ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1288 คนรู้จักกลับทิศเหนือ
“สภาวะดาบของเจ้าปรากฏสภาวะแรกเริ่มแล้ว การตั้งมั่นกับการรุกไม่ถอยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง บางทีวรยุทธ์มากมายต่างให้ความสำคัญกับการรุกถอยตามใจชอบ รวมด้านบวกด้านลบ สลับระหว่างความอ่อนโยนกับความดุร้ายได้ดั่งใจ ทว่านั่นกลับเป็นเส้นทางเลวร้ายสำหรับตัวเจ้า”
“สภาวะฟ้าดินเดิมทีก็มีแต่ต้องไปข้างหน้า คนในสภาพจนตรอกที่ต้องทวนกระแส สมควรเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า ไม่ใช่ตัวเจ้าเอง”
“สำหรับตัวเจ้าแล้ว ปัญหาในปัจจุบันคือ ตั้งโครงสร้างใหญ่ได้แล้ว แต่ว่ายังโล่งโจ้งเกินไป ต้องปรับให้สมบูรณ์”
ไม่ใช่ต้องแก้ไขการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อน แต่เปลี่ยนจากปลอมเป็นจริง ทำให้จิตพลังที่ว่างเปล่าผสานกับธรรมชาติที่แท้จริง ตั้งแต่นี้จึงจะกลายเป็นความจริงได้
“จุดที่ยากหากมีความสำคัญ เจ้ารู้สึกได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอีก” สั่วหมิงจางมองเยี่ยนตี๋ สายตาทอแววชมเชย
เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างสงบ “สภาวะไปด้านหน้า ในการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก็มีการแบ่งแยกเก่าใหม่ ลบของเก่าต้อนรับของใหม่ ทำลายสิ่งเก่าสร้างสิ่งใหม่ เป็นสภาวะของฟ้าดินนี้เช่นกัน”
เขาตั้งห้านิ้วประดุจดาบ ฟันออกไปด้านหน้าเบาๆ อย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่เคยเจอการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยที่แท้จริง แต่นั่นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่แนวคิดที่แค่เอาไว้แบ่งแยกยุคสมัยในม้วนตำราประวัติศาสตร์”
“มิผิด แนวคิดถูกต้อง” สั่วหมิงจางพยักหน้า กล่าวขึ้น “เยี่ยนซิงถางและตี๋ชิงเหลียนมีคนรับช่วงต่อ วรยุทธ์ที่พวกท่านสร้างขึ้นร่วมกันนี้ หากพัฒนาต่อไป จะกลายเป็นวิชาที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ที่หว่างคิ้วของเขาฉายความยินดีอย่างหาได้ยาก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เห็นวรยุทธ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น ช่างมีความสุขจริงๆ สามารถคลายคามขุ่นข้องในใจได้”
เยี่ยนตี๋ว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไป เส้นทางยาวไกล เต็มไปด้วยขวากหนาม ต้องพยายามเสาะแสวงหาสุดกำลัง แต่ไม่มีทางเกรงกลัวในการก้าวไปด้านหน้า”
สั่วหมิงจางพยักหน้า จากนั้นหันมามองเยี่ยนจ้าวเกอ “เจ้าเดินบนเส้นทางฝึกสามพิสุทธิ์ร่วมกัน?”
“ผู้อาวุโสฉู่สายตากระจ่างดั่งคบเพลิง” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มไม่ได้ปฏิเสธ
สั่วหมิงจางยิ้มขึ้นเช่นกัน “กล้าหาญนัก”
เขาพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกอสักพัก ก่อนจะเอ่ยว่า “หากมีคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตหรือว่าคัมภีร์โกลาหลสูญ เส้นทางของเจ้าจะเดินสะดวกเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อย ความลำบากในนี้ยังยากกว่าปีนป่ายสวรรค์เสียอีก”
“นี่เป็นคนคนหนึ่งทดลองเดินบนเส้นทางเก่าสามเส้นพร้อมกัน กลับเป็นเส้นทางใหม่เอี่ยมสายหนึ่ง”
เยี่ยนจ้าวเกอพอฟัง จิตใจสั่นไหวเล็กน้อย แต่สีหน้ามั่นคง “ข้าจะหมั่นโบยตีตัวเอง”
“คาดหวังจะได้เห็นสภาวะไปด้านหน้าไม่หยุดยั้งของเจ้าในอนาคต ได้เห็นภาพโลกมีมหามรรคามากมายกว่าเดิม” สั่วหมิงจางไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เดินไปยังด้านนอกตำหนักโอสถ “ข้าฝากต้นผมขาวไว้ในตำหนักนี้ชั่วคราว ขอให้พวกเจ้าช่วยดูแลแทนด้วย”
พวกเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋กับเสวี่ยจี้ชิงสบตากัน เสวี่ยชูชิงตอบ “บรรพจารย์ได้ละสังขานที่นี่ ศิษย์จะพยายามสุดความสามารถ”
“เช่นนี้ก็ประเสริฐ” สั่วหมิงจางออกจากตำหนักโอสถ ยืนอยู่กลางมิติจักรวาล
เขาหันกลับไปมองดูตำหนักโอสถที่ล่องลอยกลาวความว่างเปล่า บัดเดี๋ยวสูญหาญบัดเดี๋ยวปรากฎ มองอาณาเขตฟ้าดินของโลกซ้อนโลกที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาซึมเซาแต่ก็สงบนิ่ง
บุรุษผมสั้นร่างสูงใหญ่นั่งขัดสมาธิกลางจักรวาล สงบใจรอคอย
รอคอยมรสุมมาถึงในตอนท้าย
ในตำหนักโอสถ เยี่ยนตี๋มองเยี่ยนจ้าวเกอ “ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะเข้าฌานปิดตาย”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “เรื่องด้านนอกข้าจะดูแลเอง การเตรียมการณ์ทางโลกซ้อนโลกจำเป็นต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย”
“ถ้าหากมีคนจากเส้นทางนอกรีต ต่อให้ราชันพระอังคารล่ออีกฝ่ายไปได้ ตัวเขาก็เท่ากับถูกอีกฝ่ายตรึงไว้ ต่อจากนี้เกรงว่าจะต้านทานราชันพระเสาร์ไม่ได้”
กษัตริย์ดาราพูดอย่างราบเรียบ “ถ้าไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย พี่ร่วมเส้นทางเจี่ยงจะกลับโลกซ้อนโลกก่อนคนในเส้นทางนอกรีตโดยเร็วที่สุด”
เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ “ข้ากลับหวังให้ราชันพระเสาร์มาช้ากว่า ไม่อย่างนั้น ก็ต้องกังวลความเคลื่อนไหวของใต้เท้าโกวเฉินแล้ว”
ทุกคนพอฟัง ต่างนิ่งเงียบ
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างใคร่ครวญ “สถานการณ์ในตอนนี้วุ่ยวายยิ่ง คนที่ต้องการยุ่งเกี่ยวเกรงว่าจะมีมาก”
“ก่อนหน้านี้มิกล้าพูดว่าเดาถูก แต่ว่าดูจากค่ายกลเส้นรุ้งจตุรัสที่ท่านแม่วางไปพอประมาณแล้ว…อืม ค่ายกลเส้นรุ้งจัตุรัสที่ผ่านการชี้แนะของเกาหานราชันพระอาทิตย์ ข้ายืนยันได้ว่า การคาดเดาก่อนหน้าไม่ผิดพลาดแน่นอน” เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับของตัวเองเบาๆ
“แน่นอนว่า เดาถูกส่วนเดาถูก ถึงเวลาใครจะควบคุมสถานการณ์ได้ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดบอกได้”
เยี่ยนตี๋พอฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย “หากภาพรวมไม่ผิดพลาดก็ประเสริฐ แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า โลกนี้มีเรื่องที่มั่นใจเก้าในสิบส่วนอยู่ไม่กี่เรื่อง”
“ถูกต้อง” เยี่ยนจ้าวเกอหยีตาเล็กน้อย
ชายหนุ่มบอกลาเยี่ยนตี๋กับเสวี่ยชูชิงที่จะรั้งอยู่ในตำหนักโอสถ กลับโลกซ้อนโลกพร้อมกับราชันพระศุกร์
…
โลกซ้อนโลกในขณะเดียวกัน
เขตเสวียนเทียนทิศเหนือ ดินแดนทางเหนือสุด
กลางความว่างเปล่ามีทางเชื่อมเขตแดนเชื่อมต่อกับชายฝั่งนพยมโลกที่อยู่นอกเขตเกิดการกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง
หลายปีมานี้ ประมุขอุดรพักอยู่ด้านในไม่ได้ออกไปไหน
เขารักษาความเงียบงัน ไม่ถามไถ่ ไม่เข้าร่วมในเรื่องข้อพิพาทระหวางเขากว่างเฉิง เขานครหยก ยอดเขาเมฆมรกต กับผากิเลนและหุบเขาเซียนเร้นกาย
อารามคงมายาแห่งเขาหอเมฆาอันเป็นสำนักของประมุขอุดรก็มีป้ายคำสั่งของตึกความลับฟ้าเช่นกัน
สำหรับเรื่องราวการติดต่อของคนในสำนักกับตึกความลับฟ้าแล้ว ท่าทีของประมุขอุดรเหมือนการอนุญาตอย่างเงียบๆ แต่ตัวเขาไม่เข้าไปยุ่งโดยตรง
ในเวลาส่วนใหญ่แล้ว ประมุขอุดรถึงขั้นไม่พักอยู่ในอารามคงมายา แต่ออกเดินทางมายังดินแดนทางเหนือสุด คอยเฝ้าจับตาทิศทางของเขตแดนมิติที่อยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงและการกัดกร่อนของชายฝั่งยมโลก
เยี่ยนจ้าวเกอกับจักรพรรดิไร้จำกัดตอนแรกขอให้เขาช่วยคอยสังเกตข่าวของเฟิงอวิ๋นเซิง เขาตอบรับไว้ แต่ว่านอกจากเรื่องนี้ก็มีการติดต่อกันน้อยนิด
ชายชรายืนอยู่กลางพายุหิมะ สายตาทอดไปยังฟากฟ้าไกล เห็นเส้นสีดำหลายสายปรากฏขึ้นเลือนราง
เขาจิตใจสั่นไหว รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ดวงตากลายเป็นคมกริบ
‘ความรู้สึกนี้…ไม่เหมือนจอมมาร กลับเหมือนมนุษย์?’ หลังจากประมุขอุดรใคร่ครวญสักพัก ก็หยิบยันต์หยกชิ้นหนึ่งมาบี้จนแหลก
จากนั้น แสงอัสดงหลายสายก็แผ่พุ่งออกมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ครอบคลุมที่ราบน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนทางเหนือสุดไว้
แสงอัสดงสาดส่อง ร่องแยกมิติล้วนกำลังจะหยุดนิ่งอย่างเลือนราง
นี่ไม่ใช่แค่พลังฝึกปรือของประมุขอุดร เป็นผนึกเขตแดนของโลกซ้อนโลกเริ่มทำงาน
ผนึกในบริเวณเขตเสวียนเทียนทิศเหนือสัมผัสมารในนพยมโลกได้ไวเป็นพิเศษ เฝ้าระวังชายฝั่งยมโลกซึ่งอาจมีอาจจะเชื่อมกับที่นี่โดยเฉพาะ
ครู่ต่อมา ความรู้สึกมีคนเข้าใกล้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ทว่าประมุขอุดรก็รู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเช่นกัน
‘นี่เป็น…นางกลับมาเองแล้ว?’ ชายชราพิศวงอยู่บ้าง คิ้วขมวดมุ่น ‘กลับมีความเป็นไปได้ กลายเป็น…ราชันพระราหูแล้วหรือ?’
ไม่ทันไร สำนึกอันแข็งแกร่งสายหนึ่งก็ส่งมา “เฟิงอวิ๋นเซิงศิษย์กว่างเฉิงคำนับประมุขอุดร”
ประมุขอุดรเงียบงันเล็กน้อย ค่อยกล่าว “เป็นสหายน้อยเฟิง หรือว่าราชันพระราหู?”
“ตอนนี้ยังเป็นผู้เยาว์” อีกฝ่ายตอบตามสัตย์จริง “แต่อย่างน้อยในวันหนึ่งจะมีสามช่วงเวลาที่ราชัพระราหูเป็นคนนำ”
ประมุขอุดรว่า “อีกเดี๋ยวใต้เท้ากษัตริย์กระบี่จะมาถึง ถ้าเจ้าไม่ถือสา ขอให้รอสักครู่หนึ่งได้หรือไม่? ข้าจะได้แจ้งต่อคนในสำนักเจ้า ถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย จะต้องยินดีมากแน่”
เขากลับไม่กริ่งเกรงเจี่ยนซุ่นหวาราชันพระราหู แต่เพื่อป้องกันจอมมารจำแลง ฉวยโอกาสบุกจู่โจม
………………..