้าอย่างแช่มช้า “ที่บิดาของเจ้าถาม ให้หว่านเอ๋อร์เจ้าตัดสินใจ ไม่ว่าเจ้าคิดทำอะไร ข้าล้วนสนับสนุนทั้งสิ้น”
เมิ่งหว่านว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ดีต่อข้า”
นางหันไปมองจักรพรรดิแพร “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นหมอกควันในอดีตสำหรับข้า แต่สุดท้ายก็เคยมีความสัมพันธ์ต่อกัน การหายไปเช่นนี้ทำให้ไม่อาจกลั้นใจได้จริงๆ หวังว่าท่านพ่อจะช่วยเปิดสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นบนโลกซ้อนโลก เพื่อให้เกิดการสืบทอดต่อไปได้”
เพียงพูดถึงโลกซ้อนโลก ไม่พูดถึงโลกแปดพิภพ เพื่อตัดบุญคุณความแค้นซึ่งพัวพันกับเขากว่างเฉิงก่อนหน้า
“บนโลกซ้อนโลกมีศิษย์พี่ถังหย่งฮ่าวซึ่งเคยเป็นศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ได้ยินท่านพ่อบอกเมื่อก่อนหน้านี้ว่าเขาเข้าเป็นศิษย์ของประมุขอาคเนย์” เมิ่งหว่านว่า “ในอดีตข้าได้คุยกับศิษย์พี่ถัง เขามีความคิดจะตั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกครั้ง ถ้าหากท่านพ่อสนับสนุนก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”
สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดใหม่บนโลกซ้อนโลกจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเขาโถงทอง และไม่อาจเกิดความขัดแย้งกับเขากว่างเฉิงได้
จักรพรรดิแพรพยักหน้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ย่อมได้อยู่แล้ว”
เมิ่งหว่านมองเฉินหมิงอิง “ท่านอาจารย์อยากจะไปโลกซ้อนโลกหรือไม่”
“ข้าไม่ไปแล้ว” เฉินหมิงอิงส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเป็นคนของหอคลื่นโหม”
ครั้นเมิ่งหว่านได้ยินดังนั้น นางก็จับมือของเฉินหมิงอิงอย่างแผ่วเบา
จักรพรรดิแพรกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จำได้ว่าหวานเอ่อร์เจ้าบอกว่า นอกจากอาจารย์ผู้มีพระคุณแล้ว คนที่ใกล้ชิดเมื่อครั้งยังเล็กยังมีศิษย์พี่ผู้ประเสริฐสุดอีกคนหนึ่งด้วยใช่หรือไม่ ฟังการสนทนาของพวกเจ้าเมื่อครู่ ไฉนนางจึงเหมือนเป็นลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงไปได้”
เมิ่งหว่านอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกกล่าวกับท่านพ่ออย่างละเอียด ศิษย์พี่เฟิงเคยเป็นศิษย์พี่ในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าจริงๆ แต่ต่อมาเป็นเพราะได้รับการข่มเหงจากคนในสำนัก นางจึงออกจากสำนักไป สุดท้ายสวามิภักดิ์กับเขากว่างเฉิงแล้ว”
จักรพรรดิแพรครุ่นคิด “เป็นลูกศิษย์สตรีผู้ครอบครองมงกุฎจันทราของเขากว่างเฉิง ชื่อว่าเฟิงอวิ๋นเซิงใช่หรือไม่”
เมิ่งหว่านพยักหน้า “ถูกต้อง ศิษย์พี่เฟิงมีชื่อเดิมว่าเฟิงมู่เกอ หลังออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเฟิงอวิ๋นเซิง”
นางหันไปมองเฉินหมิงอิง “ข้านอกจากคิดถึงท่านอาจารย์แล้ว ยังคิดถึงศิษย์พี่เฟิงยิ่ง ไม่ทราบว่าตอนนี้นางไปอยู่ไหน”
“เช่นนั้นต้องถามคนของเขากว่างเฉิงแล้ว” จักรพรรดิแพรมองไปที่ด้านนอกลานบ้าน
เมิ่งหว่านกับเฉินหมิงอิงงงงันเล็กน้อย ครั้นมองตามสายตาของจักรพรรดิแพรไป จึงค่อยเหลือบเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ
เทียบกับจักรพรรดิแพรงามแล้ว พวกนางสองคนเกรงว่าจะคุ้นเคยกับเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่า
พอพบเยี่ยนจ้าวเกอ ทั้งสองก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
“เซียนผู้ถูกเนรเทศมาเยือน เฉินหมิงอิงแห่งหอคลื่นโหมขอคารวะ” เฉิงหมิงอิงลุกขึ้นยืน คารวะเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ
วีรกรรมอันยิ่งใหญ่มากมายบนโลกซ้อนโลกของเยี่ยนจ้าวเกอแพร่หลายไปทั่วแปดพิภพ ผ่านการกระจายข่าวของจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงซึ่งอยู่บนโลกแปดพิภพ ชื่อเซียนผู้ถูกเนรเทศก็โด่งดังไปทั่วเช่นกัน
เมิ่งหว่านลุกขึ้นคารวะเยี่ยนจ้าวเกอ “ศิษย์พี่เยี่ยน”
เยี่ยนจ้าวเกอสบตาจักรพรรดิแพร สีหน้าของเขายังคงเป็นปรกติ “จักรพรรดิแพรมาเยือน โลกแปดพิภพรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง”
เขาพยักหน้าให้แก่เมิ่งหว่านและเฉินหมิงอิง “ทั้งสองคนเกรงใจไปแล้ว”
เมิ่งหว่านว่า “ศิษย์พี่ถังมีความทรงจำที่ดีต่อศิษย์พี่เยี่ยนยิ่ง ทั้งยังนับถือท่านมาโดยตลอด เขาต้องการสร้างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นบนโลกซ้อนโลกอีกครั้ง หวังว่าศิษย์พี่เยี่ยนจะไม่คิดถึงความแค้นแต่เก่าก่อน”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ศัตรูกับมิตร ที่แล้วมาข้าแยกแยะอย่างชัดเจน”
“ศิษย์พี่เยี่ยน ไม่ทราบว่าตอนนี้ศิษย์พี่เฟิงอยู่ที่ใดหรือ” เมิ่งหว่านลังเลเล็กน้อย แต่ก็ถามอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ทราบว่าข้าพบนางได้หรือไม่”
แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับส่ายหน้า “ย่อมได้ ขอเพียงแค่นางยินยอม พวกเจ้าก็พบเจอกันได้ ข้าจะไม่ก้าวก่าย อวิ๋นเซิงไม่มีทางคิดจะหลบหน้าเจ้า พอเจ้าถูกจวงเจาฮุยพาไป นางก็คิดถึงเจ้ามาโดยตลอด จวงทักษิณตายเพราะเขากว่างเฉิง ตอนบิดากับสหายในเขากว่างเฉิงบุกไปทางตะวันออก เข้าสู่เขตเพลิงทักษิณ ข้าได้ไหว้วานให้บิดาขอคนจากเนินต้นจักรพรรดิแห่งเขาลีลาหงศ์รับตัวเจ้ากลับมา จากนั้นก็พาอวิ๋นเซิงกลับเขา ให้พวกเจ้าได้พบกัน เพียงแต่เรื่องราวต่อจากนั้นกลับอยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนอยู่บ้าง”
เมิ่งหว่านได้ยิน ก็จับประเด็นสำคัญในวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอได้ “ตอนนี้ศิษย์พี่เฟิงไม่ได้อยู่ในเขากว่างเฉิงหรือ”
“ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ได้เจอนางชั่วคราว ข้าก็ยังไม่เจอนางเช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มขื่นขม “นางออกท่องโลกยังไม่กลับมา ข่าวคราวหายไปชั่วขณะ ผ่านไปหลายปีแล้ว ข่าวล่าสุดที่ข้าได้มาก่อนหน้า คือนางมุ่งหน้าไปยังมิติต่างแดน ‘ประตู’ ที่เปิดออกจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าสิบปีขึ้นไปจึงจะเปิดอีกครั้ง”
เยี่ยนจ้าวเกอบอกเล่าตามตรง “ตอนนี้ยังเหลืออีกหลายปี อย่าว่าแต่นางกลับมาเอง ข้าคิดไปตามหายังลำบาก”
ความผิดหวังฉายชัดอยู่ในดวงตาของเมิ่งหว่าน แต่นางก็พยักหน้าอย่างเงียบงัน “ที่แท้เป็นเช่นนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้”
บนใบหน้านางผุดรอยยิ้มขึ้นมาหลายส่วน “ช่างสมกับเป็นศิษย์พี่เฟิงจริงๆ”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า” เยี่ยนจ้าวเกอแบสองมือ
จักรพรรดิแพรงามที่อยู่ด้านข้างยามนี้พลันโพล่งขึ้น “ประตูที่สหายน้อยเยี่ยนว่าอยู่ที่ใดหรือ”
………………..