ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1225 ราชันพระอังคารและราชันพระพฤหัสบดี
ในโลกมิติแห่งนี้ ต้นไม้ขนาดมึหมา กิ่งใบขึ้นแน่นขนัด ลำต้นปกคลุมท้องฟ้า ถมเต็มความว่างเปล่าทั้งหมด
ต้นไม้สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างเงียบงัน ไม่ทราบว่าผ่านวันเวลามามากน้อยขนาดไหน
จนกระทั่งราชันพระอังคารสั่วหมิงจางมาถึงใต้ต้นไม้ บนต้นไม้วิญญาณที่เรืองแสงสีเขียวมรกตจึงค่อยบานเป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ กิ่งใบเอนไหวโดยไร้ลม กลีบดอกร่วงหล่นราวหิมะขาว
สั่วหมิงจางเงยหน้ามองไป นิ่งงันอยู่เนิ่นนาน
มองจากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ ใบหน้าที่กระจ่างใสก่อนหน้าของสั่วหมิงจางยามนี้พร่าเลือน ไม่ชัดเจน แต่ว่าแรงกดดันอันยิ่งใหญ่ในยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นกระจ่างชัดขึ้นมา
เหมือนกับคมอาวุธที่ถูกกดให้อยู่ในฝักมาโดยตลอด ยามนี้ไม่อาจยากจะควบคุม กำลังจะระเบิดออกมา
มีพริบตาหนึ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นรู้สึกว่า เมฆดาราปฐมกำเนิดที่ไม่ทราบว่ากว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหนนี้เหมือนกับกำลังจะดับสูญ
แต่ว่าแค่เพียงพริบตาเดียว ทุกสิ่งนี้ก็คล้ายกับถูบเก็บกลับไป หายไปมองไม่เห็น ทำให้ผู้คนนึกว่าเมื่อครู่เป็นความรู้สึกหลอน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือทวนพระอังคาร ทุกคนต่างทราบว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา
ด้วยความแน่วแน่ด้านจิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอ ยามนี้ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอันรุนแรง
ราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวงถึงจะเป็นบูรพาจารย์ของเสวี่ยชูฉิง ทว่าแม้แต่เสวี่ยชูฉิงก็ไม่เคยสัมผัสกับนางอย่างแท้จริงมาก่อน
หากบอกว่าเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเจ็บปวดเหลือแสนเพราะการจากลาของผู้อาวุโสท่านนี้ นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ความรู้สึกในใจเขาส่วนใหญ่เป็นความเสียดายมากกว่า
ทว่าในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกได้ถึงความรวดร้าวที่เข้มข้นอย่างแท้จริง มันไม่ได้มาจากตัวเอง แต่ถูกราชันพระอังคารสั่วหมิงจางที่อยู่ตรงหน้ากระตุ้น
ไม่ใช่สั่วหมิงจางตั้งใจ แต่ว่าความเจ็บปวดที่ไร้เสียงนั้นในตอนนี้ลุกลามไปทั่วทั้งโลก ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกต่างเศร้าโศกไปพร้อมกับจิตใจของเขา
มิติทั้งมิติล้วนเกิดความรู้สึกทรุดโทรม
เยี่ยนจ้าวเกอปิดเปลือกตา โคจรวิชาและสงบจิตใจ ความรู้สึกจึงค่อยกลับเป็นปกติ
เขามองสั่วหมิงจางที่อยู่ใต้ต้นไม้ตรงหน้า ถามทวนพระอังคารที่อยู่ด้านข้างเสียงเบาโดยไม่ได้หลบเลี่ยงว่า “ผู้อาวุโส ในตอนนั้นทำไมราชันพระอังคารกับราชันพระพฤหัสบดีจึงแยกทาง”
“หมิงจางฝักใฝ่ในการฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่ยังเล็ก หวังว่าจะสามารถปีนป่ายสู่จุดสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง บรรลุมหามรรคาไร้สิ้นสุดในฟ้าดินนี้ในตอนที่ยังมีชีวิต ในสายตาของเขา นั่นเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด” ทวนพระอังคารกล่าวอย่างแช่มช้าหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ สั่วหมิงจางจึงไม่ได้มองเรื่องอื่นๆ สำคัญนัก
ในฐานะสายเลือดผสม วัยเด็กของเขาใช่ว่าจะดีกว่าเยี่ยหยางที่เติบโตมาด้วยกัน
เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั่นไม่ใช่สิ่งที่สั่วหมิงจางให้ความสำคัญ
เมื่อก่อนเขาที่มีนิสัยบ้าบิ่นอาจเกิดความขัดแย้งกับผู้คน พุ่งชนจนศีรษะแตกเลือดอาบ แต่หลังจากจบเรื่องกลับไม่ได้จดจำใส่ใจ
สิ่งที่ทำให้เขาใส่ความตั้งใจลงไปอย่างแท้จริง ยังเป็นความก้าวหน้าบนเส้นทางวรยุทธ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ต่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อให้มีพลังกลับมาล้างแค้นในภายหลัง ไม่ใช่เพื่อต้องการประโยชน์อะไร แต่มาจากความปรารถนาและความกระตือรือร้น เป็นเพราะว่าฝักใฝ่และหลงไหลในมหามรรคา และการแสวงหารวมถึงความใคร่รู้ต่อขอบเขตที่ยังไม่ทราบ
ทวนพระอังคารไม่ได้บอกกล่าวอย่างละเอียด แต่เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจความหมายของเขาอย่างคร่าวๆ
“สหายร่วมเส้นทางเซ่าจวินหวง…เป็นคนที่จริงใจเช่นกัน เพื่อความเชื่อในใจ แม้ตายสักร้อยครั้งก็ไม่เสียดาย ไม่มีทางหวั่นไหว” ทวนพระอังคารกล่าวเสียงเบา “ข้าถึงแม้จะไม่ได้สนิทกับสหายร่วมเส้นทางเซ่า แต่ก็ทราบว่าความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนางคือการฟื้นฟูสามพิสุทธิ์สายหลักสำนักเต๋า หยุดยั้งความวุ่นวาย ขดจัดมารปีศาจนอกรีต ชำระล้างจักรวาล”
เยี่ยนจ้าวเกอพอฟังก็ปิดตาลงเบาๆ
เขาพอจะทายออกแล้วว่าคนคู่หนึ่งที่รักกัน ทำไมสุดท้ายไม่อาจอยู่ข้างกันและกันได้
ราชันพระอังคารสั่วหมิงจางแม้จะมีนิสัยบ้าบิ่น กระทำตามใจชอบ แต่โดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นคนที่ชอบความ ‘สงบนิ่ง’ หรือควรจะบอกว่าเป็นคนที่ไม่อะไรกับผู้ใด ประสบการณ์ในวัยเยาว์ยังมีผลกระทบต่อเขา
เขายินดีดำดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง ศึกษาวรยุทธ์ แสวงหาความไม่รู้ ในกระบวนการศึกษา เขาที่ใจร้อนไม่สนใจผู้ใดสามารถสงบจิตใจได้จริงๆ
มองดูขัดแย้งแต่ความจริงกลับไม่แปลกนัก ในความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอ สั่วหมิงจางเหมือนกับนักเรียนที่มีนิสัยแปลกประหลาดและบ้าระห่ำคนหนึ่ง
มิน่า ในเก้านพเคราะห์คุนหลุน ราชันพระอังคารสั่วหมิงจางจึงยืนอยู่กึ่งกลาง ไม่เอนเอียงไปทางจักรพรรดิโกวเฉิน หรือจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋
แต่ที่โชคไม่ดีก็คือ ราชันพระพฤหัสบดีเซ่าจวินหวงถึงแม้จะเป็นสตรี แต่กลับเหมือนนักปฏิวัติที่มีความรู้สึกรับผิดชอบและความรู้สึกที่ต้องทำตามคำสั่งอย่างเต็มเปี่ยม…
“สหายร่วมเส้นทางเซ่าหวังให้หมิงจางอยู่ข้างนางได้ แต่หมิงจางอยากให้พวกเขาสองคนแสวงหามรรคามากกว่า อย่างน้อยสมาธิส่วนใหญ่ก็ควรใช้ไปกับการแสวงมรรคา ไม่ใช่เอาแต่เดินทาง” ทวนพระอังคารพยายามใช้ถ้อยคำที่เป็นกลางบรรยายความขัดแย้งทั้งสองให้มากที่สุด
“พวกเขาผ่านมรสุมมาหลายปี แต่สุดท้ายก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ จึงเลือกแยกทาง”
เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว “…ไม่ขัดแย้งกันกระมัง ยังไม่เอ่ยถึงว่าการค้นหาวรยุทธ์ไม่อาจแยกจากการต่อสู้ ต่อให้ราชันพระอังคารมีใจแสวงมรรคา สองฝ่ายก็สามารถช่วยเหลือกันและกันได้”
คนอย่างเซ่าจวินหวงตระเวนเดินทางไปทั่วเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงกว่าเดิมให้แก่คนอย่างสั่วหมิงจางที่ตั้งใจฝึกฝน ในทางกลับกัน พวกเซ่าจวินหวงช่วงชิงเวลาให้แก่พวกสั่วหมิงจาง เมื่อพวกสั่วหมิงจากมีผลสำเร็จ ย่อมหมายถึงความรุ่งเรืองของสำนักเต๋าสายหลัก
“หากเป็นเช่นนั้นย่อมทำได้” ทวนพระอังคารหันมามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างล้ำลึก “แต่ปัญหาอยู่ที่สหายร่วมเส้นทางเซ่ายินยอมจ่ายด้วยชีวิตของตัวเองอย่างไม่ลังเล เพื่อความรุ่งเรืองของสำนักเต๋าสายหลัก และหมิงจางก็ไม่สนใจอันตรายใดๆ เพื่อแสวงมรรคา…”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็ถอนใจ “แต่ถ้ากลับกันก็ไม่แน่แล้ว?”
ทวนพระอังคารพยักหน้าเงียบๆ
ไม่ว่าจะเป็นสั่วหมิงจางหรือเซ่าจวินหวง ทั้งคู่ต่างยินดีจ่ายด้วยชีวิตของตัวเองเพื่อความปลอดภัยของอีกฝ่าย แต่พวกเขาใช่จะยินยอมสละร่างเพื่ออุดมคติและความตั้งใจของอีกฝ่าย
พวกเขาเป็นคนหยิ่งทะนง ไม่คิดจะใช้ความปลอดภัยของตัวเองมาบังคับให้อีกฝ่ายต้องต่อสู้เพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ระหว่างสองฝ่ายอาจมีการปรับความเข้าใจและประณีประนอมมากมาย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้
เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับเซ่าจวินหวงที่เสวี่ยชูฉิงผู้เป็นมารดาเล่าให้ฟังก่อนจะออกเดินทางในครั้งนี้
เสวี่ยชูฉิงมิเคยสัมผัสเซ่าจวินหวง ความเข้าใจที่มีต่ออีกฝ่ายล้วนมาจากอาจารย์ของนาง มาจากจักรพรรดิเจิดจรัสหูเยว่ซินอาจารย์ ย่าของนาง
‘นิสัยดื้อรั้น เรื่องที่ตัดสินใจแล้วอย่าว่าแต่วัวแปดตัว ต่อให้เป็นมังกรแปดตัวก็ฉุดลากกลับมาไม่ได้…’
‘ชอบสุราเลิศรส แต่กลับคออ่อน แค่ดื่มก็เมาทันที มิหนำซ้ำหากรสสุราแย่ยิ่ง พอเมาแล้วก็จะอาละวาด…’
‘ขี้เซา รักการนอนกลางวันมาก ทำทุกวันแม้แต่สายฟ้าก็ไม่อาจโยกคลอน ตอนบ่ายจะต้องงีบช่วงเล็กๆ ยอมไม่ดื่มสุรา แต่ต้องได้นอน เกิดถูกปลุก ผลลัพธ์ยากคาดคิด…’
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอมุมปากกระตุกเล็กน้อย ‘จักรพรรดิเจิดจรัสไม่มีความคิดปกปิดให้แก่อาจารย์แม้แต่น้อย เปลี่ยนเป็นลูกศิษย์คนอื่นถ้าแฉอาจารย์ตัวเองเช่นนี้ เมื่อผู้เป็นอาจารย์รู้คงขับนางออกสำนักแต่แรกแล้วกระมัง’
แต่ว่าเกี่ยวกับเซ่าจวินหวง หูเยว่ซินก็มีการวิจารณ์อีกเช่นกันว่า ‘วาจาเชือดเฉือน เพื่อปกปิดจิตใจอันบอบบาง…’
………………..