ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1200 สร้างกว่างเฉิงใหม่
เหมือนกับตอนที่อยู่บนทะเลหวงเจียในเขตตะวันอาคเนย์ เขากว่างเฉิงในตอนนี้มีลักษณะคล้ายเขาคล้ายเกาะบนทะเล
ทอดตามองไป แสงอัสดงแถบหนึ่งปกคลุม ควันสีขาวหลายสายเหมือนเมฆและควันลอยตัวขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอข้ามมหาสมุทร มาถึงหน้าตีนเขา เงยหน้ามองเป็นอับดับแรก กลางท้องฟ้ามีลำแสงหลายสายบัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวสูญหาย ครอบคลุมท้องฟ้าเหนือเขากว่างเฉิง และยืดขยายออกไปยังขอบฟ้ารอบๆ
นั่นเป็นค่ายกลคุ้มครองสำนักของเขากว่างเฉิง ตอนนี้ไม่ได้กระตุ้นพลังทั้งหมด ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่เห็นความผิดปรกติ
แต่ในตอนที่มีศัตรูมาบุก ค่ายกลจะทำงาน ทำให้ศัตรูกระแทกใส่ศีรษะแตกเลือดอาบ
ถ้าหากมีคนคิดจะฉวยช่องว่างในตอนที่ค่ายกลไม่ได้ทำงานด้วยพลังทั้งหมด ลอบเข้ามา ค่ายกลเฝ้าสำนักจะถูกกระตุ้น และมอบบทเรียนให้แก่เขา
แน่นอนว่าถ้าศัตรูมีพลังกล้าแข็งเกินไปก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ถ้าเป็นคนที่สามารถมองข้ามค่ายกลเฝ้าสำนักของเขากว่างเฉิงได้ เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ศัตรูทั่วไป
เพียงแต่บนโลกซ้อนโลกในปัจจุบัน คนที่เหี้ยมหาญเช่นนี้มีอยู่แต่ไม่กี่คน
เยี่ยนตี๋เฝ้าสำนักด้วยตัวเอง ถึงเวลาย่อมลงมือตอบโต้
‘อืม มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย’ เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองครู่หนึ่ง คล้ายครุ่นคิดอันใด ‘สมควรเป็นฝีมือของท่านแม่’
ตอนเขากว่างเฉิงเพิ่งก่อตั้งบนโลกซ้อนโลก สร้างสำนักใหม่บนทะเลหวงเจีย ค่ายกลเฝ้าสำนักได้ผ่านการเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งหนึ่งโดยเยี่ยนจ้าวเกอ ภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมในตอนนั้น โดยพื้นฐานสามารถพูดได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ
แม้ยอดฝีมือที่ได้ผลักเปิดประตูเซียนคิดจะเพิ่มระดับต่อจากเดิม จะติดที่เงื่อนไขในท้องที่ ยากจะทำได้ดีกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ
ครั้งนี้มาถึงเขตสุราลัยบูรพา ได้สร้างถ้ำวิมานนิวาสถานขึ้นใหม่อีกครั้ง ค่ายกลที่เยี่ยนจ้าวเกอปรับไว้ในตอนนั้นย่อมถูกย้ายมาด้วย
ด้วยสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ทันไรก็ดูออกว่าค่ายกลเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้งบนพื้นฐานของเงื่อนไขตามสภาพในท้องที่ นี่เกี่ยวข้องกับการที่เงื่อนไขทางด้านสถานที่ในตอนนี้ดีกว่าทวีหลิงเสียนในทะเลหวงเจีย
ถ้าจะปรับปรุงต่อจากพื้นฐานที่เยี่ยนจ้าวเกอได้ปรับไว้ให้ดีขึ้นได้อีกขั้น จำเป็นต้องมีระดับค่ายกลที่สูงสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย
ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์บนโลกซ้อนโลกในตอนนี้ นับรวมกับเหล่าประมุข นอกจากประมุขทิศบนเฉินเฉียนหัวที่ลึกล้ำยากหยั่งคาดแล้ว คนที่สามารถมีระดับค่ายกลใกล้เคียงกับตนเองได้ เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงเพียงแค่เสวี่ยชูฉิง มารดาของตนเองเท่านั้น
เพียงดูระดับที่เหนือกว่าคนทั่วไปของเสี่ยวอ้ายในด้านนี้ก็ทราบถึงเรื่องนี้แล้ว
ระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเสวี่ยชูฉิงถูกเยี่ยนจ้าวเกอแซงหน้าแล้ว แต่นางเป็นคนไม่กี่คนที่สามารถมีระดับค่ายกลเทียบเท่ากับเยี่ยนจ้าวเกอได้หากอยู่ในระดับเดียวกัน
ในการย้ายเขากว่างเฉิงและสร้างค่ายกลเฝ้าสำนัก ย่อมมีความพยายามส่วนหนึ่งของเสวี่ยชูฉิงอยู่ด้วย
“คุณชายท่านกลับมาแล้ว” อาหู่ที่ได้รับข่าวแต่แรกว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับมา ยามนี้ออกมาต้อนรับ
เยี่ยนจ้าวเกอพอเจอก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอเสี่ยวอ้ายที่ตึกความลับฟ้า แอบหนีมาที่นี่กระมัง”
อาหู่หัวเราะสัตย์ซื่อ “ในที่สุดฮูหยินก็กลับมา เสี่ยวอ้ายยากจะไม่ขยันกลับสำนัก ฮูหยินเคยว่านางแล้ว แต่ประมุขตระกูลบอกว่าถ้าไม่ทำให้เรื่องตึกความลับฟ้าเสียหาย นางคิดจะกลับมาหาฮูหยินบ่อยๆ ย่อมไม่มีปัญหา”
“ยาโถวผู้นี้…” เยี่ยนจ้าวเกอฝืนยิ้มพร้อมส่ายหน้า
รอพบบิดามารดา ก็เห็นเสี่ยวอ้ายทำท่าลับๆ ล่อๆ คิดจะหนีไป
“เสี่ยวอ้าย” เยี่ยนจ้าวเกอเรียกด้วยเสียงเนิบนาบ
“…เจ้าค่ะ!” เสี่ยวอ้ายหยุดนิ่งทันที หมุนตัวมาอย่างกระตือรือร้น ยิ้มจนไม่เห็นดวงตา “คุณชาย ไม่เจอกันมานาน ท่านดูดีกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งแน่นอน!”
เยี่ยนจ้าวเกอกับเสวี่ยชูฉิงมองนางด้วยสีหน้าขบขันและขุ่นเคือง
เสี่ยวอ้ายสองตาล่อกแล่ก มองขึ้นมองลง ไม่กล้าสบตาเยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ
“ไม่ได้จะต่อว่าเจ้าเสียหน่อย” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เจ้ากลัวอะไรกัน”
เสี่ยวอ้ายยิ้มขึ้นอย่างกระดาก เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า “กลับเป็นนิสัยของเจ้าที่ยิ่งมายิ่งเกียจคร้านแล้ว เจ้าไปเลียนแบบใครมา หรือว่าเลียนแบบพ่านพ่าน”
พ่านพ่านที่อยู่ในอ้อมอกของเสวี่ยชูฉิงพลิกตัวทีหนึ่ง กะพริบตาอย่างใสซื่อ
หลังจากหยอกเย้าเสร็จแล้ว เยี่ยนตี๋ก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ข้าได้พบกษัตริย์ดาราแล้ว พูดคุยกันถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลกซ้อนโลกในปัจจุบันมากมาย”
“ต่อจากนี้ข้าเตรียมจะออกเดินทางอีกครั้ง” เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ไปตามหาราชันพระอังคารกับ…ราชันพระพฤหัสบดีตามคำชี้แนะของกษัตริย์ดารา”
เขามองเสวี่ยชูฉิง ฝ่ายเสวี่ยชูชิงสีหน้าอ่อนโยน พยักหน้า “ครั้งกระโน้นบูรพาจารย์ได้รับบาดเจ็บต้องจนเร้นกาย เรื่องนี้อาจารย์ย่าก็ทราบ เพียงแต่ต่อมาไม่เคยได้รับเบาะแสงที่อยู่ของนาง ถ้าหากบูรพาจารย์ท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นย่อมดียิ่ง ถ้า…โชคชะตาบันดาลให้เป็นเช่นนี้…”
เยี่ยนจ้าวเกอว่า “ไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ถึงอย่างไรก็ยังเป็นปริศนาอยู่ ข้าคิดว่า หาวิธีตามหาราชันพระอังคารแล้วค่อยว่ากล่าวจะดีกว่า ถ้าคำพูดของกษัตริย์ดาราไม่ผิดพลาด เช่นนั้นในเมื่อหลายปีมานี้ราชันพระอังคารตามหาราชันพระพฤหัสบดีมาโดยตลอด เบาแสะในมืออาจมีเยอะกว่า”
“ในเมื่อมีเบาะแสที่กษัตริย์ดารามอบให้ เช่นนั้นก็ต้องใช้มันเคลื่อนไหวก่อน” เสวี่ยชูฉิงพยักหน้า “ค่ายกลเส้นรุ้งจตุรัสของข้ายังรอได้”
“กษัตริย์ดาราได้ดูจวินเอ๋อร์กับพี่สะใภ้อวี่เจินแล้วหรือ” เยี่ยนจ้าวเกอถามขึ้นอีก
เยี่ยนตี๋ระบายลมหายใจออกช้าๆ “ตามคำกล่าวของกษัตริย์ดารา เป็นจอมมารที่มีพลังฝึกปรือล้ำลึกสองตนซึ่งคืนชีพหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ คิดใช้จวินเอ๋อร์สองแม่ลูกเป็นร่างสถิต เพื่อหาโอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ตอนนี้ยังไม่อาจทำลายความหวังของพวกเขา ทว่าคิดจะตัดรากเหง้าทิ้ง โอกาสยังไม่สุกงอม”
เขาหยุดนิ่งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างแช่มช้า “มหันตภัยก็เป็นช่วงเวลาตั้งตัวเช่นกัน เวลาที่อันตรายมากที่สุด จึงเป็นเวลาที่พวกเรามีโอกาสมากที่สุด”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ…”เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าพึมพำกับตัวเอง
เสวี่ยชูฉิงถอนใจคำหนึ่ง
นางไม่เคยได้สัมผัสกับสือจวินสองแม่ลูก แต่ว่านางเคยรู้จักกับสือเถี่ยและสือซงเทาสองพ่อลูก โดยเฉพาะสือซงเทาตอนครั้งอายุสิบกว่าปี เขาเคยเข้าร่วมงานแต่งงานของนางกับเยี่ยนตี๋ ทำหน้าที่เป็นคนรับแขก
“อีกเดี๋ยวข้าจะไปดูพวกจวินเอ๋อร์” เยี่ยนจ้าวเกอพอรู้สึกตัวก็เปลี่ยนหัวข้อ พูดถึงเรื่องที่ได้ยินได้เห็นในหุบเขาเซียนเร้นกายเมื่อก่อนหน้า
เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูฉิงพอฟังต่างมองหน้ากัน รู้สึกเหลือเชื่อ
“ทราบอยู่แล้วว่ากษัตริย์เร้นลับไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้ดูท่าทางยังน่าตกตะลึงกว่าที่คาดไว้เสียอีก” เสวี่ยชูฉิงได้สติ อดพูดพร้อมยิ้มอย่างหนักใจไม่ได้
เยี่ยนตี๋ขมวดคิ้ว “ยากจะไม่ทำให้คนสงสัยว่า เบื้องหลังของเรื่องราวมากมายความจริงล้วนเกิดจากการกระทำในที่ลับของเขา”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่
เสวี่ยชูฉิงขบคิดเล็กน้อย กล่าวเตือนว่า “บางทีอาจเป็นแผนการยุแยงก็ได้ แต่พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาถึงจุดยืนของจักรพรรดิแพรใหม่ ทั้งฝ่ายที่สวมอาภรณ์ดำ และฝ่ายที่สวมอาภรณ์ขาว”
เปรียบเทียบกับจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำ จักพรรรดิแพรอาภรณ์ขาวกระทำเรื่องราวตามอารมณ์
แต่ถ้าหากว่าคำพูดของกษัตริย์ดาราเป็นจริง ในมือของเขาก็มีวิธีที่ทำให้จักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวซึ่งเดินบนเส้นทางมีรักพัฒนาขึ้นได้อีกก้าว เลื่อนสู่ระดับเซียนลี้ลับอยู่จริงๆ
คุณค่าที่อยู่ในนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัย
จักรพรรดิแพรอาภรณ์ขาวถ้าติดหนี้น้ำใจของกษัตริย์เร้นลับ ความเป็นไปได้ที่ย่ำแย่ที่สุดคือเพียงมองดูอยู่ด้านข้าง ไม่ช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“ยังต้องพยายามเพิ่มระดับของตัวเอง ยึดถือให้มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง” เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างสงบนิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ดังนั้นจึงมีข่าวร้ายข่าวหนึ่ง และข่าวดีอีกข่าวหนึ่ง”
………………..