ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1245 ความประหลาดของตำหนักโอสถ
“ตัวตำหนักโอสถมีความประหลาด?” เนี่ยจิงเสินพอฟังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นอะไร แต่ข้าแน่ใจมากกว่าที่นี่มีปัญหา”
ขณะที่พูด เขาก็มองไปยังอวี่เยี่ย เห็นหญิงสาวสวมอาภรณ์เขียนเหมือนกำลังเหม่อลอย
ในตอนที่อีกฝ่ายมาพร้อมกับพวกเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอก็สังเกตเห็นแล้วว่ายามที่ศิษย์พี่ท่านนี้เคลื่อนไหวอยู่ในมิติระหว่างทาง สายตานางล่องลอย ท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเหนือกับตัว เหมือนกำลังนึกทบทวนถึงชีวิต
นั่นคล้ายกับไม่ได้ดำดิ่งอยู่ในหลักการของฟ้าดินตลอดเวลา จนมองข้ามเรื่องราวตรงหน้าไป ความสนใจที่นางมีต่อเมฆดาราปฐมกำเนิด คล้ายไม่น้อยกว่าตำหนักโอสถ
จนกระทั่งเห็นเยี่ยนจ้าวเกอก้าวเข้ามาในเงามืดที่ตลัดสลับกันของกงจักรมหาประกายกาฬ นางจึงค่อยได้สติ ทักทายเยี่ยนจ้าวเกอตามมายาท
คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ไม่ถนัดมารยาททางสังคม ไม่ถนัดการคบหากับผู้คน แต่ว่าในตอนที่ไม่ได้พูดกับใครมักจะเหม่อลอยจนเป็นนิสัยอย่างควบคุมไม่ได้
ในตอนที่ทักทายเยี่ยนจ้าวเกอ รอเยี่ยนจ้าวเกอคุยกับเยี่ยนตี๋แล้วนางถอยไปด้านหลัง สายตาก็คล้ายเริ่มว่างเปล่าอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นล่องลอย มองไปดูซึมเซา
แต่ว่าเจตจำนงกระบี่ของนางถูกเก็บไว้ไม่ได้ปล่อยออก ก็ยังคงทำให้คนต้องสยิวกาย เหมือนกับพร้อมออกจากฝักตลอดเวลา
ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ นางก็ช่างทำตัวน่าเป็นห่วง จนคนอื่นๆ กลัวว่าแม่นางผู้นี้พร้อมถูกลักพาตัวได้ตลอดเวลา
รอจนสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอมองมาแล้วนางรู้สึกได้ สายตาก็มีจุดรวมใหม่
คำพูดที่คนอื่นๆ คุยกันเมื่อครู่ นางไม่ได้ยึดถือเป็นลมผ่านหู เพียงแต่ตอนนั้นดำดิ่งอยู่ในการตระหนักรู้ ไม่ได้ทำความเข้าใจ ทุกอย่างเหมือนกับถูกนางเก็บไว้ หลังจากรู้สึกตัวจึงค่อยนำมาใช้
“พวกอาจารย์อาถังยังมีผู้สืบทอดกระแสตรงสายเอกพิสุทธิ์สามคนในตอนนั้น ต่างสาปสูญไปเพราะตำหนักโอสถ” อวี่เยี่ยผงกศีรษะกล่าวว่า “ที่นั่นอาจจะมีความแปลกประหลาดอยู่จริงๆ”
เยี่ยนตี๋พยักหน้าแช่มช้า คล้ายนึกอะไรออก เรื่องที่อวี่เยี่ยพูด เยี่ยนจ้าวเกอเคยเล่าให้เขาฟังแล้ว
นั่นเป็นเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอกับคนของมรกตท่องฟ้า และคนจากยอดเขาอัศจรรย์ช่วงชิงเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ สถานการณ์ในครั้งนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนหกคนหายสาปสูญ ถูกพลังของพิธีลึกลับกลืนกิน
ตามการคาดเดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ที่มาของพิธีลึกลับก็คือตำหนักโอสถ
หลังจากเนี่ยนจิงเสินกับทวนพระอังคารเข้าใจสถานการณ์ สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง “มีคนไปถึงก่อนหรือ หรือว่าจะมียอดฝีมือก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ยึดครองที่นั่นไว้ และหนีรอดจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เพราะมัน”
“ตอนนี้ยังไม่แน่นัก ได้แต่ต้องเพิ่มการระวังตัว ปรับเปลี่ยนตาาสถานการณ์” เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญ สักพักก็เอ่ยปากพูดว่า “ความจริงถ้าหากถามข้า การเปลี่ยนแปลงจากเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับในตอนนั้นเหมือนเป็นกับดักที่จงใจวางไว้”
พอฟัง สายตาของทุกคนก็มองมาที่เยี่ยนจ้าวเกอ แม้แต่อวี่เยี่ยก็ไม่เว้น
“เหมือนกับการล่าสัตว์ในยุคบรรพกาล” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวกับอวี่เยี่ย “ศิษย์พี่อวี่เยี่ยโปรดให้อภัยด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจหยามหยั่นผู้อาวุโสที่หายตัวไปเหล่านั้น เพียงแค่เปรียบเทียบเฉยๆ”
อวี่เยี่ยส่ายหน้า “หาเป็นไรไม่ ข้าเข้าใจดี”
นางเหม่อลอยเล็กน้อย จากนั้นก็กล่วอย่างแช่มช้าว่า “ตามการบอกเล่าหลังจากนั้นของชิงเอ๋อร์ ถ้าหากการคาดเดาของศิษย์น้องเยี่ยนเจ้าเป็นจริง เช่นนั้นเป้าหมายของอีกฝ่ายก็คล้ายกับเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังฝึกปรือค่อยข้างสูง อย่างน้อยก็ต้องปีนสะพานเซียนแล้วกระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ข้าเองก็มีการคาดเดาเช่นนี้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ากับดักเป็นฝีมือคน ไม่ใช่ผนึกป้องกันของตัวตำหนักโอสถ”
“ในเมื่อผลของกับดักเป็นการจับกุม ไม่ใช่การสังหารคาที่…” เนี่ยจิงเสินเห็นปัญหาสำคัญทันที “เช่นนั้นคนที่วางกับดักมีเป้าหมายอะไรกันแน่”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตอบ เมื่อได้สัมผัสกับเจตจำนงอันเย็นเยียบในตำหนักโอสถสายนั้น ความจริงในใจเขามีการคาดเดาหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้พิสูจน์
กระนั้น การคาดเดานี้เขาไม่อาจบอกให้คนอื่นฟัง เพราะมีการเกี่ยวพันกว้างเกินไป
“บางทีต้องรอพวกเราไปถึงที่นั่นแล้วทดลองหาคำตอบก่อน” ภาพที่อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในใจของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่เขาไม่แสดงออกทางสีหน้า ตอบว่า “หวังว่าคนที่หายไปในตอนแรกจะได้รับการคุ้มครองจากฟ้า ครั้งนี้พวกเราไปแล้วสามารถหาวิธีช่วยเขาจากอุปสรรคได้”
พวกอวี่เยี่ยต่างพยักหน้าเล็กน้อย “ตอนนี้ได้แต่ต้องทำแบบนี้แล้ว”
ทุกคนก้าวข้ามสะพานรุ้ง มุ่งไปยังด้านหน้า
ที่ปลายสุดของสะพานรุ้ง ตำหนักใหญ่หลังนั้นในที่สุดก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง จากพร่ามัวเป็นชัดเจน
เพียงแต่ว่าแตกต่างกับในความทรงจำของเขา ตำหนักใหญ่ที่เดิมทีมีแสงสีทองสว่างไหสว เหมือนกับก่อสร้างจากหยกขาวตอนนี้กลับเป็นสีดำ
ยิ่งเข้าใกล้ตำหนัก กลิ่นโอสถก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้คนรู้สึกปลอดโปร่งไปทั่วทั้งร่าง
ทว่าหลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอลงจากสะพานรุ้งจริงๆ แล้ว กลิ่นโอสถก็ก่อให้เกิดแสงโพล้เพล้หลายสาย ขัดขวางเส้นทางของพวกเขา
“ถึงแม้จะมีมรดกของราชันพระพฤหัสบดีช่วยเหลือ แต่คิดจะเข้าไปทางเป็นทางการยังคงต้องใช้สมองบ้าง” เยี่ยนจ้าวเกอเดินอยู่ในแสงโพล้เพล้ ตรงหน้าพร่าเลือน ยากแยกแยะทิศทาง
การเดินอยู่ข้างในมอบความรู้สึกเดินอยู่ที่เดิมชนิดหนึ่งให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอ
กลับเป็นสำนึกที่เย็นเยียบสายนั้น ครั้งนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก
นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผ่อนคลาย กลับกันในใจยังเพิ่มการระวังตัวขึ้น
‘กับดักในตอนนั้นไม่เหมือนว่าใช้ครั้งเดียวจบ ตำหนักโอสถวังเทพได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้รกร้าง เช่นนั้นการจับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนหลายคนไป โดยพื้นฐานออกจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ
สำหรับมนุษย์โลก จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนแข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้ว
นอกจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขที่ยืนอยู่บนระดับสูงสุดของโลก จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด
ต่อหน้าประมุขในหมู่คน พวกเขาบางทีอาจอ่อนแอ แต่ว่าความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นใคร แค่เพียงยกยกเท้าก็สามารถขยับเขาถมทะเล เป็นบุคคนที่ทำลายฟ้าดินได้ทั้งสิ้น
หากไปอยู่ในโลกเบื้องล่างอย่างโลกแปดพิภพ โลกปีศาจอัคคี และโลกลอยน้ำจะสามารถทำลายฟ้าดินได้อย่างง่ายดาย
แต่ว่านั่นสุดท้ายแล้วก็เป็นการเทียบกับมนุษย์ด้วยกัน
สำหรับระดับเซียนที่อยู่บนสวรรค์แล้ว มนุษย์ สุดท้ายก็ยังเป็นแค่มนุษย์
ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงคาดเดาว่า หลังจากคนที่วางกับดักจับตัวจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนหกที่อยู่รอบๆ ในตอนนั้นสำเร็จแล้ว ก็เตรียมจะเก็บเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับกลับไป หรืออาจจะใช้แผนการเดิม…จับสิ่งมีชีวิตมากกว่านี้
คิดไม่ถึงว่ากลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอขัดขวาง ทำลายแผนการกลางทาง อีกฝ่ายถึงได้เดือดดาลขนานั้น
ความโมโหและความเคียดแค้นที่แฝงอยู่ในสำนึกที่เย็นเยียบนั้น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ขึ้นใจ
‘ข้าส่งตัวเองเข้าหาตาข่าย ท่านควรดีใจถึงจะถูก’ เยี่ยนจ้าวเกอเยาะตัวเองในใจ
เขามองแสงโพล้เพล้ที่ขัดขวางเส้นทาง ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นวาดในอากาศ เงาแสงเหลือรอยตราไว้กลางอากาศ ไม่ได้สลายไป ผสานกันเป็นยันต์อาคมหลายสาย
ยันต์อาคมผสมผสาน สุดท้ายเหมือนกับกลายเป็นประตูบานหนึ่ง เปิดออกกลางหมอกมัวและแสงโพล้เพล้
อวี่เยี่ยที่ก่อนหน้านี้เหมือนกับเหม่อลอยหันมามองประตูบานนั้นอย่างงงงวยอยู่บ้าง หลังจากสับสนครู่หนึ่ง ดวงตาก็มีจุดศูนย์รวมใหม่
“ศิษย์น้องเยี่ยน หรือเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับในตอนนั้นจะตกอยู่ในมือเจ้า”
………………..….