ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1113
เยี่ยนจ้าวเกอใช้กระบี่ผนึกเซียนของตนเอง สู้กับกระบี่ผนึกเซียนของเหวินไต้หง
ความสูงส่งของระดับวิชากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ของเขานี้ ยังอยู่เหนือความคาดหมายของผู้ฝึกกระบี่สายเหนือพิสุทธิ์จำนวนมาก
ถึงอย่างไรในฐานะผู้สืบทอดของสายหยกพิสุทธิ์ ผลการต่อสู้อันโดดเด่นมากมายบนโลกซ้อนโลกเมื่อก่อนหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์
เขามีระดับวิชากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ที่สูงล้ำขนาดนี้ได้อีกในสถานการณ์นี้ สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนยิ่ง
เรื่องที่ทุกคนต่างทราบดีก็คือ หากต้องการมีความสำเร็จที่ค่อนข้างสูงในวรยุทธ์ชนิดหนึ่ง ย่อมขาดความพยายามไปไม่ได้เป็นอันขาด
อายุและเวลาในตอนนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอจะให้มากยังไงก็ยังมีจำกัดอยู่ดี
ในระยะเวลาสั้นๆ กลับสู้ความพยายามสิบปีร้อยปีของคนอื่นๆ ได้ นี่จะไม่ทำให้ผู้คนแตกตื่นตะลึงลานได้อย่างไร
กระนั้น เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอใช้กระบี่ผนึกเซียนสู้กับกระบี่ผนึกเซียนของเหวินไต้หง ก็ยังทำให้ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ทุกคนลอบยินดี
นี่เป็นความภาคภูมิในการสืบทอดมรรคากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ ซึ่งตนได้ร่ำเรียน
สองฝ่ายต่อสู้กัน แสดงความน่าอัศจรรย์และความน่ากลัวของกระบี่ผนึกเซียนออกมาจนหมดสิ้น ทำให้คนที่ชมดูเหมือนกับเมามาย
แต่ดูไปได้แค่ครึ่งเดียว เหวินไต้หงและกระบี่ยอมของเขาแพ้อย่างกะทันหัน สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนอีกครั้ง
สายตาของทุกคนอยู่บนร่างของเหวินไต้หง
คนที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้องต่ำมองเลศนัยไม่ออก
ส่วนคนที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างสูงเช่นหวังซุ่น กลับประหลาดใจกว่าเดิม ‘ไม่ได้รับบาดเจ็บนี่’
ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร การต่อสู้เมื่อครู่ก็เรียกได้ว่าคู่คี่สูสี มีฝีมือทัดเทียมกัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะอานุภาพของกระบี่ผนึกเซียน การต่อสู้ของสองฝ่ายจึงรุนแรงถึงขีดสุด หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายอาจต้องหลั่งโลหิต แต่ก็ไม่เห็นเหวินไต้หงมีวี่แววพ่ายแพ้ อย่างน้อยก็สมควรเสมอกันถึงจะถูก
ในทางกลับกัน ต่อให้เสมอกัน เมื่อข่าวกระจายออกไป ก็มากพอที่จะสั่นสะเทือนมรกตท่องฟ้าได้
ถึงอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่มุ่งฝึกมรรคากระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมรรคากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ด้วย และเหวินไต้หงก็ไม่ได้เป็นเพียงผู้สืบทอดกระแสตรงของมรรคากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์เท่านั้น ยังเป็นคนที่โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันด้วย
ไม่แน่ว่าหลงฮั่นหัว บุตรของหลงเสวี่ยจี้จะเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจก็คือ…เป็นหลงฮั่นหัว ไม่ใช่หลินฮั่นหัว
หลินฮั่นหัว ศิษย์เอกแห่งโถงเซียนในเขตตะวันอาคเนย์บนโลกซ้อนโลก เพราะต้องปกปิดสถานะของตัวเอง จึงไม่อาจแสดงความสามารถที่แท้จริง
เหวินไต้หงสามารถเปรียบเทียบระดับความสามารถกับเขาได้ ความไม่ธรรมดาในนี้ย่อมไม่ต้องอธิบายมากความ
คนผู้นี้มีนิสัยตรงไปตรงมาแต่ก็ถือทิฐิ ชอบเอาชนะและดื้อด้าน คิดจะทำให้เขายอมแพ้เองจึงยากเหมือนปีนป่ายสวรรค์
แต่ว่าในตอนนี้เมื่อเผชิญกับเยี่ยนจ้าวเกอ เหวินไต้หงกลับเป็นฝ่ายขอยอมแพ้เอง ยอมรับว่าตนสู้ไม่ได้!
นี่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกหวังซุ่นจริงๆ
ถ้าหากบอกว่าคนอื่นสามารถใช้วิธีการนี้เพื่อเอาใจพวกกษัตริย์ลี้ลับ จักรพรรดิน้ำพุ และหลงเสวี่ยจี้ บางทีอาจมีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน แต่สำหรับเหวินไต้หงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้โดยเด็ดขาด
อย่าว่าแต่จอมยุทธ์หุบเขาธุลีวิญญาณเช่นพวกหวังซุ่น ต่อให้เป็นลูกศิษย์เขาขาวเรืองที่อยู่รอบๆ ก็รู้สึกยากจะเชื่อ
“ลองดูข้างหลังของพวกท่าน” เหวินไต้หงในตอนนี้หลุดออกมาจากความผิดหวังแล้ว แต่ว่าขณะมองดูสีหน้าของพวกหวังซุ่น ความรู้สึกของเขาซับซ้อนกว่าเดิม
เมื่อได้รับการบอกกล่าวจากเหวินไต้หง จอมยุทธ์หุบเขาธุลีวิญญาณอย่างพวกหวังซุ่นพลันเครียดเกร็ง
พวกเขาต่างชำเลืองมองกันและกัน หวังซุ่นไม่เคลื่อนไหว ลูกศิษย์หุบเขาธุลีวิญญาณคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอียงตัวเล็กน้อย มองไปยังด้านหลังหวังซุ่นก่อน
เขาพลันร้องอุทานขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” หวังซุ่นขมวดคิ้ว สหายในสำนักที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ตอบสนองในทันที เพียงบิดตัวมองไปด้านหลังคนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
หลังจากมองแล้วเขาก็มีสีหน้าประหลาดพิกล อยากจะถอยหลังสักหลายเก้า เพื่อมองด้านหลังคนทั้งหมดให้ชัด
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น” หวังซุ่นถาม
อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวมากกว่าร่ำไห้ “อาภรณ์บนหลังอาจารย์อาท่านขาดแล้ว ถูกคนเขียนเป็นคำว่า ‘ความชั่วร้าย’ ส่วนศิษย์พี่โหวที่อยู่ทางด้านขวาของข้าบนหลังเป็นคำว่า ‘ทุก’…”
“อยู่นิ่งๆ อย่างขยับ!” หวังซุ่นคำรามเสียงต่ำ ถอยไปด้านหลังหลายก้าว จากนั้นเขาก็เห็นว่าสหายทุกคนที่อยู่ด้านหน้าถูกคนวาดคำพูดบนหลัง
จากด้านซ้ายไปด้านขวาตามลำดับ คือ ‘มรรคา’ ‘กระบี่’ ‘แต่ไหน’ ‘แต่ไร’ ‘มา’ ‘จาก’ ‘ความผ่าเผย’ ‘ทุก’ ‘ล้วน’ ‘แปดเปื้อน’ ‘ยิ่ง’
บวกกับคำว่า ‘ความชั่วร้าย’ ด้านหลังเขา รวมกันสิบสองคำพอดี
มรรคากระบี่แต่ไหนแต่ไรมาจากความผ่าเผย ทุกความชั่วร้ายล้วนแปดเปื้อนยิ่ง
ขณะมองเหตุการณ์นี้อย่างงุนงง หวังซุ่นก็รู้สึกไม่อยากเชื่อ
ถูกคนฉีกเสื้อทิ้งตัวหนังสือไว้ แต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดสองคน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดหกคน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหกหกคน รวมถึงเขาแล้ว มีทั้งหมดสิบสี่คน ไม่มีใครพบความผิดปกติแม้แต่คนเดียว!
คำสิบสองคำจะเขียนออกมาต้องใช้อย่างน้อยสี่ขีด
นี่คือสี่กระบี่!
หากเยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจเอาชีวิตคน ในคนสิบสองคน คนที่ตายอย่างน้อยที่สุดเท่ากับโดนเชือดไปแล้วสี่รอบ!
อย่าว่าแต่ตัวหนังสือที่มีขีดมากกว่านี้เลย…
ฉีกเสื้อทิ้งคำกลับไม่ทำร้ายคน ทว่าผู้คนไม่รู้สึกตัวเลยสีกนิด
พวกหวังซุ่นในฐานะลูกศิษย์ของจักรพรรดิเมฆ เป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของหุบเขาธุลีวิญญาณ ทั่วทั้งตัวนับเป็นของวิเศษ
แม้แต่ของวิเศษคุ้มครองตัวเองเหล่านี้ยังไม่ทำงาน กลับมีคำปรากฏบนร่างกายแล้ว นี่สมควรเป็นความสามารถที่กระทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้ถึงขนาดไหน
โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจก็คือ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ใช้วิชากระบี่ที่ปราดเปรียวแต่อย่างใด สิ่งที่เขาใช้คือกระบี่ผนึกเซียนที่ดุร้ายและอันตรายถึงขีดสุด มีเป้าหมายเอาเพื่อพรากชีวิต
วิชากระบี้เช่นนี้หลังจากไปอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ กลับบังคับจิตสังหารและความน่ากลัวได้ดั่งใจนึก ความยากเหนือกว่าวรยุทธ์อื่นๆ
‘ไม่ใช่แค่กระบี่ผนึกเซียนเท่านั้น!’ หวังซุ่นจิตใจทำงานดุจสายฟ้าฟาด ‘ยังมีกระบี่ลวงเซียนด้วย! เขารวมสองกระบี่เป็นหนึ่ง แทบจะไม่แยกจากกัน เขาช่ำช่องพวกมันถึงเพียงนี้เลยหรือ”
มิน่าคนที่ดื้อรั้นชอบเอาชนะอย่างเหวินไต้หงจึงยอมแพ้แต่โดยดี
แม้ว่ากระบี่ผนึกเซียนจะสู้การรวมกันของสองกระบี่ไม่ได้ แต่คนที่หลอมรวมและบรรลุวิชากระบี่ที่ยิ่งใหญ่สองชนิดถึงขั้นนี้ ในโลกจะมีสักกี่คน
ทุกคนเป็นคนที่มีพลังสายตาและประสบการณ์เหมือนกัน ความน่าอัศจรรย์ในนี้ต่างเข้าใจดี
เหวินไต้หงแม้ว่าจะชอบเอาชนะ แต่ก็ได้แต่ยอมรับตรงๆ
การต่อสู้ของสองฝ่ายแม้จะดูสูสี แต่ว่าเขาแพ้อย่างราบคาบตั้งแต่แรก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ยอมแพ้เสียยังจะดีกว่า
หวังซุ่นมีใบหน้าเซื่องซึม ลูส่วนกศิษย์หุบเขาธุลีวิญญาณคนอื่นๆ ตอนนี้ยังไม่เห็นภาพบนหลังของตน
จอมยุทธ์ยอดเขาขาวเรืองที่อยู่ตรงข้ามก็สงสัยใคร่รู้เช่นกัน
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าด้านหลังเป็นคำว่าอะไร แต่ว่าคนจากหุบเขาธุลีวิญญาณก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่า ทางที่ดีอย่าให้ถูกคนเห็นจะประเสริฐกว่า
“มรรคากระบี่แต่ไหนแต่ไรมาจากความผ่าเผย ทุกความชั่วร้ายล้วนแปดเปื้อนยิ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยเสียงเนิบช้า “ข้าผู้แซ่เยี่ยนขอพยายามไปกับพวกท่าน”
ถ้อยคำนี้พอพูดจากปากเขา ถ้าหากคนที่คุ้นเคยอยู่รอบๆ เกรงว่าจะต้องกลอกตาขาวพร้อมกัน
เขาผู้แซ่เยี่ยนที่แล้วมายินดีใช้กลอุบายชั่วร้ายอยู่แล้ว ทว่าในตอนนี้ต่อหน้าพวกหวังซุ่น เขาทำตัวเหมือนคนมีความยุติธรรม เพียบพร้อมด้วยเหตุผล
คนของยอดเขาขาวเรืองคิดถึงคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็มองคนทั้งหมดจากหุบเขาธุลีวิญญาณ เมื่อค่อยๆ เข้าใจ สีหน้าของพวกเขากลายเป็นประหลาดพิกล คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สายตามองไปยังพวกหวังซุ่นพร้อมกัน
หวังซุ่นรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ใบหน้า
“ขอลาแล้ว” เขาฝืนคำนับเหวินไต้หง จากนั้นก็คิดหมุนกายผละไป
จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ชะงักกายเล็กน้อย เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้
ลูกศิษย์หุบเขาธุลีวิญญาณคนอื่นๆ ก็มีท่าทางคล้ายคลึงกัน
สุดท้ายคนทั้งกลุ่มถึงกับพุ่งถอยหลังไปยังที่ไกล ผละจากที่เดิมด้วยความหวาดกลัว
………………..