ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1248 ตำแหน่งแกนกลางที่สำคัญของตำหนักโอสถ
ที่แกนกลางนำทางต่างมีเงามืด แสดงให้เห็นว่าอาณาเขตเหล่านี้มีปัญหาไม่น้อย
เยี่ยนจ้าวเกอแยกแยะอย่างคร่าวๆ สักพักหนึ่ง พบว่านี่นั่นยังเป็นตำแหน่งสำคัญของตำหนักโอสถพอดี
แกนกลางหลักของตำหนัก ห้องยาหลัก โกดังโอสถ โกดังสมุนไพร…
ส่วนสำคัญเหล่านี้ถูกเงามืดครอบคลุมไว้ทั้งสิ้น
แกนกลางหลักไม่จำเป็นต้องอธิบายมากความ ถ้าเทียบกับแกนกลางนำทางและโถงต้อนรับหรือโถงใหญ่ ที่นั่นก็คือห้องควบคุมหลักแล้ว
สิ่งที่ควรค่าแก่แการเอ่ยถึงก็คือ ที่นี่เก็บตำรับยาของโอสถเซียนยาวิญญาณที่ล้ำค่าไว้เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ครบถ้วนยิ่งกว่าบันทึกในหอเก็บหนังสือ มีตำรับยาไม่กี่ตำรับที่หอเก็บหนังสือไม่ได้เก็บไว้ มีแต่ที่นี่เท่านั้นถึงจะมี
ห้องยาหลัก เป็นสถานที่ที่มีเงื่อนไขทางสภาพแวดล้อมดีที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดท่ามกลางห้องสงบใจที่เอาไว้หลอมโอสถมากมาย
ในอดีต เตาวิเศษหลอมโอสถระดับสุดยอดในวังเทพ รวมถึงเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ ส่วนใหญ่แล้วล้วนตั้งอยู่ที่นั่น ผู้ที่มีคุณสมบัติใช้ห้องยาหลักหลอมโอสถ ทั่วทั้งวังเทพมีแค่คนไม่กี่คน
โกดังโอสถ ในด้านหนึ่งแล้วถือเป็นสถานที่ที่น่าดึงดูดที่สุด เป็นเพราะว่าที่นั่นเก็บโอสถเซียนยาวิเศษสำเร็จรูปของตำหนักโอสถที่ถูกหลอมสร้างขึ้นแต่ไม่มีคนเอาออกไปไว้เป็นจำนวนมาก
ตำหนักโอสถไม่ได้ถูกทำลายในวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย การเก็บรักษาของโกดังโอสถก็สมควรสมบูรณ์แบบ
ส่วนโกดังยาเอาไว้เตรียมสมุนไพรวิญญาณ ยาวิญญาณ รวมถึงวัตถุดิบวิเศษทั้งหลายซึ่งเตรียมเอาไว้หลอมโอสถ ดูจากคุณค่าไม่ได้ด้อยกว่าโกดังโอสถเท่าไรนัก
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองรอบๆ สังเกตเห็นจุดเปื้อนที่เหมือนกับสิ่งแปลกปลอมในลำแสงเหล่านั้น พวกมันหมายถึงพวกเยี่ยนตี๋ที่เข้ามาในตำหนักโอสถ
พวกเขาไม่เหมือนกับเยี่ยนจ้าวเกอที่สามารถหาเส้นทางในตำหนักโอสถได้ จึงได้แต่ต้องหยุดชะงัก
การเดินทางในความว่างเปล่ากลางจักรวาลภายในตำหนักโอสถ ถ้าหากไม่มีวิธี ความจริงก็ไม่ต่างกับเดินอยู่ที่เดิม
มีแต่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่ระดับพลังฝึกปรือสูงถึงขั้นหนึ่งเท่านั้น จึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่ต้องสนใจกฎเกณฑ์ส่วนหนึ่ง
แต่ว่าระดับพลังฝึกปรือของพวกเยี่ยนจ้าวเกอในปัจจุบัน ยังไม่ถึงขั้นที่ใช้สภาวะกดข่มคนได้
‘น่าเสียดายที่ไม่อาจเปิดผนึกส่วนหนึ่งเป็นการเฉพาะได้ ต้องเปิดทั้งหมด’ เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปากด้วยความเสียดาย ‘นี่ถ้าหากมีคนอื่นตามเข้ามา ก็ราบรื่นไร้อุปสรรคแล้ว’
ความได้เปรียบที่ได้มาก่อนย่อมไม่อาจละทิ้งได้ง่ายๆ เยี่ยนจ้าวเกอโอดครวญในใจ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปขีดเขียนใส่อากาศ
ตราอาคมสายแล้วสายเล่าผนึกอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกลายเป็นตัวอักษรที่วิจิตรลี้ลับตอนหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอเรียกเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ประทับลงไปเหมือนกับลงชื่อประทับตราเป็นครั้งสุดท้าย
ต่อมา ตัวหหนังสืออาคมที่พิสดารนั้นก็พุ่งสู่ฟากฟ้า หายไปในความว่างเปล่ากว้างใหญ่ที่มีแสงดาวพร่างพราว
ไม่นานเท่าไร ลำแสงที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็สั่นไหวพร้อมกัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
ความเร็วไหลเวียนของกลุ่มแสงเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้เป็นลำแสงที่ต่อกันเป็นเส้นเดียวอีกต่อไป แต่กลุ่มแสงมากมายเคลื่อนไหวอย่างแช่มช้าตามแบบแผนและเส้นทางโคจรบางอย่าง ชัดเจนแยกแยะได้
จากนั้น ‘สิ่งแปลกปลอม’ ในกลุ่มแสงเหล่านั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นชัดแจ้งตามไปด้วย ราวกับเงาคนหลายสาย เพียงแต่ว่าทิวทัศน์ยังคงพร่าเลือนมาก แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
กระนั้น การเคลื่นไหวของเงาร่างเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าเปลี่ยนเป็นคล่องแคล่วขึ้น เริ่มหาเส้นทางของตัวเอง ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมอีก
‘ยังไม่ชินกับที่นี่นัก ถ้าหากได้ทำความเข้าใจอีกสักหลายวัน สมควรศึกษาที่นี่ได้ล้ำลึกกว่าเดิม ถึงเวลานั้นการติดต่อกับพวกท่านพ่อจากที่นี่โดยตรงก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว แต่เวลาไม่คอยคน’ เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งสังเกตทางหนึ่งครุ่นคิด
ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่ามีคนกำลังรบกวนตนอยู่ ทำให้เขาควบคุมที่นี่ได้ยากกว่าเดิม คงจะเป็นศัตรูที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับเป็นกับดักผู้นั้นแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายร่างวูบหนึ่ง เหมือนกับแยกร่างเปลี่ยนเงา ด้านข้างเพิ่มคนผู้หนึ่งมา เป็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเขา
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเปลี่ยนกลับสู่ร่างคนตั้งแต่แรก หลังจากปรากฏขึ้นก็มอง ‘ดวงดาว’ เบื้องหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอร่างจริงทิ้งร่างแยกไว้ที่นี่ จากนั้นก็ผละจากไป ออกเดินทางอีกครั้ง
แบบแผนการเปลี่ยนแปลงของทิศทาง และเส้นทางแต่ละเส้นทางด้านในตำหนักโอสถ ยามนี้เขาพอทำความเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว
ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปสืบค้นในอาณาเขตเงามืดเหล่านั้น
อีกฝ่ายคล้ายกับมีเรื่องต้องทำ รวมถึงไม่มีเวลาขัดขวางไม่ให้พวกเขาทะลวงเข้ามา นี่ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีประการหนึ่ง
แต่ในทางกลับกัน เรื่องที่อีกฝ่ายยินดีแลกเปลี่ยนเช่นนี้แต่ต้องทำให้สำเร็จ ถ้าปล่อยให้กลายเป็นจริง เช่นนี้พวกเยี่ยนจ้าวเกอเกรงว่าจะลำบากแล้ว
สามารถชิงขัดขวางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้กลางคัน ย่อมประเสริฐที่สุด
เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนไหวอยู่คนเดียวพักหนึ่ง หลังจากข้ามผ่านความว่างเปล่าหลายชั้น ฝีเท้าเขาก็ค่อยๆ ช้าลง
ตามโครงสร้างส่วนในของตำหนักโอสถในความทรงจำของเขา เขาเข้าใกล้อาณาเขตส่วนหนึ่งที่มีเงามืดครอบคลุมอยู่แล้ว
ที่นี่ยังไม่ถึงตำแหน่งสำคัญเหล่านั้น ถือเป็นอาณาเขตรอบนอก อยู่ใกล้กับโกดังโอสถ
หลังจากมาถึงอาณาเขตเงามืดแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจสั่นไหว ‘เป็นพลังสะกดที่แข็งแกร่งยิ่ง…’
ที่แห่งนี้เหมือนกับมีพลังงานไร้รูปร่างกำลังสะกดการโคจรญาณจริงแท้ในร่างของเยี่ยนจ้าวเกออยู่
เยี่ยนจ้าวเกอโคจรวิชา กำจัดผลกระทบนี้ทิ้ง เพิ่มความระวังขึ้นหลายส่วน
หากต้องสู้กับคนอื่นที่นี่ ตนจะสิ้นเปลืองพลังมากกว่าด้านนอก
‘กลิ่นโอสถของที่นี่ก็จางลงแล้ว’ เขาสูดจมูกฟุดฟิด ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของสถานที่แห่งนี้มากกว่าเดิม
ขณะเดินอยู่ในความว่างเปล่าอันมืดมิด สัมผัสถึงพลังไร้รูปร่างนั้น เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้แสดงสีหน้า
พร้อมกับที่คอยระวังการเคลื่อนไหวรอบๆ เขาก็หยุดฝีเท้า เห็นในความว่างเปล่ามีบานประตูบานหนึ่งจึงผลักมันเปิดเข้าไป
ที่นี่เป็นห้องสงบใจที่เอาไว้ใช้หลอมโอสถห้องหนึ่ง
หลังจากเปิดประตู ม่านตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็หดตัวอย่างรวดเร็ว
ในห้องมีเงาคนสายหนึ่ง…เป็นคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง
ปฏิกิริยาแรกของเยี่ยนจ้าวเกอคือยกระดับความระวังของตัวเองขึ้นถึงขีดสุด สะกดทัพรอคอย ตรวจสอบห้องสงบใจจากด้านในไปถึงด้านนอก
หลังยืนยันว่านอกจากตัวเองไม่มีคนมีชีวิตคนที่สองอยู่อีก เขาจึงค่อยก้าวเข้าไป มาถึงด้านข้างคนที่ตายไปแล้วผู้นั้น
นั่นเป็นชายชราหน้าตอบและหล่อเหลา ผมสีขาวใบหน้าเยาว์วัย ไม่มีเค้าความชราคนหนึ่ง เขาหลับสองตา สีหน้าสบายๆ คล้ายกับหลับฝันดี
เยี่ยนจ้าวเกอเคยเห็นเขามาก่อน
ตอนนั้นไม่ทราบถึงสถานะและคำเรียกหาของเขา หลังจากนั้นก็ได้ทราบแล้ว
หร่านฉือ ‘ชราไพศาลวิสุทธิ์’ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้าย ศิษย์พี่ของจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือ ผู้สืบทอดกระแสตรงสายเอกพิสุทธิ์แห่งยอดเขาอัศจรรย์เขาคุนหลุนบนซ้อนโลก อดีตหนึ่งในยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังบนโลกซ้อนโลก
ตอนแรกเป็นเขานำกลุ่มเข้าร่วมการช่วงชิงเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ สุดท้ายถูกกับดัก สาปสูญไปพร้อมกับยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนซึ่งเป็นคนในสำนักอีกสองคน รวมถึงยอดฝีมือซึ่งเป็นผู้สืบทอดกระแสตรงสายเหนือพิสุทธิ์อีกสามคน หลายมีมานี้ไม่ทราบไปอยู่ที่ไหน
วันนี้ดูท่าทางจะจากโลกไปนานแล้ว
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอยืนไว้อาลัยสักพักก็กล่าวเสียงเบา “ล่วงเกินแล้ว”
เขายื่นฝ่ามือออกมาทาบกับเส้นชีพจรที่ข้อมือของหร่านฉือ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มีชีพจรแล้ว แต่เขาก็ยังคงใช้ญาณจริงค้นหาด้านใน
จากนั้นชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังงานที่แปลกประหลาดสายหนึ่ง แฝงเก็บอยู่ในกายของหร่านฉือแทบจะในทันที พลังงานนี้ไม่อันตราย เพียงแต่เป็นเพราะว่าการสัมผัสของเขาจึงกำลังสูญเสียการควบคุม อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายในร่างของหร่านฉือได้
เยี่ยนจ้าวเกอสะกดมันไว้โดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
‘ผ่านไปหลายปีแล้ว สาเหตุที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยไม่ใช่เพราะจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนมีลมปราณแข็งแกร่ง ตรงกันข้าม เป็นเพราะการคงสภาพของพลังงานสายนี้ ในร่างของคนผู้นี้…แหลกเละไปไม่เหลือชิ้นดีแล้ว!’
ไม่ใช่เสื่อมสลาย แต่ว่าทุกๆ ส่วนในร่างกาย เลือดเนื้อ กระดูก เส้นลมปราณ อวัยวภายใน ทวารทั้งหก ไปจนถึงเส้นเลือดที่เล็กที่สุดถึงขั้นที่เล็กกว่าเส้นผมต่างพังทลายไปแล้ว
ชายชราตรงหน้าเหมือนกับรูปปั้นทราย ถ้าไม่ใช่เพราะพลังงานในร่างสายนั้นคงสภาพ เขาเกรงว่าจะกลายเป็นฝุ่นผงไปนานแล้ว
เมื่อครู่เยี่ยนจ้าวเกอเพียงกระทบถูกเบาๆ พลังงานนั้นก็สูญเสียสมดุลแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสะกดได้ทันเวลา ศพของชายชราตรงหน้าคงจะแหลกสลายเป็นแน่
ในพริบตาที่สัมผัสถูก เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้ถึงสำนึกอันเย็นเยียบสายนั้นอีกครั้ง!
………………..