ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1201 เยี่ยนจ้าวเกอที่เจ็บปวดเจียนตาย
ข่าวร้ายย่อมเป็นกษัตริย์ดินเจี่ยงเซิ่นสามารถสำเร็จระดับห้าปราญ มุ่งสู่ต้นกำเนิด เลื่อนสู่ระดับจ้าวสวรรค์ได้ทุกเวลา
ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่การคาดการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเขาถูกเรียกว่ากษัตริย์มาหลายปี เช่นนั้นปัจจุบันก็ได้รับการยืนยันมาจากเลศนัยในคำพูดของกษัตริย์เร้นลับ และการอนุมานด้วยตัวเองของกษัตริย์ดารา แม้จะไม่ได้บอกว่าแน่นอน แต่ความเป็นไปมีเก้าส่วน เกือบเต็มสิบส่วน
ด้วยบารมีของกษัตริย์ดิน ถ้าหากว่าเขาก้าวเท้าก้าวนี้สำเร็จ ตอนนั้นต่อให้กษัตริย์กระบี่กับกษัตริย์ดาราร่วมมือกันก็ต้านทานแรงกดดันที่เขานำมาไม่ได้
ส่วนข่าวดีก็คือ ตอนนี้กษัตริย์ดินยังคงไม่อาจกลับโลกซ้อนโลก
ในเมื่อคำพูดที่เยว่เจิ้นเป่ยตอบกลับไม่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจน เช่นนั้นก็หมายความว่าช่วงเวลานี้จะต้องยาวนาน นี่มอบโอกาสให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอและเขากว่างเฉิงแล้ว
ในตอนที่เพิ่งสังหารหวังเจิ้งเฉิงไป การคาดการณ์ต่อสถานการณ์ในอนาคตของเยี่ยนจ้าวเกอยังร้ายแรงกว่าตอนนี้มาก สถานการณ์ในปัจจุบันนับว่าน่ายินดีแล้ว
“พูดถึงปัญหาที่ทำให้อาจารย์ลุงเยว่กับกษัตริย์ดินต้องรั้งอยู่ในมิติต่างแดน ข้ากลับมีการคาดเดาอยู่” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งลูบคาง ทางหนึ่งกล่าว “ข้าคิดว่าบางทีเรื่องราวน่าจะเกี่ยวพันกับราชันพระอังคารที่ข้าเตรียมจะไปเสาะหา”
หลังจากสั่งให้เสี่ยวอ้ายและอาหู่ออกไป ในห้องก็เหลือแต่พ่อแม่ลูกสามคน จึงพูดถึงโถงเซียนได้โดยไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรง
ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีเมฆแปลงกำเนิดปกคลุม ปัจจุบันยังสำเร็จเป็นจอมยุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุข ส่วนเสวี่ยชูฉิงมีผังเหอถูครึ่งหนึ่งคอยคุ้มครอง จึงไม่เป็นไรเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอไม่สนใจว่ามารดาและบิดาจะเชื่อว่าเขาไม่เป็นไรหรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็ได้ไปโถงเซียนมาแล้ว ต่อให้มีปัญหาจริงๆ วันนี้เท่ากับหมัดมากไม่คัน หนี้มากไม่กังวล
“ราชันพระอังคาร…” เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูฉิงครุ่นคิด
พวกเขาสองตาเป็นประกาย ร้องเป็นเสียงเดียวกัน “เจ้าหมายถึงทวนพระอังคาร?”
เป็นไปอย่างที่กษัตริย์ดารากล่าว คนที่ตามหาราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวงมีอยู่จำนวนไม่น้อย และในจำนวนนี้ ราชันพระอังคารสั่วหมิงจางเป็นหนึ่งในคนที่ยึดติดและให้ความสนใจที่สุด หลายปีมานี้ตามหาอยู่ตลอดไม่เคยหยุดยั้ง
ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตามหาเขาเช่นกัน
คนที่อยู่ฝ่ายจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ เช่นราชันพระอาทิตย์เกาหานกำลังตามหา เมื่อโลกซ้อนโลกมีการจับตาดู โถงเซียนย่อมไม่มีข้อยกเว้น ความจริงพวกเขาจึงมีความคิดออกตามหาอาวุธเซียนไร้ช่องโหว่ชิ้นหนึ่งที่สั่วหมิงจางเคยหลอมสร้าง ซึ่งก็คือทวนพระอังคาร
อาวุธชิ้นนี้แตกต่างกับอาวุธทั่วไป มีสถานการณ์พิเศษ แม้ว่าจะเทียบกับอาวุธเซียนชิ้นอื่นๆ ก็ยังถือว่าพิเศษยิ่ง เป็นเพราะว่ามันมีความคิดและความทรงจำเป็นของตัวเอง แทบจะเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นตัวเองอย่างหนึ่ง
เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูฉิงสองสามีภรรยาตอนนี้ต่างคิดถึงเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอได้ดำเนินการก่อนหน้านี้
นั่นเป็นเรื่องในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอ จักรพรรดิแพร จักรพรรดิไร้จำกัด และเมิ่งหวานเข้าไปในนพยมโลกเป็นครั้งแรกเพื่อตามหาเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยกัน
ในครั้งนั้นจักรพรรดิแพรถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างสาหัสกว่าเดิมเพราะเยี่ยนจ้าวเกอและเฉินเฉียนหัว แบ่งจากหนึ่งเป็นสอง กลายเป็นคนสวมอาภรณ์ขาวและอาภรณ์ดำ
แต่ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิแพรได้ติดต่อให้ทวนพระอังคารมายังนพยมโลก อาศัยข้ออ้างต้องการตัดสินสูงต่ำ ความจริงกลับลอบแจ้งต่อคนของโถงเซียน
สุดท้ายสองกษัตริย์แห่งโถงเซียนได้มาถึง คิดจับและสยบทวนพระอังคาร
ผลลัพธ์คือทวนพระอังคารอาศัยสภาพความปั่นป่วนในบริเวณและการก่อกวนของเหล่าจอมมาร หนีออกจากนพยมโลก
ภายหลังทวนพระอังคารไม่ทราบไปอยู่ที่ใด เยี่ยนจ้าวเกอไม่แน่ใจว่ามันได้ตกไปอยู่ในมือของโถงเซียนแล้วหรือไม่
แต่เมื่อมีเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าจะดึงดูดความสนใจของราชันพระอังคารได้ ราชันพระอังคารใช่ว่าจะเห็นด้วยเรื่องที่ทวนพระอังคารเข่นฆ่าเผ่ามังกร แต่ว่าก็ไม่ได้หยุดยั้ง
ภายหลังทวนพระอังคารถูกเผ่ามังกรผนึกในหุบเหวเหมันต์บรรพกาล เพียงแค่สะกดไว้เฉยๆ แต่ไม่มีอันตรายอย่างแท้จริง ราชันพระอังคารจึงอาจจะไม่ได้ถามไถ่ แต่พอโถงเซียนลงมือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไม่ได้รับข่าวยังพอทำเนา เพราะถ้าหากได้รับ ราชันพระอังคารสมควรไม่ยอมนิ่งดูดาย
ว่ากันว่าท่านผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยยอดเยี่ยมอะไรนัก จะแก้แค้นก็ดี จะช่วยเหลือก็ดี ถ้าเขาจะไปอาละวาดในพื้นที่ของโถงเซียนก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงสามพิสุทธิ์สายหลัก เกี่ยวพันถึงคนที่เคยถูกจัดอยู่ในเก้านพเคราะห์คุนหลุนใหม่เหมือนตัวเอง กษัตริย์ดินต้องให้ความสำคัญ คอยจับตาดูทิศทางของสภาพการณ์ ถึงขั้นที่ไม่อาจกลับโลกซ้อนโลกได้ ไม่มีอะไรต้องตำหนิ
แต่เพื่อไม่ให้ยั่วยุกษัตริย์ดิน ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมทิศทางของสภาพการณ์ให้ทันเวลาเพื่อจะได้สะดวกวางแผนรับมือ กษัตริย์กระบี่ก็ต้องรั้งอยู่ที่นั่นเช่นกัน
“ถึงแม้อาจจะเกี่ยวพันถึงบุคคลยิ่งใหญ่ของสำนักเต๋าเช่นกัน แต่การคาดเดาของเจ้าไม่ใช่จะไร้เหตุผล” เสวี่ยชูฉิงพยักหน้าชมเชย “ว่ากันว่าราชันพระอังคารมีนิสัย เอ่อ…บ้าบิ่นไปบ้าง”
ดังนั้นสำหรับทุกๆ ฝ่ายแล้ว นี่จึงเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอนอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นทุกคนคงไม่สนใจตามหาที่อยู่และร่องรอยของเขา
“เพียงแค่มีความเป็นไปได้ มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เยี่ยนจ้าวเกอว่า “ก่อนที่จะมีข้อมูลเพียงพอ ข้าจะเคลื่อนไหวตามแผนเดิมไปก่อน”
เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูฉิงต่างพยักหน้า “นี่ย่อมแน่นอน”
ทั้งสามคนคุยเรื่องจริงจังกันเสร็จสิ้น หัวข้อก็ค่อยๆ เบาลง ต่างหัวเราะต่อกระซิก
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันมองเสวี่ยชูฉิงอย่างมีเลศนัย “ท่านแม่ เมื่อก่อนข้าเคยถามท่านพ่อคำถามหนึ่ง ข้าถามเขาว่าตอนอยู่ในระดับเดียวกัน เป็นเขาแข็งแกร่งกว่าหรือท่านแข็งแกร่งกว่า ท่านลองเดาว่าเขาตอบว่าอย่างไร”
เสวี่ยชูฉิงมองเยี่ยนตี๋ด้วยรอยยิ้มกว้าง ส่วนเยี่ยนตี๋ไม่ตะขิดตะขวงใจ ยิ้มขึ้นเช่นกัน
“นิสัยของคนอย่างเขา คงไม่ยอมชมข้าต่อหน้าเจ้าแน่” เสวี่ยชูฉิงเบะปาก “เขาย่อมบอกว่าเขาแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ตอนนั้นความจริงไม่ผิดนัก”
หลังจากเว้นเล็กน้อย นางก็ยังกล่าวเสริมว่า “แต่ว่าตอนอยู่บนโลกแปดพิภพ การสืบทอดวรยุทธ์ของเขากว่างเฉิงที่เขาฝึกฝนในตอนนั้นด้อยกว่าการสืบทอดของข้า ตอนนั้นเจตจำนงดาบของเขายังไม่สำเร็จ”
เยี่ยนตี๋มีสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ที่เสวี่ยชูฉิงกล่าวเป็นความจริง การสืบทอดของเขากว่างเฉิงในเวลานั้นสู้การสืบทอดระดับสุดยอดที่มีอยู่น้อยนิดบนโลกซ้อนโลกซึ่งเสวี่ยชูฉิงครอบครองอยู่ไม่ได้จริงๆ
ที่บอกว่าด้อยกว่าเล็กน้อย เป็นเสวี่ยชูฉิงกล่าวไว้หน้าแล้ว
ตอนนั้น ความน่าอัศจรรย์ในดาบกฎเกณฑ์ของเยี่ยนตี๋ยังไม่อาจแสดงออกมาได้หมด เป็นเพียงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แต่เมื่อระดับพลังฝึกปรือของตัวเขายิ่งมายิ่งสูง ความคมกล้าก็ยิ่งมายิ่งเด่นชัด
“หากกล่าวในตอนนี้ เมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน เขาย่อมแกร่งกว่าข้าเหนือคณานับ” เสวี่ยชูฉิงถอนใจอย่างเกินความจริง “ยิ่งอย่าว่าแต่เขาได้เป็นประมุขแล้ว ข้าเพิ่งอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้นอยู่เลย”
“หลายปีมานี้เจ้าร่อนเร่พเนจร สภาพการฝึกปรือเกรงว่าจะแย่ยิ่งกว่าการอยู่โลกเบื้องล่างสักใบเสียอีก เปลืองเวลาไปอย่างอ้อมๆ ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่หยุดอยู่แค่นี้แน่” เยี่ยนตี๋จับมือนางเบาๆ “ต่อจากนี้ไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้ว”
เสวี่ยชูฉิงหันหน้าไป สองสามีภรรยาสบตากันด้วยรอยยิ้ม
“แฮ่ม! แฮ่ม! แฮ่มๆ! แค่กๆๆ!”
เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูฉิงหันหน้ามา เห็นเยี่ยนจ้าวเกอมองพวกเขาอย่างโมโห
“พวกท่านทำเกินไปแล้ว!” เยี่ยนจ้าวเกอใบหน้ารวดร้าว “วันนี้พวกท่านสามีภรรยาได้พบหน้ากันแล้ว สมควรเอาใจใส่คนอื่นๆ ที่ยังตามหาภรรยาไม่เจอไม่ใช่หรือ!”
………………..