ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1266 เซียนกำเนิดสุญญตา เสียงมหามรรคา
การบำเพ็ญของเผ่าปีศาจใกล้เคียงกับจอมยุทธ์สำนักเต๋าถึงขีดสุด
หลังจากที่ปีศาจกวางซึ่งกลายร่างเป็นชายชรากลับคืนร่างเดิม พวกกษัตริย์อนันต์ต่างสัมผัสได้อย่างรางเลือน
ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าได้หลอมเปลี่ยนปราณเซียนทั้งห้าชนิด ถึงกับอยู่ในระดับจ้าวสวรรค์ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด
ไปอยู่ในเผ่าปีศาจ เรียกว่าอนุเทวะ
สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตึงเครียดก็คือ ไม้เท้าที่ไม่สะดุดตาในมือของกวางตัวนี้
ไม้เท้าหัวมังกร เป็นของวิเศษที่เทพโซ่วซิงแห่งวังเทพพกติดตัวก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่ศาสตราวุธ ไม่ได้ถูกจัดเป็นอาวุธของเซียน ทว่าอานุภาพยังอยู่เหนือกว่าอาวุธเซียนจำนวนมาก
ในตอนที่กวางตัวนี้ลอบลงมายังโลกมนุษย์ ได้ขโมยของวิเศษชิ้นนี้มาด้วย ต่อมาถูกเทพโซ่วซิงพากลับวังเทพ
ปัจจุบันวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ปีศาจกวางขาวรอดชีวิต ไม้เท้าหัวมังกรอันนี้จึงตกมาอยู่ในมือของมันอีกรอบ
กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีถอนใจคำหนึ่ง สายพิณสั่นไหว ปราณกระบี่ไม่ได้โจมตีวิญญาณตำหนักอีก แต่เล็งที่กวางขาว
“ไม่ต้องสนใจเรื่องที่นี่แล้ว หนีไปได้กี่คนก็ต้องไป” จางปู้ซวีส่ายหน้าถอนใจ
ปีศาจกวางขาวมีพลังมากพอที่จะสะกดทุกๆ คนที่อยู่รอบๆ นอกจากวิญญาณตำหนักได้ด้วยพลังของคนเดียว
นอกจากนี้วิญญาณตำหนักยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
ปัจจุบันต่อให้วิญญาณตำหนักไม่ลงมือ ไปดำเนินพิธีกรรมที่จิตใจเฝ้าปรารถนาให้สำเร็จ สถานการณ์ในตอนนี้ก็เลวร้ายถึงขีดสุดสำหรับคนอื่นๆ อยู่ดี
จางปู้ซวีก้าวเท้าออกก้าวหนึ่ง เข้าปะทะกับปีศาจกวางขาวก่อน
กลับไม่ใช่เขายินยอมเสียสละตัวเอง แต่เป็นเพราะในกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ หากปีศาจกวางขาวเลือกเป้าหมาย จะต้องเลือกเซียนลี้ลับเพียงคนเดียวอย่างเขาก่อน
สำหรับปีศาจกวางขาวที่ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดแล้ว ไม่ส่งผลคุกคามโดยสิ้นเชิง
เป็นไปอย่างที่คาด ปีศาจกวางขาวหัวเราะฮ่าๆ ยื่นมือออกมาคว้าใส่จางปู้ซวี
เขากางห้านิ้ว พลังห้าปัญจธาตุโคจร เหมือนกับโลกธรรมชาติใบหนึ่งกดทับใส่จางปู้ซวี
ปราณปีศาจพวยพุ่ง ถึงกับเหมือนความลี้ลับของคัมภีร์พลิกฟ้ากับคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตซึ่งเป็นการสืบทอดกระแสตรงสายหยกพิสุทธิ์เปลี่ยนแปลงสร้างขึ้น
นานมาแล้ว เทพโซ่วซิงแห่งวังเทพเป็นผู้สืบทอดของเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดแห่งสายหยกพิสุทธิ์เช่นกัน
ทักษะวรยุทธ์ของปีศาจกวางขาวตนนี้ส่วนใหญ่มาจากการถ่ายทอดของเทพโซ่วซิง จากนั้นก็ประสานกับวิชาปีศาจของตัวเอง สุดท้ายให้กำเนิดวิถีที่เหมาะกับตัวมันมากที่สุดขึ้น
จางปู้ซวีดวงตากลายเป็นคมกริบ ดีดสายพิณ เสียงพิณกระเพื่อมขึ้นมา กลายเป็นประกายกระบี่สีดำขลับหลายสายตามลำดับ จากนั้นก็ตัดสลับกันกลางอากาศ กอปรกันเป็นตาข่ายกระบี่ที่ทั้งถี่ยิบและคมกริบ ป้องกันฝ่ามือของอีกฝ่าย
จากนั้นแสงสีแดงก็กะพริบขึ้นบนร่างของเขา ปราดหนีไปยังทิศทางหนึ่ง
ปีศาจกวางขาวเหลือบแลยังไม่เหลือบแลตาข่ายกระบี่สีดำ ยังคงคว้าฝ่ามือลง พร้อมกับที่เขาคว้าฝ่ามือลง พลันมีเสียงดังขึ้น
ไม่ใช่ปีศาจกวางขาวพูดขึ้น แต่มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับการลงมือของเขา
เสียงนั้นเหมือนกับเหล่าเซียนขับร้องเพลง ลวดลายอาคมมากมายสว่างขึ้นกลางความว่างเปล่าของจักรวาลด้านในตำหนักโอสถ ก่อนจะเชื่อมต่อกันเป็นแถบแสงหลายสาย
แถบแสงสั่นไหว โลกทั้งใบเกิดเสียงเซียนที่ไพเราะเสนาะหูและลี้ลับไม่ธรรมดา
หลังจากดังขึ้น เสียงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำลง
ไม่ใช่เสียงเบาลง แต่เปลี่ยนเป็นลี้ลับมากขึ้น ทำให้ผู้คนยากจะทำความเข้าใจ สอดคล้องกับสัจธรรมที่ว่าสภาพอันประเสริฐคือไร้ลักษณ์ เสียงอันประเสริฐคือไร้เสียง
เสียงนี้พอดัง นอกจากกษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีที่อยู่ในระดับเซียนลี้ลับแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างยิ่งรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองเหมือนกับกลายเป็นว่างเปล่า ตกอยู่ในสภาพล่องลอยไร้ความรู้สึกโดยสมบูรณ์
ไม่คิด ไม่ตรอง ไม่นึก ไม่จำ
ทุกสิ่งว่างเปล่า เหมือนกับว่าคนได้ถูกเสียงของมหามรรคานี้หลอมเป็นหนึ่งเดียว
เยี่ยนจ้าวเกอมีสภาพไร้ขอบเขตปรากฏในร่าง จิตใจจึงค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงรู้สึกว่าความนึกคิดของตัวเองถูกยับยั้ง
เขาไม่แสดงสีหน้า ไม่ได้เผยให้เห็นความผิดปกติ ลอบสำรวจเงียบๆ เห็นบิดาของตนบนศีรษะมีเมฆแปลงกำเนิดโผล่ขึ้นมา เมฆม้วนแล้วคลายออก เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง
นอกจากเยี่ยนตี๋กับตนที่มีสภาพค่อนข้างดีแล้ว หลงเสวี่ยจี้กับเฮ่อเหมี่ยนล้วนชะงักงัน
จักรพรรดิสัญญะเมฆมีสถานการณ์ค่อนข้างดี แต่กลับเป็นสภาพเดี๋ยวกระจ่างแจ้ง เดี๋ยวมึนงง สลับกันไปมา
“…เสียงมหามรรคา!” เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจออกยาวๆ เฮือกหนึ่ง
เซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่
เซียนลี้ลับสงบนิ่ง
เซียนกำเนิดสุญญตา
สภาพสุญญตา หรือสุญญตา เป็นสภาพของมรรคาวิถี ยิ่งใหญ่สงบเงียบ เป็นรากฐานให้แก่โลก เหนือยิ่งกว่าธรรมชาติ
ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดในทรวงอก จึงจะได้สัมผัสกับความลี้ลับของมหามรรคา
เมื่อฝึกฝนวรยุทธ์ถึงระดับนี้ มรรคายุทธ์จะสามารถละทิ้งคำว่า ‘ยุทธ์’ เรียกว่า มรรคาบำเพ็ญ
เสียงมหามรรคา เป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดในตอนที่ยอดฝีมือระดับเซียนกำเนิดต่อสู้กัน สูงส่งไม่อาจจับต้อง มหัศจรรย์ยากหยั่งคาด
เสียงพอดัง ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับเซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่ ได้ผลักเปิดประตูเซียนก็ถูกสะกดและหลอมเป็นหนึ่ง ตกสู่สภาพไร้การรับรู้ไร้ความรู้สึก
นี่ไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับจอมยุทธ์ ยิ่งทำให้พวกเขาศึกษาหลักการของวรยุทธ์ได้สะดวก เบาแรงขึ้นมากกว่าครึ่ง เป็นสภาพอันลี้ลับที่ต้องการก็ใช่ว่าจะหาได้
ทว่าถ้าหากตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ตอนที่สู้กับคนอื่น เช่นนั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับการปล่อยให้คนเชือดเฉือน
กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีในฐานะเซียนลี้ลับ ยังไม่ถึงกับถูกเสียงมหามรรคาของปีศาจกวางขาวกดข่ม แต่ว่าอีกฝ่ายมีเสียงดังขึ้น เสียงพิณของเขาพลันเบาจนไม่อาจตรวจจับได้
ตาข่ายกระบี่เรืองแสงสีดำถูกปีศาจกวางขาวใช้มือเปล่าจับ แล้วออกแรงฉีกออก เมื่อทำลายตาข่ายกระบี่แสงสีดำเสร็จ ฝ่ามือข้างนั้นก็คว้าลงใส่จางปู้ซวีต่อ
จางปู้ซวีดีดนิ้วสิบนิ้วติดต่อกัน ประกายกระบี่สีแดง ขาว เขียว และดำลอยว่อนทั่วท้องฟ้า
ประกายกระบี่ที่แตกต่างกันเชื่อมประสาน เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ลอยตัดสลับกัน กอปรกันเป็นเพลงพิณที่น่าตื่นตระหนกเพลงหนึ่ง
เสียงพิณดังขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้จะเบาบางกว่าเสียงมหามรรคาในตอนที่ปีศาจกวางขาวโบกมือ แต่ก็ไม่ได้กระจัดกระจาย ล่องลอยอยู่เนิ่นนาน ไม่ถูกอีกฝ่ายกลบ
ปีศาจกวางขาวปรากฏตัวลงมือ ดวงอาทิตย์โชติช่วงดวงนั้นก็เริ่มจมสู่ความว่างเปล่าอันมืดมิดทีละน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ว่ามีสายตาที่เย็นเยียบสายหนึ่งกวาดมองตนเอง ความรุนแรงจากความชิงชังและจิตสังหารที่แฝงอยู่ด้านในทำให้เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่อาจอดกลั้นไม่หยุดพิธีกรรมกลางคัน ต้องการกำจัดเขาก่อนค่อยว่ากล่าว
ทว่าวิญญาณตำหนักนั้นสุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ
ปีศาจกวางขาวตนนั้นมองดวงอาทิตย์โชติช่วงที่กำลังจะหายไป สายตาเป็นประกาย เหมือนกับมีความคิดบางอย่าง
กระนั้นเขามองจางปู้ซวีตรงหน้าอีกครั้ง จิตใจของกวางขาวพลันขุ่นข้องรำคาญ เพราะตนลงมือแต่ไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้ทันที รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้างแล้ว
ขณะกำลังคิดจะทำให้จางปู้ซวีเห็นดี สองหูของปีศาจกวางขาวพลันกระดิกพร้อมกัน
เขาเงยหน้า มองซ้ายมองขวา
คล้ายกลับสัมผัสถึงอะไรได้ กวางขาวหันไปถลึงตามองดวงอาทิตย์โชติช่วงที่กำลังจะลาลับ ตวาดว่า “นั่นเป็นผู้ใด”
“ศัตรู” วิญญาณตำหนักโอสถตอบอย่างเรียบเฉย
ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอสามารถเห็นผ่านร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่อยู่ในแกนนำทาง ว่ามีผู้มาจากด้านนอกทะลวงเข้ามาในตำหนักโอสถ
ผู้ที่เข้ามามีไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน แต่ว่าคนที่นำหน้านั้นรวดเร็วดุจสายฟ้า แค่พริบตาเดียวก็ข้ามผ่านมิติมากมาย เข้ามาในอาณาเขตใจกลางที่เงามืดครอบคลุมแล้ว
มิติเวลาอันสลับซับซ้อนในตำหนักโอสถ ราวกับไม่อยู่ในสายตาของเขา
การเข้ามาของเขาทำให้เงามืดที่ครอบคลุมอาณาเขตใจกลางเช่นหอเซียนม่วงและโกดังโอสถพากันสลายไป
………………..