ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1302 น่าเสียดายท่านไม่ทราบว่าข้าคือใคร
พอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกซ้อนโลกในตอนนี้ สีหน้าของราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง
“คนรุ่นหลังน่ากลัวนัก!” ชายชราถอนใจเฮือกหนึ่ง “ยังคิดถึงชีวิตอื่นๆ ไม่นับว่าเสียสติ จุดยืนต่างกันไม่ผิดจริงๆ แต่ข้ากลับไม่อาจนั่งเฉยดูพวกเจ้าออกจากโลกซ้อนโลก”
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ร่างเหมือนกับเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่ขึ้นหลายส่วนในชั่วพริบตา จากนั้นในมือก็เพิ่มค้อนขนาดยักษ์เพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง!
ค้อนยักษ์แปดเหลี่ยมสีดำสนิทที่ผิวส่องแสงสีเหลืองระยิบระยับ หนาหนักถึงขีดสุด
กลับเป็นอาวุธเซียนสงบนิ่งที่เคยสร้างชื่อบนโลกซ้อนโลกของราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่น ค้อนแปดเหลี่ยมดินโบ่ว มันได้รับการขนานนามเทียบเท่าสะบั้นคลื่นเย็นเยือกของกษัตริย์ดารา และพัดบดบังฟ้าของกษัตริย์เร้นลับ
หลังจากเจี่ยงเซิ่นกลายเป็นเซียนกำเนิดก็ไม่ได้ใช้มันอีก แต่ตอนนี้สามารถนำมันออกมาใช้แล้ว
วรยุทธ์ของผากิเลนมาจากตัวเจี่ยงเซิ่นเอง ที่แล้วมาให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าโจมตี
ตัวเจี่ยงเซิ่นเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด ในตอนที่ละทิ้งรูปภูผาธาราโบ่วกี้หลังจากเลื่อนสู่ระดับเซียนลี้ลับ สร้างอาวุธเซียนระดับสงบนิ่งให้แก่ตัวเอง ก็ตั้งใจสร้างอาวุธโจมตีที่รุนแรงสุดเปรียบปานชิ้นนี้ขึ้นมา
อาวุธที่แท้จริง เต็มไปด้วยพลังทลายล้างและคุณสมบัติโจมตี!
ตอนนี้เจี่ยงเซิ่นมีค้อนอยู่ในมือ หลังจากที่ยกค้อนแปดเหลี่ยมดินโบ่วขึ้น สภาวะของเขาก็เปลี่ยนแปลงตาม
ผู้อาวุโสที่ก่อนหน้ามีกลิ่นอายของม้วนตำราเข้มข้น ยามนี้กลายเป็นแม่ทัพกรำศึกที่สยบใต้หล้า องอาจเหี้ยมหาญบนสมรภูมิ!
กษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้ยเป่ยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
เขาไม่มีอาวุธเซียนระดับสงบนิ่งอยู่ในมือ ศัตรูตรงหน้าไม่เหมือนกับกษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีแห่งสายเหนือพิสุทธิ์ในตอนนั้น
จางปู้ซวีมีอาวุธเซียนระดับสงบนิ่งเช่นกัน แต่เป็นเพราะได้รับความเสียหายจากเรื่องอื่น จำเป็นต้องซ่อมแซมฟื้นฟู ดังนั้นตอนไปยังตำหนักโอสถจึงไม่ได้นำไปด้วย
ราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นตอนนี้ยกค้อนแปดเหลี่ยมดินโบ่วขึ้น แล้วฟาดใส่เยว่เจิ้นเป่ย!
อาวุธเซียนที่รุนแรงแข็งกร้าว เชื่อมต่อกับวิชาหมัดโบ่วกี้ทำลายฟ้าของเจี่ยงเซิ่นโดยสมบูรณ์ ส่งเสริมกันและกัน ให้กำเนิดประสิทธิผลหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง คลุ้มคลั่งน่าตระหนกกว่าเดิม!
ค้อนพอฟาดลง ถึงกับใกล้เคียงกับการลงมือในตอนที่เขายังเป็นเซียนกำเนิดเมื่อครู่
เยว่เจิ้ยเป่ยฟันประกายกระบี่ที่เล็กละเอียดออกไป ใช้เล็กต้านใหญ่ เคลื่อนไหวอยู่ใต้ค้อนของเจี่ยงเซิ่น
ถึงศัตรูจะตรงหน้าแข็งแกร่ง แต่เยว่เจิ้ยเป่ยขณะที่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมก็ยังคงไร้ความเกรงกลัว ตั้งสมาธิกับมรรคายุทธ์วิชากระบี่ รับทุกการโจมตีของศัตรูอย่างเยือกเย็น ใช้วิธีต่อสู้แบบกองโจร ต้านการจู่โจมอันคลุ้มคลั่งรุนแรงของเจี่ยงเซิ่น
สู้แบบกองโจรเหมือนกัน วิธีการกลับแตกต่าง
เยว่เจิ้ยเป่ยไม่ได้หลบหลีกเพียงอย่างเดียว พร้อมกับที่เคลื่อนท่าร่างอยู่นั้น เขาก็ส่งกระบี่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ใช้โจมตีปะทะโจมตี
เหมือนกับพายุฝนกัดเซาะภูผาแกร่งทั้งกลางวันกลางคืน เร่งให้มันเสื่อมสลาย
ถึงจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เยว่เจิ้ยเป่ยยังคงยึดติดกับกลยุทธิ์ ไม่แสดงท่าทีพ่ายแพ้
ในดวงตาที่มองไปยังเยว่เจิ้ยเป่ยของเจี่ยงเซิ่นแฝงความเสียดาย เพื่อป้องกันการเชื่อมตำหนักโอสถกับโลกซ้อนโลกของเยี่ยนจ้าวเกอให้เร็วที่สุด เขาจึงทุ่มพลังตั้งแต่แรก ใช้สภาวะโจมตีผลักภูเขาถมทะเล หมายจะกดดันเยว่เจิ้ยเป่ย
เจี่ยงเซิ่นไม่คิดจะเสียเวลากับเยว่เจิ้ยเป่ยที่นี่ เพราะมันไร้ความหมายยิ่งนัก การหยุดเยี่ยนจ้าวเกอมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับเขา
ทว่าในเวลานี้ บนตำหนักหยกขาวที่อยู่กลางความว่างเปล่าห่างออกไปสาดแสงสีทองสายหนึ่งออกมาอย่างฉับพลัน บรรลุถึงตรงหน้าเจี่ยงเซิ่นในชั่วพริบตา!
บัดนี้เจี่ยงเซิ่นเครียดเกร็ง ‘ตำหนักโอสถของวังเทพลี้ลับจริงๆ ในตอนที่ดำเนินพิธีออกจากโลกซ้อนโลก ถึงกับแบ่งพลังส่วนหนึ่งมาคุ้มครองตัวเองได้’
เขาได้แต่ชักค้อนกลับไปป้องกันแสงสีทองอย่างจนปัญญา
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เจี่ยงเซิ่นคิดจะอ้อมผ่านการขวางทางของเยว่เจิ้ยเป่ยก็ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว
ถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ว่าในตอนที่เขากำลังเปลี่ยนความได้เปรียบเป็นชัยชนะ ตำหนักโอสถก็คอยแว้งกัด ทำให้เขาอึดอัดคับข้อง ยากจะข้ามเส้นแบ่งเข้าไปได้
ในหอเซียนม่วงอันเป็นแกนกลางหลักในตำหนักโอสถ เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น ทางหนึ่งรับมือราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่น ทางหนึ่งควบคุมการดำเนินพิธีกรรมอย่างระมัดระวัง
แผนการในครั้งนี้เกี่ยวพันกับหลายสิ่ง ทั้งหมดเป็นจริงได้เพราะตำหนักโอสถ เยี่ยนจ้าวเกอจึงมีทุนเล่นใหญ่ขนาดนี้
ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ถ้าไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะล้มเหลวทั้งที่ใกล้สำเร็จได้
ครั้งนี้ถ้าไม่สำเร็จ เกรงว่าจะไม่มีเวลาและโอกาสมากพอให้เขาอีก
เนื่องจากราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นที่ระดับลดลงเพราะสั่วหมิงจางลงมือต้องตั้งใจป้องกัน แต่มีเยว่เจิ้ยเป่ยคอยขวางทางให้ เยี่ยนจ้าวเกอที่ควบคุมตำหนักโอสถก็สามารถแก้ไขการรบกวนของเจี่ยงเซิ่นได้อย่างสบายๆ
แต่ว่าเขาในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นต้องระวังมากที่สุด
ถ้าหากแผนการในครั้งนี้มีโอกาสล้มเหลว จะเป็นที่ส่วนใด
‘ราชันพระอาทิตย์ เกาหาน…’ เยี่ยนจ้าวเกอมองข้ามอาณาเขตของตำหนักโอสถ กวาดสายตามองทั่วจักรวาลสำนักเต๋า ‘ท่านวางแผนมานานขนาดนี้ จะหยุดเพียงเท่านี้หรือ ราชันพระอังคารมีนิสัยอย่างไร ท่านไม่มีทางไม่ทราบ ท่านเพียงไม่ต้องการให้คนอื่นค้นพบท่านก่อนกระมัง แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่านั่นไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้าท่านมีแผนการอื่น มันจะอยู่ที่ตรงไหน’
ถึงก่อนหน้าจะเดาออกว่านพยมโลกอาจมีการเคลื่อนไหว แต่เยี่ยนจ้าวเกอนึกไม่ถึงว่าจอมมารระดับสูงสุดอย่างมารเงาถึงกับลอบเข้ามาในโลกซ้อนโลกได้ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครทราบโดยสิ้นเชิง
จนถึงตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอยังสงสัยอยู่ว่ามารเงาปะปนเข้ามาได้อย่างไร
น่าเสียดายที่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาไม่มีเวลาหาคำตอบ แต่ต้องเผชิญกับปัญหา
จากผลกระทบของมารเงา กษัตริย์ดาราไม่อาจลงมือได้ชั่วคราว
ฝ่ายตนพลังได้รับความเสียหาย ขาดพลังรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไปส่วนหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอพยายามดำเนินแผนการของตัวเอง ราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นก็กำลังหาวิธีทำลายสถานการณ์เช่นกัน
ความเข้าใจที่เขามีต่อเกาหานมีแต่จะลึกล้ำกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ จึงกำลังเป็นห่วงทิศทางของเกาหานเช่นกัน
‘ก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องแสงเซียนบนศีรษะ เขาฝืนรับการโจมตีของสั่วหมิงจาง สมควรบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจไร้พลังต่อสู้ถึงจะถูก’
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เจี่ยงเซิ่นไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย แผนการของเยี่ยนจ้าวเกอกำลังกลายเป็นจริงทีละน้อย เขาได้แต่ต้องเร่งมือ
ไม่พูดถึงพวกเยี่ยนตี๋กับเนี่ยจิงเสินที่ยังไม่ได้ผลักเปิดประตูเซียน อย่างน้อยก็ยังมีทวนพระอังคารที่ยังไม่โผล่มา
จักรพรรดินีเจี่ยงหมิงคงไม่ทราบอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังคงต้องให้ความสนใจอยู่ดี
กษัตริย์เร้นลับหยางเซ่อถูกสั่วหมิงจางทำลายสี่ปราณรวมวายุ เท่ากับตกลงสู่ระดับเซียนจริงแท้ แม้เขาคิดฝึกฝนใหม่จะเร็วกว่าเกาหานและเจี่ยงเซิ่น ทว่าก็ไม่อาจทำสำเร็จได้ในคืนเดียวอยู่ดี
‘แต่ว่า…’ เจี่ยงเซิ่นหันไปมองอีกทาง
ณ ที่แห่งนั้น กษัตริย์เร้นลับหยางเซ่อมองโลกซ้อนโลกที่อยู่ห่าง กำลังเหม่อลอยอยู่บ้าง
ตอนนี้ราชันพระเกตุผู้นี้เหมือนกับไม่มีความต้องการลงมือแม้แต่น้อย
เขาที่ตกลงสู่ระดับเซียนจริงแท้ หากยังคงเป็นตัวตนระดับสุดยอดในหมู่เซียนจริงแท้ แม้สถานการณ์ตรงหน้าดูเหมือนหยางเซ่อรับมือคนเดียวไม่ได้ แต่ว่าท่าทางเอาตัวไปอยู่นอกเหตุการณ์ก็ยังทำให้เจี่ยงเซิ่นจิตใจสั่นสะท้าน
เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ผิดปกตินี้เช่นกัน
พอสัมผัสได้ถึงสายตาของเจี่ยงเซิ่น หยางเซ่อก็หันกลับมายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “ลมฝนกระหน่ำซัด ตึกกำลังถล่ม ลำบากศิษย์พี่ร่วมเส้นทางแล้ว”
“สหายร่วมเส้นทางหยางมีความคิดเป็นของตัวเอง ข้าทราบมาโดยตลอด” เจี่ยงเซิ่นเอ่ยอย่างแช่มช้า “หลายปีมานี้ท่านรักษาการติดต่อกับใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ ท่านอธิบายว่าเพื่อหาข่าวสารให้มากขึ้น ทั้งยังได้แจ้งเรื่องสำคัญมากมายต่อจักรพรรดิโกวเฉิน กระนั้นข้าเชื่อว่าท่านกำลังเหยียบเรือสองแคม ไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ขอให้สหายร่วมเส้นทางหยางตรึกตรองจึงค่อยกระทำ”
หยางเซ่อยิ้ม “ถูกต้อง เหล่านี้ท่านล้วนทราบ เพียงแต่น่าเสียดาย…”
“ท่านไม่ทราบว่าข้าคือใคร”
………………..