ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1206 ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเปลี่ยนแปลง
คัมภีร์เบิกนภา สำหรับโลกซ้อนโลกแล้วมีผลกระทบล้ำลึกและมีความหมายใหญ่หลวงเป็นพิเศษ
เก้านพเคราะห์คุนหลุนใหม่ในอดีตได้ศึกษาคัมภีร์เบิกนภาร่วมกัน จากนั้นก็สร้างโลกซ้อนโลกขึ้นด้วยกัน ต่อมาให้กำเนิดสุดยอดวรยุทธ์ยอดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และผู้คนบนโลกซ้อนโลกคุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน ทั้งยังได้วางรากฐานวรยุทธ์ซึ่งรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่โลกซ้อนโลกจากคัมภีร์เบิกนภา
หมัดทำลายฟ้าโบ่วกี้ของผากิเลน กระบี่หยกเบิกฟ้าของเขานครหยก ดาบเทพทมิฬยะเยือกและเจ็ดวิชาหนาวเหน็บของยอดเขาเมฆมรกต ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไม่อาจยกตัวอย่างได้จนหมด แต่ล้วนมาจากคัมภีร์เบิกนภาทั้งสิ้น
เป็นเพราะความพิเศษของจิตแห่งหลักการ คัมภีร์เบิกนภาจึงไม่ได้มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แต่ต้องได้ถ่ายทอดด้วยปาก ใช้สำนึกทำความเข้าใจ
ดังนั้นหากคิดจะศึกษาหลักการที่อยู่ด้านใน ต้องพิจารณาถึงพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของผู้คน
ถ้าหากล้มเหลวจะไม่ใช่แค่ปัญหาศึกษาไม่ได้เท่านั้น ยังอาจฉีกทึ้งวิญญาณของคนด้วย
แต่ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ
ไม่ใช่เพราะเขาครอบครองคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ในขณะเดียวกันยังเป็นเพราะเขามีคาวมสามารถในการทำความเข้าใจมากพอ
เยี่ยนจ้าวเกอที่มีความเฉลียวฉลาดสูงสุดขีดอยู่แล้ว ยิ่งเดินบนเส้นทางฝึกสามพิสุทธิ์ร่วมกันลึกเท่าไร ความได้เปรียบทางด้านนี้ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
แน่นนอนว่าถ้าหากพื้นฐานของตัวเองไม่ดี เส้นทางก็ยิ่งมายิ่งลำบาก
ในโลกใบนี้ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน อัจฉริยะบุคคลที่สามารถข้ามระดับต่อสู้ได้ปรากฏขึ้นมาอยู่เนืองๆ
หากตัดความแตกต่างด้านพลังต่อสู้ที่เกิดจากความสูงต่ำของการฝึกปรือวรยุทธ์ทิ้ง ให้ทุกคนฝึกวรยุทธ์อย่างเดียวกัน เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีการแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนแอ สาเหตุอยู่ที่ระหว่างคนกับคนด้วยกันที่สุดแล้วก็มีข้อแตกต่าง
อย่างเช่นบรรพครรภ์ของเนี่ยจิงเสิน ร่างจิตนภาของอิงหลงถู โลหิตอัสนีของเซี่ยกวง เป็นต้น
แต่ว่าหากตัดความพิเศษด้านคุณสมบัติร่างกายที่ติดตัวมาแต่เกิดออกไป สติปัญญาของพวกเนี่ยจิงเสินก็ยังโดดเด่นอยู่ดี
เมื่อฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเดียวกัน เมื่อพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน จะสามารถศึกษาจนบรรลุได้มากกว่าคนส่วนใหญ่
ในระดับหนึ่งแล้ว ความเข้าใจและการใช้งานหลักการวรยุทธ์ของพวกเขาอยู่เหนือระดับที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ จึงแข็งแกร่งเป็นพิเศษแม้จะอยู่ในระดับปัจจุบัน
เหมือนอย่างเยี่ยนจ้าวเกอ การศึกษาคัมภีร์พลิกฟ้าของเขาเหนือกว่าระดับที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ควรจะมีตามทฤษฎีมาตั้งนานแล้ว เมื่อประสานกับหลักการวรยุทธ์ชนิดอื่นๆ พิสูจน์ยืนยันยันซึ่งกันและกัน หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลงสุดโต่งของรอยตราพลิกนภา เช่นการย้อนสู่ก่อนกำเนิดและการเปลี่ยนสู่การสร้างได้
ตามปกติแล้ว แม้ว่าจะเป็นเซียนจริงแท้ที่ได้ผลักเปิดประตูเซียนมาแล้ว หรือแม้แต่ยอดฝีมือระดับเซียนพิศวง เมื่อฝึกฝนคัมภีร์พลิกฟ้า ก็ใช่ว่าจะมีการบรรลุที่ล้ำลึกถึงเพียงนี้ได้
ดังนั้นถึงแม้จะยังไม่ได้ฝึกฝนปราณเซียน และจิตราเซียนสำเร็จ เพียงใช้ญาณจริงแท้กระตุ้นรอยตราพลิกนภา เยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถทำให้เฉินเฉียนหัวที่ฝึกฝนคัมภีร์พลิกฟ้าเหมือนกันกระอักได้
ต่อให้เฉินเฉียนหัวจะเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดน่าทึ่งเช่นกัน มีการศึกษาวรยุทธ์ที่ตนร่ำเรียนจนำวนมากถึงขั้นที่น่าตกตะลึง แต่ก็ยังคงสู้รอยตราพลิกนภาของเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ระดับเดียวกันไม่ได้
ไฉนเมื่อระดับของจอมยุทธ์ยิ่งสูง เรื่องข้ามระดับท้าสู้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ จนถึงตอนสุดท้ายก็หายไปโดยสิ้นเชิงหรือ
ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าระดับยิ่งสูง คนที่เดินมาถึงระดับนี้ได้แต่ละคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ต่างมีความสามารถสะท้านฟ้า โด่งดังตั้งแต่ยังอายุน้อย ความแตกต่างระหว่างคนด้วยกันหดน้อยลงอย่างต่อเนื่องจนหายไปโดยสมบูรณ์
คนที่มีความแตกต่างมากเกินไปจะตกออกจากขบวนแถว เพราะการคัดออกในทางอ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างการปีนสูงจุดสูงสุด ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าจิตแห่งหลักการของตัววรยุทธ์ก็มีจำกัดเช่นกัน พอมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เส้นทางของแต่ละคนจะมาอยู่บนทางเดียวกัน เริ่มอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ความได้เปรียบจากการบรรลุได้ก่อนจะไม่คงอยู่อีกแล้ว
ในเวลานี้มาตรแม้นว่าระหว่างพลังของคนด้วยกันจะยังคงปรากฏข้อแตกต่าง แต่ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ขึ้นอยู่กับการสะสมและสั่งสมมากกว่า
สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว การศึกษาคัมภีร์เบิกนภาในช่วงเริ่มแรกไม่ได้มีความยากเย็น สิ่งที่จำเป็นต้องพยายามคือจะเจาะลึกเข้าไปมากกว่าเดิมได้อย่างไร
หลังจากเข้าฌานฝึกฝนชั่วคราว เยี่ยนจ้าวเกอก็ออกฌานอีกครั้ง การเดินทางในครั้งนี้เขาออกจากโลกซ้อนโลกโดยตรง
‘ไม่อยู่ในจักรวาลการสืบทอดสามพิสุทธิ์สายหลัก ไม่ได้อยู่ในจักรวาลแดนสุขาวดีศาสนาพุทธ และไม่ได้อยู่ในจักรวาลของโถงเซียนเต๋านอกรีต…หรือ’ เยี่ยนจ้าวเกออยู่ในมิติไร้สิ้นสุดต่างแดน เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ‘การเปลี่ยงแปลงของมหาจักรวาลเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มีมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้’
การเคลื่อนไหวอยู่ในมิติไร้สิ้นสุดมีระยะทางไกลจนไม่อาจประมาณได้ ด้วยพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ ตอนที่เคลื่อนไหวยังเป็นระยะทางหมื่นธาราพันภูเขา จำเป็นต้องตามหาวังวนที่เชื่อมต่อกับมิติเวลาที่แตกต่างส่วนหนึ่ง จึงจะสามารถประหยัดเวลาได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เดินทางต่อไปอีกร้อยปีพันปีก็เหมือนเอาน้ำแก้วหนึ่งไปดับรถติดไฟ
แต่ว่าจากประสบการณ์ที่ได้จากการไปโลกศาสนาพุทธและโลกโถงเซียนก่อนหน้านี้ เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอต้องเดินทางอีกครั้งกลับคุ้นเคยกว่าเดิม
จุดหมายที่กษัตริย์ดาราชี้แนะ ให้ตำแหน่งค่อนข้างแม่นยำ เยี่ยนจ้าวเกอเพียงตามหาอาชาตามภาพวาด ก็เพียงพอแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังต้องผ่านการเดินทางอันแสนยาวนาน
หลังจากข้ามการขวางกั้นระหว่างสองจักรวาล เยี่ยนจ้าวเกอก็เข้ามาในมิติเวลาแห่งใหม่ ตรงหน้ายังคงเป็นความว่างเปล่าที่มืดมิด เงียบงัน และสงบนิ่ง ไกลออกไปแสงดาวส่องระยิบระยับที่เห็นได้แต่ไกล
ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดมีปราณวิญญาณเบาบาง แต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ถึงความไม่คุ้นเคยเล็กๆ อย่างชัดเจน
กลับไม่ใช่รู้สึกทนทานไม่ได้ แต่ว่าไม่ค่อนชินนัก แตกต่างกับความรู้สึกตอนอยู่ในจักรวาลสำนักเต๋ามากเกินไป
“ที่นี่ไม่เหมาะให้มนุษย์อยู่ เหมาะสำหรับเผ่าปีศาจในตำนานมากกว่า” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ
ไม่ว่าจะเป็นโลกแปดพิภพหรือโลกซ้อนโลกต่างมีอสูรปีศาจ
ในจักวาลของมนุษย์มีจอมปีศาจที่มีพลังไม่ะธรรมดาอยู่ไม่กี่ตน แต่ว่ามีน้อยเกินไป อีกทั้งยังมีเผ่าปีศาจที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่สูญพันธุ์ไปแล้ว
กระนั้นดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว ที่นั่นยังเหมือนกับมหาจักรวาลก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ที่คนกับปีศาจต่างอยู่อาศัยได้ แต่ที่นี่ไม่เหมาะให้มนุษย์อยู่อาศัยอย่างชัดเจน
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่นำพา เมื่อกลุ่มปราณโกลาหลในร่างเคลื่อนไหวแล้ว เขาก็คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ในทันที
แต่ว่าสภาพตรงหน้ากลับทำให้เขาเหมือนคิดอะไรออก
ร่างของเขาส่ายวูบเบาๆ เงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างเยี่ยนจ้าวเกอ เป็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกนั่นเอง
เยี่ยนจ้าวเกอร่างจริงสูดหายใจเฮือกหนึ่ง กายเนื้อที่ปล่อยและเก็บเลือดลมได้ตามใจชอบหดเล็กลง
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกแบมืออก ประกายแสงส่องระยิบระยับกลางฝ่ามือ เยี่ยนจ้าวเกอตัวจริงโดดเข้าไปด้านในแล้วหายตัวไป
ร่างของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเลือนราง
ลักษณะถึงแม้จะยังคงเป็นมนุษย์ แต่ว่าในจุดลมปราณทั่วร่างกลับมีปราณปีศาจและกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยออกมา
หลังจากกล้ามเนื้อด้านหลังสั่นไหวสองครั้ง ปีกคู่หนึ่งก็งอกออกมา จากนั้นก็กางออกจนแผ่คลุมฟ้าและดวงตะวัน
นี่ไม่ใช่การผนึกจิตวรยุทธ์เพื่อเลียนแบบ แต่เป็นปีกคุนเผิงที่ร่างแยกสมุรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนแปลงเลือดเนื้อแล้วงอกขึ้นมา
เพราะหลอมรวมสายเลือดเผ่าปีศาจหลายชนิด โดยเฉพาะยังหลอมรวมกับกระดูกคุนเผิง พร้อมกับระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยิ่งมายิ่งสูง มันจึงสามารถทำให้ร่างเลือดเนื้อเปลี่ยนจากร่างมนุษย์ให้กลายเป็นร่างปีศาจได้ในระดับหนึ่ง
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกในตอนนี้เหมือนกับปีศาจคุนเผิงกลายร่างเป็นมนุษย์ แต่ภายนอกยังคงรักษาลักษณะพิเศษของอสูรปีศาจไว้ส่วนหนึ่ง
หลังจากคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก็กางปีกที่ด้านหลังบินไกลออกไปในชั่วพริบตา
หลังจากมันหายไปได้ไม่นาน เงามืดบริเวณหนึ่งพลันปกคลุมความว่างเปล่าแห่งนี้
“กลิ่นอายมนุษย์…หายไปแล้ว…รู้สึกไปเองหรือ”
………………..