ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1269 พลิกกระดาน!
หลงเสวี่ยจี้แทงกระบี่ออก ปราณกระบี่สีขาวโพลนพลันทะลักเข้าหาเฉินเฉียนหัวเหมือนกับธารฟ้าพลิกตัว
“เกะกะ” เฉินเฉียนหัวกลอกตา เหาะร่างขึ้น หลบพ้นปราณกระบี่สีขาว เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าหลงเสวี่ยจี้จะออกกระบี่แบบนี้
หลงเสวี่ยจี้สายตาเหมือนหิมะน้ำแข็ง ความคิดทำงาน ในกระแสปราณกระบี่สีขาวพลันมีประกายกระบี่สีเขียวหลายสายพุ่งออกมา เหมือนกับมังกรเขียวหลายตัวบินขึ้นจากน้ำ
“กระบี่ลงทัณฑ์เซียน…กระบี่ลงทัณฑ์เซียนระดับนี้กลับไม่ได้น่าเบื่อแล้ว” เฉินเฉียนหัวตาเป็นประกายเล็กน้อย ไม่ได้หลบหลีก แต่ตั้งฝ่ามือขึ้นประดุจดาบแล้วฟันลงด้านล่าง!
ขอบฝ่ามือของเขามีปราณเซียนหลายสายวนเวียน เดี๋ยวสูญหายเดี๋ยวปรากฎ กลายเป็นวัตถุคล้ายขวานไม่คล้ายขวาน คล้ายธงไม่คล้ายธง
สภาวะอันน่ากลัวของการเบิกฟ้าผ่าดินปรากฏ ปะทะกับประกายกระบี่ทำลายฟ้าดินของหลงเสวี่ยจี้
เหนือพิสุทธิ์กับหยกพิสุทธิ์สู้กันมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งยุคสมัย เป็นการต่อสู้ชั่วนิรันดร์
กระบี่ผนึกเซียนต่อสู้กับคัมภีร์เบิกนภาอีกครั้ง!
สองร้อยปีก่อนมีเทพกระบี่น้อย หนึ่งร้อยปีก่อนมีคุณชายฟ้า
ในตอนที่เฉินเฉียนหัวผงาดขึ้น หลงเสวี่ยจี้หายไปจากโลกซ้อนโลก คนสองคนที่ได้รับการขนานเคียงคู่กัน แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้เจอกัน
วันนี้ในที่สุดก็ได้สู้กัน เป็นเซียนจริงแท้ไร้ช่องโหว่ที่ได้ผลักประตูเซียนเหมือนกัน พลันเกิดสงครามใหญ่ขึ้นทันที
เห็นหลงเสวี่ยจี้รับมือเฉินเฉียนหัว เยี่ยนตี๋ก็ละสายตา มองวิญญาณตำหนักโอสถอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนั้น สภาพของเนี่ยจิงเสินเปลี่ยนเป็นอันตรายร้ายแรงแล้ว
ดวงตาของเขาเย็นชาเคร่งขรึม เหมือนกับเด็กชายที่กำลังพังทลายบนศีรษะไม่ผิดเพี้ยน ไม่เห็นคนอื่นๆ ในสายตา เพียงจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ
“ทุกสิ่งในตำหนักโอสถนี้เป็นของข้า” วิญญาณตำหนักเทียนซูกล่าวอย่างราบเรียบ “จะต้องเอาเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับของข้ากลับมาก่อน”
ว่าแล้วไม่เห็นมันลงมือ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่าอากาศรอบๆ แข็งตัว บีบอัดตัวเองไว้ตรงกลางจนแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับสั่นไหว ถึงกับกำลังสลัดหลุดจากการควบคุมของเยี่ยนจ้าวเกอ เข้าหาวิญญาณตำหนักดวงนั้น
“เด็กน้อยขวัญกล้าบังอาจ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า อะไรคือทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่าน” วิญญาณตำหนักเอ่ยอย่างเย็นชา
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าแรงกดดันรอบๆ ยิ่งมายิ่งมาก กำลังจะบดร่างเขาเป็นผุยผง
นั่นไม่ใช่ถูกบดขยี้เป็นเนื้อบดธรรมดา ทว่าเป็นกายเนื้อและกระดูกทุกส่วนบนร่าง ต่างพังทลายจากด้านในไปสู่ด้านนอก กลายเป็นไร้รูปร่าง เหมือนฝุ่นกระจายควันดับสิ้น
“โชคดีที่ท่านเป็นแค่วิญญาณตำหนัก ไม่ใช่วิญญาณตำหนักที่ยึดครองร่างกลายเป็นคนโดยสมบูรณ์” เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่คนธรรมดายากทานทน ถึงแม้จะนิ่วหน้า แต่สายตาที่สุดแล้วยังคงเคร่งขรึมไม่สูญเสียความเยือกเย็น “โชคดีที่ท่านไม่ใช่กวางขาวตัวนั้น”
ในวินาทีนี้ บนร่างของเยี่ยนจ้าวเกอพลันมีประกายแสงสว่างขึ้น ตราอาคมอันหนึ่งลอยอย่างเงียบเชียบบนศีรษะของเขา จากนั้นก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว กลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา ครอบคลุมทั้งสี่ทิศ
วิญญาณตำหนักตกใจ จากนั้นก็พบว่าค่ายกลนั้นไม่อาจต้านทานพลังของตัวเองได้ จึงแค่นหัวเราะ “เด็กน้อยโง่เขลา…”
เพียงแต่ไม่รอมันพูดจบ ก็เห็นพวกเยี่ยนตี๋ ทวนพระอังคาร และอวี่เยี่ยต่างมีตราอาคมลอยขึ้น หนำซ้ำยังกลายเป็นค่ายกล
เหล่านี้ยังไม่อาจทำให้วิญญาณตำหนักสนใจได้จริงๆ
ทว่าในขณะเดียวกัน บนศีรษะของมัน หรือควรบอกว่าศีรษะของเนี่ยจิงเสิน ถึงกับเกิดตราอาคม จากนั้นก็ขยายเป็นค่ายกล
“…เป็นไปได้อย่างไร?!” วิญญาณตำหนักเทียนซูตื่นตระหนกแล้ว
มันยึดครองร่างของเนี่ยจิงเสิน แม้จะยังไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์ ทว่าบนร่างของเนี่ยจิงเสินถ้าหากว่าซ่อนพิธีกรรมอะไรไว้ ตามเหตุผลมันไม่น่าจะสัมผัสไม่ได้ถึงจะถูก
ทว่าความลี้ลับในเคล็ดวิชาของเยี่ยนจ้าวเกอ ตอนนี้จู่ๆ ก็สร้างความลำบาก พลันเล่นงานจนเทียนซูรับมือไม่ทัน
กระนั้นหลังจากความประหลาดใจชั่วคราว วิญญาณตำหนักเทียนซูก็สงบจิตใจลงอีกครั้ง เป็นเพราะเทียบกับพลังของมันแล้ว ค่ายกลนี้ดูอ่อนแอยิ่ง
แม้จะเป็นเช่นนั้น วิญญาณตำหนักเทียนซูก็ไม่ต้องการให้ตนยังคงอยู่ในค่ายกล ผู้ใดทราบว่าอีกฝ่ายจะมีกลอุบายใดอีก
กระนั้นในตอนที่วิญญาณตำหนักเทียนซูเตรียมทำลายค่ายกล ค่ายกลทั้งห้าก็เชื่อมประสานกันในชั่วพริบตา
ในค่ายกลห้าค่ายต่างมีของวิเศษอยู่ค่ายละชิ้่น แยกกันเป็นกงจักรมหาประกายกาฬ ตราประทับตะวัน กระบี่ปีศาจเทาเที่ย กระบี่ประกายฟ้าเมฆาเคลื่อน และตรากระบี่กาลเวลา
วินาทีนี้ของทั้งห้าอย่างถูกเก็บกลับมาอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ เป็นเขา เยี่ยนตี๋ อวี่เยี่ย และทวนพระอังคารแยกกันยึดครองตรงกลางของค่ายกลสี่ค่าย
ร่างกายของเนี่ยจิงเสินถูกค่ายกลที่ห้าครอบคลุม
ห้าค่ายกลรวมเป็นหนึ่ง ประกายแสงหลายสายพุ่งทะลวงฟ้าดิน แผ่ขยายออกไปสี่ทิศแปดทาง เหยียดยื่นไปยังทั่วทุกมุมของจักรวาลในตำหนักอย่างรวดเร็ว
เวลานี้วิญญาณตำหนักเทียนซูค้นพบด้วยความตกใจ ว่ามันไม่อาจควบคุมร่างตัวเองได้ดั่งใจ!
ไม่เพียงแต่มันไม่อาจควบคุมร่างกายของเนี่ยจิงเสินได้ต่อเท่านั้น ทว่าแม้แต่ตำหนักโอสถทั้งตำหนัก เวลานี้เหมือนกับล้วนหลุดออกจากการควบคุมของวิญญาณตำหนักอย่างมัน!
ค่ายกลห้าค่ายเชื่อมต่อ เยี่ยนจ้าวเกออยู่ตรงกลางสุด เขาคุกเข่าลงครึ่งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงมุทราสองมือ จากนั้นก็แตะมือซ้ายกับกลางหน้าผากของตัวเอง แล้วแตะมือขวากับลวดลายค่ายกลของค่ายกลตรงหน้า
ค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างของเนี่ยจิงเสินก็สั่นไหวอย่างรุนแรงเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น แสงเย็นเยียบในดวงตาสองข้างของเขาก็หายไป กลับคืนสู่สภาวะปกติ
ถึงแม้ว่าจะยังคงแน่วแน่เย็นชา แต่กลับไม่ได้เหมือนไม่มีความรู้สึกนึกคิดเช่นก่อนหน้า
เนี่ยจิงเสินระบายลมหายใจออกยาวๆ เฮือกหนึ่ง มองเยี่ยนจ้าวเกอแล้วพยักหน้า เป็นการบอกว่าตนไม่เป็นอะไร
พวกเยี่ยนจ้าวเกอผ่อนลมหายใจ
เนี่ยจิงเสินเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กชายบนศีรษะส่งเสียงคำราม ลำแสงสีทองม่วงไหลเวียน ถูกจำกัดไว้ที่บริเวณหนึ่ง
จากนั้นเด็กชายที่เรืองแสงสีม่วงก็ไม่อาจควบคุมร่าง เคลื่อนที่ไปอยู่กลางค่ายกล
นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เยี่ยนตี๋ เนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย แล้วทวนพระอังคารต่างแยกกันอยู่ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกของค่ายกล ประสานเคล็ดวิชา นั่งอยู่ตรงกลาง ร่วมมือกับเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ใจกลางค่ายกล
ห้าคนรวมพลัง ค่ายกลโคจร ทำลายแสงสีม่วงบนร่างของเด็กชายผู้นั้นไม่หยุด
วิญญาณตำหนักเทียนซูคำรามคิดต่อกัน กลับรู้สึกว่าร่างของตนเหมือนตกอยู่ในสภาพชาด้าน มีแต่พลัง แต่กลับไม่อาจปรับมาใช้งาน
ราวกับงูถูกจับจุดอ่อน
“ตอนยึดครองร่างของศิษย์พี่เนี่ย ไม่อาจดูความทรงจำของเขาได้” เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างสงบนิ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราห้าคนพอมาถึง ท่านก็ไร้โอกาสแล้ว”
ในตอนที่ไปตามหาคนที่ห้าสำหรับวางค่ายกลที่มรกตท่องฟ้า หลงเสวี่ยจี้ก็ทราบ
ดังนั้นหลังจากเขามาถึง จึงไม่ได้จับจ้องวิญญาณตำหนักโอสถ แต่รับมือกับเฉินเฉียนหัวแทนเยี่ยนตี๋
ถึงจะกระทบกับการช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างโลกซ้อนโลกกับมรกตท่องฟ้า แต่นั่นเป็นปัญหาที่ต้องรอหลังจากสำเร็จภารกิจจึงค่อยพิจารณา
ก่อนหน้านี้จำเป็นต้องควบคุมวิญญาณตำหนักเทียนซูให้ได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนที่อยู่รอบๆ จะไม่มีใครรอดไปได้สักคนเดียว
ตอนนี้เฉินเฉียนหัวมองดูค่ายกลที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอห้าคนกางขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขากลับไม่ได้สิ้นหวัง เพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจ
“ได้เห็นเรื่องสนุกๆ เช่นนี้ ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว” เฉินเฉียนหัวจุ๊ปากชมเชย
ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเวลาสนใจเขา เพียงกระตุ้นค่ายกลให้รีดพลังวิญญาณตำหนักเทียนซู ช่วงชิงสิทธิ์การควบคุมตำหนักโอสถโดยสมบูรณ์
เปลือกร่างของเด็กชายนั่นในที่สุดก็แหลกสลาย กลายเป็นลำแสงหลายสายที่เสถียร ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่หยุดเหมือนเดิมอีก
ควันเมฆกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นกลางลำแสงมากมาย เหมือนกับควันยาทั่วไปที่เกิดจากการหลอมโอสถ ทว่าควันยานั้นจึงเป็นจุดสำคัญที่ควบคุมตำหนักโอสถนี้
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น สีหน้าฉายแววยินดี แต่ไม่ทันไรจิตใจเขาก็สั่นไหว หันไปมองอีกด้านหนึ่ง
จู่ๆ ก็มีเสียงพิณดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
จางปู้ซวี กษัตริย์อนันต์!
………………..