ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1321 เห็นไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน
เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มขึ้นมา “ท่านเห็นแล้วหรือ? ฟ้าเมตตาแท้ ตอนนั้นข้าความจริงไม่ได้มีความหวังมากนัก เพียงแต่ว่าคำพูดเหมือนติดอยู่ที่คอหอย ต้องพูดออกมาให้ได้”
“เดิมเป็นข้าคิดเข้าไปฝึกฝนในชายฝั่งยมโลก ตอนแรกไม่ได้อยากเข้าไปในนพยมโลก ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุบังเอิญ”
“การไปในครั้งนี้ได้กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของราชันพระราหู แม้แต่ตัวข้าก็นึกไม่ถึง ท่านย่อมนึกไม่ถึงเช่นกัน”
“ข้าคิดว่า หากข้าไม่ได้กลับไป ท่านจะต้องตามหาข้า แต่ว่าข่าวล้าหลังไปตั้งหลายปี นพยมโลกกว้างใหญ่ออกปานนั้น คิดตามหาร่องรอยยังไม่ง่าย”
เฟิงอวิ๋นเซิงถอนใจ “กระนั้น ข้อความในที่สุดก็ได้คนที่ต้องการเห็นที่สุดเจอเข้า ประเสริฐยิ่ง!”
นางมองเยี่ยนจ้าวเกอ สายตาอ่อนโยน “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าทำสำเร็จแล้ว ได้กลับมาพบจ้าวเกอท่าน ได้พบพวกอาจารย์”
“ดังนั้น พวกเราสมควรทำตามสัญญาที่ยังไม่แล้วเสร็จกระมัง?” เยี่ยนจ้าวเกอจงใจสัพยอกนาง “เจ้าคงไม่ลืมเนื้อหาคำพูดที่เจ้าทิ้งไว้กระมัง? อืม ครั้งนี้กลับมา พวกเรา…”
เฟิงอวิ๋นเซิงอดยิ้มขึ้นไม่ได้ “ไฉนท่านชอบเปลี่ยนเป็นไม่จริงจังกะทันหันนัก”
นางเอียงหน้ามองเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าไม่มีปัญหาตอนนี้คนที่มีปัญหาคือท่านต่างหาก”
เยี่ยนจ้าวเกอก้มหน้ามองตัวเอง “ข้ามีปัญหาอะไรหรือ?”
“จำได้ว่าก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าข้าร่างกายอ่อนแอ ทนการทารุณไม่ไหว” เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มร่า กล่าวว่า “ตอนนี้สถานการณ์เหมือนกลับกันแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตาปริบๆ
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นเซิงโค้งขึ้น “ข้าจำเป็นต้องควบคุมตัวเองให้ใจเย็น ไม่ใช่ว่าน่าเบื่อไปหรอกหรือ? แต่ถ้าข้าใส่เต็มที่ ไม่แน่ว่าของท่านอาจกลายเป็นตัวไท่(太) จริงๆ…”
คิดถึงความแตกต่างระหว่างตัวอักษร ‘太’ และตัวอักษร ‘木’ ซึ่งทั้งสองกล่าวสัพยอกกันเมื่อก่อนหน้า เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้ากลายเป็นหม้อก้นดำ
“นี่ๆ เกินไปแล้วนะ!” เขาเบิกตา ‘ถลึงมอง’ เฟิงอวิ๋นเซิง
เฟิงอวิ๋นเซิงหัวเราะคิกไม่หยุด
เยี่ยนจ้าวเกอมองนาง อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา ฟังดูชั่วร้ายยิ่ง “ความจริงก็ไม่แน่นัก ยังมีวิธีอื่นอีก เจ้ารออย่างใจเย็นเถอะ จึงค่อยน่าสนใจ”
พอเห็นรอยยิ้มของเขา เฟิงอวิ๋นเซิงเกิดสังหรณ์ร้าย พอสังเกตเห็นตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกอมองอยู่ พลันเข้าใจความหมายของเขา ทั้งขุ่นเคืองทั้งขบขัน
นางไม่เอียงอายและไม่โมโห ใช้สองมือกอดเอว “ท่านรู้สึกสนุก แต่ข้ากลับรู้สึกค้างคา เช่นนั้นจะได้อย่างไร?”
เห็นเยี่ยนจ้าวเกอคิดพูดอะไรอีก เฟิงอวิ๋นเซิงก็มองขวางใส่เขาแวบหนึ่ง สายตาอยู่บนมือของเยี่ยนจ้าวเกอ “ท่านอย่าพูดว่าจะใช้นิ้วมือของท่าน เหมือนกับข้าไม่มี”
“นอกจากนี้ เข้าห้องหอเป็นครั้งแรก ผลลัพธ์กลับจัดการให้กันเช่นนี้ ท่านไม่รู้สึกว่าน่าเสียดายหรอกหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะหึๆ “ความจริงยังดีอยู่ เจ้าดู ทั้งทิ้งภาพประทับใจอันล้ำลึก ทั้งเกิดความคาดหวังอันเต็มเปี่ยมขึ้นอีกขั้น”
ขณะมองเขา เฟิงอวิ๋นเซิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ตอนที่ข้าออกจากโลกซ้อนโลก ท่านก็ได้เป็นเซียนผู้ถูกเนรเทศที่โด่งดังไปทั่วใต้หล้าแล้ว ไฉนยังชอบทำตัวซุกซนอยู่อีก ถ้าหากคนอื่นๆ เห็น เกรงว่าคงรีบกลับโลกซ้อนโลกทันที”
“ย่อมไม่ให้คนอื่นๆ เห็นแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเหมือนไม่มีเรื่องราวใด
เฟิงอวิ๋นเซิงอับจนปัญหา ชี้นิ้วที่เขา “ท่านนี่…”
น้ำเสียงถึงจะกระเง้ากระงอด แต่จิตใจกลับอ่อนโยนเป็นพิเศษ
นี่คือบุรุษของข้า…
เพื่อกลับมาพบเขาอีกครั้ง ข้าจึงมุ่งมั่นมาโดยตลอด ถึงได้เอาชนะราชันพระราหูที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวผู้นั้นได้
“จริงด้วย พูดถึงให้คนอื่นเห็น…” เยี่ยนจ้าวเกอพลันนึกอะไรได้ มุมปากตวัดขึ้น “น่าเสียดายนัก คำพูดที่เจ้าทิ้งไว้ในตอนนั้น ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวที่เห็น”
เฟิงอวิ๋นเซิงงุนงง
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือออกมากางตรงหน้านาง หุบนิ้วโป้งลงก่อน “จักรพรรดิแพรงาม ใต้เท้าจักรพรรดิแพร”
เฟิงอวิ๋นเซิง “หา?”
เยี่ยนจ้าวเกอหุบนิ้วชี้ “จักรพรรดิสรรพสิ่งไร้จำกัด ใต้เท้าจักรพรรดิไร้จำกัด”
เฟิงอวิ๋นเซิง “เอ่อ…”
เยี่ยนจ้าวเกอสุดท้ายหุบนิ้วกลาง “ยังมีสหายสนิทของเจ้า ศิษย์น้องเมิ่งหวานแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”
“….” เฟิงอวิ๋นเซิงครั้งนี้แม้แต่เสียงก็อันตรธานไปแล้ว
นางที่ตีฝีปากับเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนผ้าโพกไม่ยอมให้แก่หนวดเครา[1] ตอนนี้เขินอายจนหน้าแดง
ตอนแรกเป็นเพราะต้องสู้กับเจี่ยนซุ่นหวาราชันพระราหู อยู่ในสถานการณ์ต้องหาทางเอาชีวิตรอด อนาคตไม่แน่นอน ยากจะควบคุมอารมณ์ ทั้งๆ ที่ทราบว่าคนอื่นอาจจะเห็น ก็ยังอดเขียนข้อความเหล่านั้นไม่ได้
ในมุมมองหนึ่งแล้ว เฟิงอวิ๋นเซิงทิ้งคำพูดนั้นไว้ โดยมีความคิดสั่งลาด้วยซ้ำ
ปัจจุบันฝนหยุดฟ้ากระจ่าง ไม่มีอันตรายอีก พอนึกถึง เฟิงอวิ๋นเซิงย่อมรู้สึกเขินอาย
รอได้ยินว่าไม่มีใครเอาไปเล่าต่อ เป็นเยี่ยนจ้าวเกอเห็นข้อความเอง ขณะที่เฟิงอวิ๋นเซิงยินดีก็โล่งใจ
ผู้ใดหาทราบไม่ว่า เยี่ยนจ้าวเกอได้เห็นข้อความนั้นเป็นคนแรกจริงๆ แต่ตอนนั้นรอบๆ ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว
พอคิดว่าคำพูดในวันนั้น ถูกคนอื่นๆ พบเห็น ในนี้ยังมีเมิ่งหวานน้องสาวคนสนิทของตัวเองอยู่ด้วย แม้นที่แล้วมานางจะผ่าเผย ชั่วขณะนี้ก็มีความรู้สึกอยากแทรกแผ่นดินหนี
พูดถึงที่สุด นางก็เป็นสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน
โดยเฉพาะพวกเขาสองคนกำลังเตรียมจะไปพบเมิ่งหวาน…
คิดถึงตรงนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยใบหน้าน่าสงสารในทันที
“เจ้าอย่ามองข้าแบบนี้ ผิดกติกา” เยี่ยนจ้าวเกอน้อยครั้งจะเห็นท่าทางนี้ของนาง อดยิ้มพร้อมลูบศีรษะนางไม่ได้ “แอ๊บแบ๊วต่างจากยามปกติเกินไปแล้ว”
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้ดึงมือเขาออกอย่างไม่พอใจ “ท่านอย่าได้ทำท่าเหมือนกำลังหยอกโร่วโร่วกับพ่านพ่าน”
“ยังมีคำว่า ‘แอ๊บแบ๊ว’ หมายถึงอะไร?”
“เดี๋ยวค่อยบอกเจ้า”
สองคนทางหนึ่งหัวเราะหยอกล้อกัน ทางหนึ่งมาถึงมิติเวลาที่ผาบัวแดงอยู่
เฟิงอวิ๋นเซิงได้พบเมิ่งหวาน สองคนได้เจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน ย่อมยินดีเป็นพิเศษ
ไม่นับความแตกต่างด้านการไหลของเวลาในมิติเวลาที่แตกต่าง เพียงคำนวนตามเวลาของโลกซ้อนโลก สองคนที่ผูกพันฉันพี่น้อง ไม่ได้เจอกันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
ตั้งแต่เมิ่งหวานถูกจวงจาวฮุยลักพาตัวไปจากทะเลหวงเจียในเขตหยางเทียนตะวันออกเฉียงใต้ สองคนก็ไม่ได้เจอกันอีก
ภายหลังเมิ่งหวานได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่ทราบไปอยู่ไหน
ดังนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ จึงค่อยได้เจอกันอีก
สี่มือจับกัน เฟิงอวิ๋นเซิงกับเมิ่งหวานต่างมีความรู้สึกเหมือนอยู่คนละภพ
การจากลาอันเนิ่นนาน ทำให้ตอนแรกที่พวกนางเจอกันเกิดความรู้สึกแปลกหน้าอยู่บ้าง
แต่ว่าหลังจากที่เริ่มพูดคุย ระหว่างคนทั้งสองก็เหมือนกับมีวาจาและความคิดที่พูดได้ไม่มีวันหมด
เฟิงอวิ๋นเซิงสนทนากับเมิ่งหวาน เยี่ยนจ้าวเกอพูดคุยกับฟู่ถิงกับเหอซีสิงอยู่หลายประโยค
จากนั้น เขาก็ได้พบฟู่อวิ๋นฉือจักรพรรดิแพรงามที่ผาบัวแดงเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ฟู่อวิ๋นฉือไม่เคยออกไปไหนเพียงรออยู่อย่างสงบ ถึงขั้นไม่ได้ติดต่อกับพวกเฉาเจี๋ยประมุขอาคเนย์ พวกเฉาเจี๋ยก็ไม่ได้รบกวนเขา
แต่ว่าตอนนี้ฝุ่นหายตลบ เยี่ยนจ้าวเกอมาเยี่ยม จักรพรรดิแพรยอมไม่มีทางไม่พบ
หลังจากสองฝ่ายทักทายกัน สิ่งที่จักรพรรดิแพรเป็นห่วงไม่ใช่สภาพของตัวเองหรือว่ากษัตริย์เร้นลับมีวิธีชี้แนะเขาเพื่อทำให้พลังฝึกปรือของเขารุดหน้าหรือไม่ หากถามว่า “ราชันพระอังคารมีความมั่นใจรอดพ้นภัยพิบัติครั้งนี้มากขนาดไหน?”
………………..
[1] สุภาษิตจีน หมายถึง สตรีไม่แพ้บุรุษ