ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1268 พันธมิตรที่แท้จริง
พอถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมอง เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่าง เหมือนกับอยู่ในสภาพอันตรายสิบตายไร้ทางรอด
“เด็กน้อยที่ชิงเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับของข้า เจ้าอุตส่าห์มาหาเองถึงที่ ประเสริฐจริงๆ”
เสียงที่เย็นชาดังขึ้น เนี่ยจิงเสินที่นั่งขัดสมาธิในตอนแรก เวลานี้ลุกขึ้น
เด็กชายบนศีรษะของเขาเคลื่อนไหวอย่างเดียวกัน
พอเห็นภาพนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ทราบว่าวิญญาณตำหนักเทียนซูที่อยู่ในสภาพนี้สามารถต่อสู้ได้ มิหนำซ้ำยังไม่เหมือนกับพิธีกรรมเมื่อก่อนหน้าที่พลังได้รับการจำกัดอย่างใหญ่หลวง ในตอนนี้ใช้พลังออกมาได้แทบทั้งหมด
ถึงแม้จะไม่เห็นเสียงมหามรรคา แต่ก็เป็นความรู้สึกของพลังอันยิ่งใหญ่ที่ปรากฏขึ้นระหว่างเคลื่อนไหว กลับเหมือนปีศาจกวางขาวที่อยู่ในระดับห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดเมื่อก่อนหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเรียบเฉย “ท่านนับว่าลำบากลำบนแล้ว แต่ตอนนี้ถึงแม้ท่านจะสามารถแสดงพลังแข็งแกร่งต่อสู้กับคนอื่นๆ ได้ กระนั้นหากคิดจะยึดร่างของศิษย์พี่เนี่ยโดยสมบูรณ์จริงๆ ยังคงต้องใช้เวลา ราชันพระอังคารสามารถตามมาได้ตลอดเวลา อืม ถ้าตามคำเรียกที่ท่านคุ้นเคย บางทีอาจบอกว่าเป็นเทพพระอังคารยุคใหม่ ท่านน่าจะเข้าใจกว่า”
ชายหนุ่มแบมือ “ยิ่งไปกว่านั้น กวางขาวตนนั้นก็อาจจะบ่ายหน้ามารับมือท่านพร้อมกันก็ได้”
วิญญาณตำหนักกล่าวอย่างราบเรียบ “เด็กน้อยเจ้าสำนวนนัก ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมา ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้เป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่มองมันอีก หันไปมองอีกทางแทน แตะนิ้วกับริมฝีปากพลางเอ๋ยว่า “จุ๊ๆ ข้าควรจะทราบแต่แรกว่าเป็นท่าน”
เก้าอี้ไม้โบราณขนาดใหญ่โตตัวหนึ่งวางอยู่ในความว่างเปล่าด้านข้างเนี่ยจิงเสินหรือวิญญาณตำหนัก
คนหนุ่มอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ กำลังมองการสนทนาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับวิญญาณตำหนักอย่างสนอกสนใจ
กลับเป็นเฉินเฉียนหัว ประมุขทิศบนที่ไม่ได้เจอมานาน!
“ไม่ ตอนนี้ไม่อาจเรียกท่านว่าประมุขทิศบนได้อีกแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านมีฉายาจักรพรรดิของตัวเองหรือไม่”
ถึงแม้จะไม่ได้ต่อสู้กัน แต่พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเฉินเฉียนหัว เยี่ยนจ้าวเกอก็มองออกว่าคนหนุ่มอาภรณ์ม่วงตรงหน้าได้ก้าวเท้าก้าวสุดท้าย ผลักเปิดประตูเซียน เลื่อนสู่ระดับไร้ช่องโหว่สำเร็จแล้ว!
เวลานี้ไม่ใช่เฉินเฉียนหัวมนุษย์เซียนอีกต่อไป แต่เป็นเฉินเฉียนหัวเซียนจริงแท้
การผลักเปิดประตูเซียนของเขาแตกต่างกับคนทั่วไป เฉินเฉียนหัวที่เดิมทีมีพลังไม่ธรรมดา อยู่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน พอเลื่อนเป็นเซียน อย่างน้อยพลังก็อยู่ในเซียนจริงแท้ห้าอันดับแรกในปัจจุบัน
นี่ยังไม่ได้คำนวณแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด มิหนำซ้ำยังเป็นเวลาที่เขาเพิ่งได้ผลักเปิดประตูเซียน หากให้เวลาสั่งสม จะต้องน่ากลัวกว่าเดิมแน่
ยิ่งไปกว่านั้น บนมือของคนผู้นี้ยังมีบรรทัดจิตนภา อาวุธเซียนสำเร็จรูปอยู่ด้วย
อาวุธเซียนในมือของมนุษย์เซียน กับอาวุธเซียนในมือของเซียนจริงแท้ ความแตกต่างในนี้เป็นที่คาดคิดได้
“ฉายาจักรพรรดิ? นั่นไม่สำคัญ” เฉินเฉียนหัวตอบแบบไม่นำพา “แม้จะเป็นทุกอย่างในตำหนักโอสถแห่งนี้ ข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร”
ดวงตาเขาเป็นทอแววประหลาดใจ มองเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าเพียงแต่สนใจเรื่องที่วิญญาณตำหนักโอสถถึงกับมีสติปัญญา ขณะเดียวกันพวกท่านพ่อลูกกับเนี่ยจิงเสินยังมาถึงที่นี่ ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ”
เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาว “ที่พิธีกรรมเมื่อครู่แปลกๆ เกี่ยวข้องกับท่านอย่างที่ข้าคิดไว้”
เมื่อครู่วิญญาณตำหนักเทียนซูใช้โอสถเซียนและวัตถุวิญญาณเป็นวัตถุดิบ ดำเนินพิธีจุติเพื่อสร้างเปลือกร่างให้แก่ตัวเองที่โกดังโอสถ เยี่ยนจ้าวเกอมองครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดทันที
วิชาที่เปลี่ยนแปลงด้านในค่อนข้างหายาก แต่กลับแยบคายถึงขีดสุด
วิชาเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับระดับพลังฝึกปรือ ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงล้ำก็ใช่ว่าจะทราบ เป็นเพราะมีโอกาสได้สัมผัสน้อย
มีแต่คนที่มีภูมิความรู้กว้างขวาง แตกฉานศาสตร์ในอดีตและปัจจุบันเท่านั้นถึงจะทราบอยู่สักหนึ่งหรือสองท่า
“มันแปลงเป็นร่างคน ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ดังนั้นเลยเกิดความคิดขึ้น” เฉินเฉียนหัวกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้าน
“เหอะๆ…” เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก “ถูกแล้ว มีแต่ท่านเท่านั้นที่ทำเรื่องพรรค์นี้ได้”
เมื่อนับทุกคนที่อยู่ในตำหนักโอสถ ณ ตอนนี้ เกรงว่าจะมีแค่เฉินเฉียนหัวคนเดียวที่สามารถช่วยเหลือวิญญาณตำหนักโอสถด้วยความเต็มใจได้
คนอื่นๆ ต่อให้จะร่วมมือกับวิญญาณตำหนัก ก็ข้องเกี่ยวกันด้วยผลประโยชน์ชั่วคราว ในที่ลับย่อมมีแผนการ มิหนำซ้ำยังรอโอกาสลงมือ
เป็นเพราะว่าเป้าหมายของทุกคนคือสมบัติในตำหนักโอสถ หรือกระทั่งตัวตำหนักโอสถเอง
สำหรับวิญญาณตำหนักเทียนซู ล้วนเป็นศัตรูของมัน
มันต้องการแปลงร่างเป็นคน เพื่อให้หลุดจากพันธนาการของตำหนักโอสถ และเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นไปได้ในการซ่อมแซมความเสียหาย รวมถึงการได้ฝึกฝนไต่เต้า
นี่ไม่ได้หมายความว่ามันยินยอมละทิ้งสิทธิ์การควบคุมและอำนาจทั้งหมดต่อตำหนักโอสถ
ในทางตรงกันข้าม เมื่อมันกลายร่างเป็นมนุษย์ ก็ยังคงรักษาพลังควบคุมต่อตำหนักโอสถได้ ถึงขั้นที่การควบคุมแข็งแกร่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่หอเซียนม่วงอันเป็นแกนหลักก็ควบคุมตำหนักโอสถได้ตามความปรารถนา
เมื่อถึงเวลานั้น คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นใครชนะ สุดท้ายจะต้องหาวิธีจัดการวิญญาณตำหนักเทียนซู
คนที่มีความเป็นไปได้ที่จะยืนอยู่ข้างเทียนซูอย่างแท้จริงมีแค่เฉินเฉียนหัวแล้ว เป็นเพราะสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ตัวตำหนักโอสถหรือว่าของวิเศษที่อยู่ด้านใน
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียนหัวจะเข้ามาในตำหนักโอสถช้ากว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ แต่เป็นเพราะสาเหตุพิเศษบางอย่าง กลับติดต่อกับวิญญาณตำหนักเทียนซูได้เร็วมาก ทั้งสองจึงกลายเป็นพันธมิตรกัน
แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเทียนซูจะเชื่อใจเขา กระนั้นเฉินเฉียนหัวก็ไม่ได้สนใจ
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป เรื่องราวเกิดการพัฒนา การกระทำของเขาได้พิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม
พลังของเขาแม้จะแกร่ง แต่กลับทำให้เทียนซูตำหนักโอสถวางใจ เทียบกับปีศาจกวางขาวแล้ว พวกเขาสองคนจึงเป็นพันธมิตรที่อยู่ฝ่ายเดียวกันอย่างแท้จริง
เวลาไม่กี่ประโยค เงาคนเคลื่อนไหวในความว่างเปล่า เริ่มมีคนอื่นๆ เข้าใกล้ เยี่ยนตี๋ อวี่เยี่ย ทวนพระอังคารต่างมาถึงติดต่อกัน
หลังจากทุกคนอยู่ในอาณาเขตใกล้ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็มีวิธีลอบติดต่อพวกเขา
วิญญาณตำหนักเทียนซูมองทุกอย่างนี้อย่างเรียบเฉย ขอแค่ไม่ใช่สั่วหมิงจางหรือปีศาจกวางขาว นอกนั้นมันล้วนไม่ใส่ใจ
มันในตอนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนถูกพวกจางปู้ซวี จักรพรรดิสัญญะเมฆ และหลงเสวี่ยจี้กลุ้มรุม
“ฮ่า ตอนนี้ข้าอยากจะลองดูว่าจะทะลวงเมฆแปลงกำเนิดของท่านได้หรือไม่” เฉินเฉียนหัวมองเยี่ยนตี๋ สายตาเป็นประกาย
พวกเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินแล้วต่างก็กระจ่างแจ้ง ‘ก่อนที่เขาจะผลักเปิดประตูเซียน ได้รับคัมภีร์เบิกนภามาแล้วจริงๆ!’
เฉินเฉียนหัวที่มีพลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว หลังจากได้คัมภีร์เบิกนภา ในคัมภีร์นภาแรกเริ่มสิบม้วน นอกจากคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต สามคัมภีร์ก่อนกำเนิดและหกคัมภีร์หลังกำเนิดล้วนรวบรวมครบ ต่อให้ไม่ผลักเปิดประตูเซียน พลังก็เพิ่มขึ้นอยู่ดี
การผลักเปิดประตูเซียนสำเร็จร่างไร้ช่องโหว่บนพื้นฐานนี้ยิ่งทำให้คนตื่นตระหนก
เยี่ยนตี๋สีหน้าสงบนิ่ง ไร้ความเกรงกลัว แต่ว่าพอเขามองไปยังเนี่ยจิงเสินที่บัดเดี๋ยวสีหน้ากระจ่างบัดเดี๋ยวมืดคล้ำ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“ไม่เคยได้พบคุณชายฟ้าเฉินเฉียนหัวมาก่อน วันนี้ได้มีวาสนาเจอกัน ถ้าหากพลาดไป กลับไม่ทราบว่าโอกาสต่อสู้กันในครั้งหน้าต้องรอถึงเวลาไหน”
เวลานี้กลับมีคนหนุ่มอาภรณ์ขาวสวมมงกุฎหยกรุดมาจากความว่างเปล่าแต่ไกล
“หลงเสวี่ยจี้…” เฉินเฉียนหัวกะพริบตา “ท่านแข็งแกร่งจริงๆ แต่ต่อสู้กับท่าน ไม่มีความบันเทิงแม้แต่น้อย”
หลงเสวี่ยจี้กล่าวอย่างเฉื่อยชา “นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน”
ขณะที่พูดก็ยกกระบี่ขึ้นทิ่มแทงใส่เฉินเฉียนหัว
………………..